บทที่ 1453 – จักรวรรดิตะวันฉาย นิกายตะวันฉาย เริ่มต้น!

 

ชิงสุ่ยรู้สึกตกตะลึง มรดกแห่งจอมอสูรงั้นหรือ? ผู้ที่ต่อสู้กับเทพสงครามในอดีตก็คือจอมอสูร นี่หมายความว่าโชคชะตาของเขานั้นต้องต่อสู้กับนางงั้นหรือ?

 

นี่ไม่ใช่เรื่องตลก ความคิดที่มองนางเป็นศัตรูไม่เคยอยู่ในความคิดของเขา แต่ในตอนนี้เขาได้รับมรดกแห่งเทพสงคราม เขาต้องการฟื้นฟูมรดกแห่งเทพสงครามเพื่อให้มันกับมายิ่งใหญ่ครั้ง หากถานท่าย หลิงเยียนก็ต้องการฟื้นฟูมรดกแห่งจอมอสูร นั่นหมายความระหว่างพวกเขาทั้ง 2 คนมีเพียงสงครามเท่านั้น

 

ถานท่าย หลิงเยียนมองมาที่เขาชิงสุ่ยโดยไม่ได้โกรธหรือยินดีแต่อย่างใด นางเพียงมองชิงสุ่ยแย่างเงียบๆและไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา

 

ชิงสุ่ยส่าย “ท่านหญิง เจ้าเคยคิดที่จะฟื้นฟูมรดกแห่งจอมอสูรให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหรือไม่?”

 

เทพสงครามและจอมอสูรนั้นต่างก็มีช่วงเวลาที่เคยยิ่งใหญ่ นี่เป็นพื้นฐานทั้งหมดของปัญหาในตอนนี้ หากหญิงสาวมีเป้าหมายเช่นนั้น เขาก้รู้สึกอยากจะเอาศีรษะโขกกำแพงเหลือเกิน

 

หากว่านางต้องการทำเช่นนั้น เขาควรทำอย่างไรดี?

 

เมื่อได้ยินชิงสุ่ยเรียกนางว่า ‘ท่านหญิง’ อีกครั้ง ถานท่าย หลิงเยียนก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก้นั่นก็มากพอที่จะทำให้ชิงสุ่ยต้องตกตะลึง ในตอนี้รอยยิ้มของนางนั้นเหมือนหิมะที่หลอมละลายและดอกไม้ที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ

 

เมื่อดูจากใบหน้าของชิงสุ่ยที่ดูตกตะลึงจนค้าง นางก็เริ่มรู้สึกเขินอายเป็นครั้งแรก นี่มันความรู้สึกอะไรกัน? นางยิ้มขึ้นอีกครั้งหลักจากที่ได้เห็นสีหน้าที่ดูตลกของชิงสุ่ย

 

มันก็ผ่านมานานหลายปีแล้วหลังจากที่นางยิ้มครั้งสุดท้ายเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้นางต้องยิ้มเลย แต่ในตอนนี้นางกลับยิ้มขึ้นมาอีกครั้งเพราะชายผู้นี้ ไม่เพียงแต่เขาจะช่วยเหลือนางยกระดับความแข็งแกร่งแต่ยังช่วยเหลือนางเอาไว้มากมายในซากโบราณสถานโดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง

 

นางหันกลับมาเล็กน้อยและกล่าวว่า “บรรพบุรุษของข้าคือจอมอสูร เขาเป็นจอมอสูรที่ดี แต่เมื่อถึงยุคสมัยของท่านปู่ของข้า เหล่า ‘ผู้ผดุงความยุติธรรม’ ต่างต้องการสมบัติของพวกเรา ในตอนแรกพวกเขาพยายามแต่งงานกับคนในตระกูลของเรา เมื่อมันไม่สำเร็จพวกเขาก็ใช้วิธีการบีบบังคับหรือแม้แต่สังหารครอบครัวของข้า ข้าเองก็ได้รับมรดกนั้นมาเช่นกันแต่มันก็เกิดการทำลายล้างขึ้นเสียก่อน ข้าถูกผนึกเอาไว้และเต่าเฒ่าก็ใช้เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์เพื่อซ่อนข้าเอาไว้ภายในพระราชวังทับทิม”

 

หลังจากที่ได้ยินหญิงสาวผู้นี้อธิบายปูมหลังของนางสั้นๆ ชิงสุ่ยก็รู้สึกคล้อยตามนางและโล่งใจในเวลาเดียวกัน เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ช่วงชิงครอบครัวไปจากนางและทำให้พลังของนางนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

 

นางคือผู้สืบทอดแห่งจอมอสูรแต่นางก็ไม่ได้กระหายเลือดและไม่ได้เลือดเย็นเหมือนจอมอสูรคนอื่นๆ นางเพียงแค่เกลียดศัตรูของตนเอง นางอาจจะเป็นผู้สืบทอดแต่ต่างจากชิงสุ่ย นางไม่ได้สนใจในมรดกที่สืบทอดกันมาแม้แต่น้อย

 

แน่นอนว่าชิงสุ่ยสามารถเลือกที่จะไม่สืบทอดก็ได้เพราะจิตวิญญาณของเทพสงครามนั้นได้หายไปแล้วแต่ชิงสุ่ยไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เขาต้องทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ หากเขาทำมันสำเร็จหลังจากนั้นเขาก้จะไม่เสียใจเลย

 

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้สนใจที่จะเป็นจอมอสูร จอมอสูรพวกนั้นต้องการเพียงก่อความวุ่นวายเท่านั้น ข้าอาจจะเป็นประมุขอสูรแต่ข้าจะลงมือกับศัตรูของข้าเท่านั้น” ถานท่าย หลิงเยียนมองไปยังชิงสุ่ยขณะที่นางกำลังพูด

 

เมื่อได้ยินคำพูดของนางชิงสุ่ยก็รู้สึกโล่งใจ ความหนักใจของเขาลดน้อยลงไปทำให้เขารู้สึกโล่งใจมากยิ่งขึ้น

 

“หากสักวันหนึ่งพวกเราต้องต่อสู้กันจริงๆ เจ้าจะสังหารข้าหรือไม่?” ชิงสุ่ยถามขึ้น

 

“แน่นอน!” หญิงสาวตอบกลับไป

 

คำพูดของนางเสียบแทงชิงสุ่ยราวกับมีด เขายืนอย่างพูดไม่ออกและมีเพียงรอยยิ้มเจื่อนๆบนใบหน้า

 

“ข้ายังไม่ได้จะสังหารเจ้าและยังไม่ได้มีความคิดที่จะสังหารเจ้า เจ้าตื่นตระหนกมากเกินไปหรือไม่?” ถานท่าย หลิงเยียนไม่อาจทนต่อท่าทีของชิงสุ่ยได้ นางเริ่มสนใจอารมณ์ของคนอื่นๆมากยิ่งขึ้นโดยที่นางเองก็ไม่รู้ตัว

 

ชิงสุ่ยเก็บงำความยิรดีของเขาเอาไว้ นี่คือสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอด

 

“แน่นอนว่าเมื่อเจ้าต้องสังหารผู้ใดเจ้าก็จะทำโดยปราศจากความลังเลใดๆหรือไม่รู้สึกไม่สบายใจใช่หรือไม่?” ชิงสุ่ยใช้โอกาสนี้ถามออกไป มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ไม่เข้าใจความหมายของเขา

 

ถานท่าย หลิงเยียนไม่ได้ตอบกลับมา ในสถานการณ์ตอนนี้เหมือนคำตอบของนางนั้นติดขัดอยู่ นางรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้านางนี้พยายามที่จะก้าวข้ามขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ในตอนนี้

 

“หลิงเยียน มนุษย์นั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อล้างแค้น ข้าไม่ได้หมายความว่าให้เจ้าลืมเรื่องนี้ไปแต่อย่าให้มันมาทำลายชีวิตของเจ้าจนหมดสิ้นไป ชีวิตยังมีเรื่องที่งดงามอีกมากมาย บางทีสิ่งเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์กับเจ้าและช่วยให้เจ้าแก้แค้นได้เร็วขึ้น”

 

“เช่นนั้นก็จงบอกข้ามา ว่าเจ้าหมายถึงอะไรกันแน่?” คำพูดของชิงสุ่ยทำให้ถานท่าย หลิงเยียนรู้สึกงุนงง

 

“มีอีกหลายเรื่องที่ทำให้เจ้ามีความสุขได้ทั้งการทำอาหาร การตัดเย็บเสื้อผ้า หรือการตกหลุมรักใครสักคน ผู้คนมักจะบอกเสมอว่าหญิงสาวนั้นรักพวกเด็กๆบางทีเจ้าอาจจะรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมสักคน…” ชิงสุ่ยไม่กล้าบอกให้นางลองให้กำเนิดบุตรสักคน

 

ถานท่าย หลิงเยียนรู้สึกงุนงงกับคำพูดของชิงสุ่ย หลังจากที่คิดครู่หนึ่งนางก็กล่าวว่า “เหตุใดข้าจึงไม่รับลูกของเจ้าสักคนไว้เป็นบุตรบุญธรรม…?”

 

ชิงสุ่ยเกือบสำลักออกมา ลูกๆที่โตแล้วของเขาก็ไม่มีผู้ใดเหมาะสมและนางคงไม่รับเด็กเล็กอย่างแน่นอน เขากล่าว

 

“อืม…ไปที่จักรวรรดิตะวันฉายกันก่อน พวกเราค่อยพูดคุยกันเรื่องนี้หลังจากจบเรื่องของกลุ่มมังกรอหังกาล” ชิงสุ่ยตอบกลับไป

 

“หญิงสาวต้องรู้วิธีทำอาหาร เย็บปักถักร้อย และดูแลเด็กจริงๆหรอ?” ถานท่าย หลิงเยียนถามขึ้น

 

ชิงสุ่ยลูบหน้าผากของเขาและกล่าวว่า “ไม่ ในที่ที่ข้ามานั้น ผู้ชายมีหน้าที่ทำอาหารเพราะผู้หญิงไม่มีแรงมากพอที่จะยกหม้อที่หนักได้ ผู้ชายก็ตัดเย็บเสื้อผ้าได้เพราะรู้ว่าผู้หญิงชอบแบบไหน เด็กๆก็ได้รับการเลี้ยงดูโดยพ่อและแม่ มิฉะนั้นพวกเด็กๆอาจจะมีบาดแผลทางจิตใจได้”

 

ถานท่าย หลิงเยียนมองไปยังชิงสุ่ย นางไม่แน่ใจว่าที่เขากล่าวมานั้นมันจริงหรือไม่แต่นางรู้ว่าเขาพยายามทำให้นางเชื่อ จากนนั้นนางก็กล่าวว่า “ความจริวแล้ว ข้ารู้ว่ามีคนมากมายไม่ชอบข้า คงไม่มีผู้ใดชื่นชอบหญิงสาวที่เย็นชาจนเหมือนน้ำแข็งหรอก”

 

คำพูดของนางทำให้ชิงสุ่ยตกตะลึงอีกครั้ง

 

“เจ้าตะลึงอะไรกัน? ข้าอาจจะเย็นชาแต่ข้าก็ยังมีความเป็นมนุษย์นะ” ถานท่าย หลิงเยียนกะพริบตา มันงดงามจนชิงสุ่ยคิดว่านี่เป็นเพียงจิตนาการของเขา

 

……

 

จักรวรรดิตะวันฉาย!

 

พวกเขามาถึงจักรวรรดิตะวันฉายในอีก 3 วันต่อมา นี่เป็นหนึ่งในสามจักรวรรดิใหญ่และมีความสัมพันธ์กับจักรวรรดิเหยียน พวกเขาทั้ง 2 ต่างเป็นขุมพลังอำนาจใหญ่ของมหาทวีปมังกรอหังกาล เมื่อดูจากจักรวรรดิเหยียนแล้ว ชิงสุ่ยสงสัยว่าจักรวรรดิตะวันฉายคงไม่อ่อนแออย่างแน่นอน

 

นิกายตะวันฉาย!

 

กลุ่มของชิงสุ่ยได้ตรงไปที่นิกายตะวันฉาย ในอดีตนั้นนิกายตะวันฉายนั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ที่ต่อสู้กับพระราชวังจอมอสูรและยังถือเป็นหนึ่งในขุมพลังหลัก นิกายตะวันฉายนั้นมีตำแหน่งสูงในกลุ่มมังกรอหังกาลและมีหน้าที่ดูแลจักรวรรดิตะวันฉายทั้งหมด

 

ด้วยเหตุนี้ชิงสุ่ยจึงไม่ได้รู้สึกว่าการลำลายล้างนิกายตะวันฉายจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด มิฉะนั้นพวกเขาย่อมไม่กล้าจะออกตัวเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงแบบนั้น

 

พวกเขาจะเริ่มแก้แค้นจากนิกายตะวันฉาย แม้ว่าผู้คนที่ที่นี่จะทรงพลังแต่ก็เทียบกับพวกเขาไม่ได้ในตอนนี้ ในตอนนี้พวกเขาตั้งใจที่จะลดพลังอำนาจของ กลุ่มมังกรอหังกาลให้น้อยลงไป

 

นิกายตะวันฉายนั้นเป็นนิกายหลักของจักรวรรดิตะวันฉายเนื่องจากพื้นที่ของเทือกเขาตะวันฉายซึ่งลึกลับซับซ้อนอย่างยิ่ง มันเต็มไปด้วยพืชพรรณที่เขียวชอุ่ม วิหค และดอกไม้ต่างๆ ทำให้ดูงดงามและสงบสุขอย่างยิ่ง

 

พวกเขาทั้ง 4 คนได้มาถึงเทือกเขาตะวันฉาย เมื่อมองไปยังนิกายตะวันฉายที่อยู่ห่างออกไปมันทั้งดูกว้างใหญ่และสูงส่งอย่างยิ่ง แสงอาทิตย์ที่บริเวณนี้ดูเหมือนจะพิเศษกว่าที่อื่น แสงอาทิตย์ส่องทั่วพื้นที่บริเวณนี้อย่างสว่างจ้าแต่ก็ไม่ได้มีความร้อนแม้แต่น้อย

 

เคล็ดวิชาของนิกายตะวันฉายนั้นเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง พวกเขามีพื้นฐานจากแสงอาทิตย์เหมือนกับนิกายจันทราอสูรที่เคล็ดวิชาของพวกเขานั้นขึ้นอยู่กับการดูดซับแสงจันทรา

 

นี่คือนิกายที่ใช้เคล็ดวิชาธาตุไฟและมันยังทรงพลังอย่างยิ่ง

 

พวกเขาทั้ง 4 คนได้มาถึงทางเข้าหลักของนิกายตะวันฉาย

 

“ผู้ใดกล้าโจมตีนิกายตะวันฉาย? ตาย!” หนึ่งในผู้รักษาความปลอดภัยตะโกนออกมาทันทีพร้อมกับพุ่งเข้ามาหา

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ชิงสุ่ยก็กระทืบไปที่พื้นและใช้ก้าวพสุธามังกรไอยรา

 

ก้าวพสุธามังกรไอยรา!

 

พื้นดินบริเวณนี้พังทลายลงไปในทันทีและผู้รักษาความปลอดภัยที่เข้ามาหานั้นก็กระเด็นไป เดิมทีชิงสุ่ยไม่ได้อยากที่จะโหดร้ายแบบนี้แต่เขาไม่คิดว่านิกายตะวันฉายจะเริ่มลงมือก่อนเช่นนี้ เขาไม่อาจเข้าใจได้เลย เมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้แล้วพวกเขาก็ไม่ต้องปิดบังตัวตนอีกต่อไป

 

มีเสียงดังขึ้นขณะที่อาคารโดยรอบที่แห่งนี้พังทลายลงไป เสียงดังกระจายออกไปไกลและแม้แต่ผู้ที่กำลังเข้ามาที่นี่ก็ต้องชะงักและถอยกลับไป เสียงกรีดร้องดังขึ้นในอากาศ

 

บางคนรีบวิ่งเข้าไปทางด้านในของนิกายตะวันฉายเพื่อแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ ชิงสุ่ยไม่ได้หยุดพวกเขา

 

“เจ้าคิดอะไรอยู่ หลิงเยียน? พวกเราควรทดสอบนิกายแห่งนี้ดูก่อนหรือไม่?” ชิงสุ่ยถามขึ้นโดยไม่ได้หันไปมอง

 

ฮัว รูเหม่ยรู้สึกประหลาดใจ นางไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนสนิทสนมกันจนถึงขนาดเรียกกันด้วยชื่อได้แล้ว นางมองไปที่ชิงสุ่ยและประมุขอสูรด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง

 

ซาน ยูก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

ถานท่าย หลิงเยียนตอบกลับ “ปล่อยให้พวกมันเข้าไป เราจะไม่ปล่อยให้ตัวการใหญ่หนีรอดไปได้”

 

ชิงสุ่ยก็เห็นด้วยเช่นกัน

 

ตอนนี้ก็มีผู้คนจำนวนมากบินตรงมาทางชิงสุ่ย พวกเขามีประมาณ 10 คน ชิงสุ่ยรู้สึกว่าศัตรูประเมินพวกเขาต่ำเกินไป

 

ผู้นำของคนกลุ่มนี้เป็นชายชราที่มีผมสีเทาที่มีดวงตาเฉียบคมราวกับใบมีด กลิ่นอายของเขาทำให้คนอื่นๆรับรู้ได้ถึงอันตราย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้เห็นถานท่าย หลิงเยียน

 

“โอ้ เป็นเจ้านี่เอง ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว เจ้าหยุดซ่อนตัวในพระราชวังจอมอสูรและออกมาตายที่นี่งั้นหรือ? เจ้าคิดหรือว่าปีศาจเฒ่าของตระกูลถานท่ายจะอยู่ที่นี่ด้วย?” ชายชราหัวเราะเยาะถานท่าย หลิงเยียน

 

“ข้ามาที่นี่เพื่อส่งเจ้าไปหาท่านพ่อของข้า เพื่อเจ้าจะได้ไปขอขมาได้ รับนี่ไป!”

 

ถานท่าย หลิงเยียนปลดปล่อยความโกระของนางออกไปในทันที เพียงพริบตานางก็ไปอยู่ด้านหลังของชราและฟาดฟันกระบี่ของนางออกไป