ตอนที่ 469 เดินหมาก
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมู่จวินฮานก็ผายมือไปทางลู่จ้าน จากนั้นสองคนก็เดินไปยังลานกว้างด้วยกันและนั่งตรงกระดานหมากรุกที่วางไว้ก่อนหน้า
มู่จวินฮานหยิบหมากรุกตัวหนึ่งขึ้นมาแล้วทั้งสองคนก็เดินหมากด้วยกัน
ทักษะการเล่นหมากล้อมของมู่จวินฮานดีมาก เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับอันหลิงเกอแล้วดูเหมือนด้อยกว่า ทว่าทักษะการเล่นหมากล้อมของลู่จ้านเท่าเทียมกับเขา
ปกติแล้วทั้งสองคนเจอกันในสนามรบ ดังนั้นการนั่งเล่นหมากล้อมเยี่ยงนี้ถือเป็นครั้งแรก
“มิทราบว่าแม่ทัพน้อยลู่มีทักษะสูงแค่ไหน ? ” มู่จวินฮานรู้ว่าลู่จ้านอยากคุยเรื่องที่เกี่ยวกับอันหลิงเกอ
“ที่มาในวันนี้แค่อยากคุยเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับชนเผ่า อ๋องมู่คงเข้าใจดีว่าบัดนี้ในจวนของข้าคึกคักและกระตือรือร้นมาก เกรงว่าคงปกป้องนางได้มิดีพอ” เป็นอย่างที่คาดคิดไว้จริง ลู่จ้านเองก็ตรงเข้าประเด็น ทั้งสองคนทำเพื่ออันหลิงเกอย่อมมิอยากปิดบังอันใดอยู่แล้ว
“เกอเอ๋อเป็นชายาของข้า ดูเหมือนมิได้เกี่ยวอันใดกับแม่ทัพน้อยลู่” มู่จวินฮานใช่ว่ามิอยากบอกลู่จ้าน เพียงแต่เวลานี้เห็นลู่จ้านร้อนใจ ในใจของเขาก็มิได้กังวลใด เพราะถึงอย่างไรลู่จ้านก็เคยเป็นศัตรูหัวใจ และมู่จวินฮานก็อดอิจฉามิได้
มู่จวินฮานยิ้มเล็กน้อย แท้จริงแล้วเขาตั้งใจบิดเบือนความหมายของลู่จ้าน
เดิมทีลู่จ้านคิดอยากถามความเห็นของสองสามีภรรยา แต่คาดมิถึงว่าจักได้เจอกับความเข้าใจผิดของมู่จวินฮานเยี่ยงนี้จึงอึดอัดใจไปชั่วขณะ
“คนของข้า ข้าย่อมปกป้องเป็นอย่างดี”
“ในเมื่อนางเป็นพระชายามู่ เรื่องในอดีตก็ถูกลบเลือนไปหมดแล้ว” ลู่จ้านมิอาจซักไซ้ไล่ถามต่อได้ ยิ่งไปกว่านั้นแค่เพราะเรื่องในอดีตทำให้เขามิอาจปล่อยวางได้นั่นเอง
“เช่นนี้ก็ดี”
อันหลิงเกอยิ้มเล็กน้อยในตอนได้ยินจากบ่าวที่เข้ามารายงาน นางแค่รู้สึกว่าลู่จ้านรอบคอบทุกย่างก้าว ถึงอย่างไรต้าโจวก็ได้เผชิญหน้ากับภัยคุกคามอันใหญ่หลวงและเชื่อว่าเขาเองก็ต้องชัดเจนเช่นกัน
จวนอ๋องลู่และจวนอ๋องมู่เคียดแค้นในศัตรูเหมือนกัน ทว่าทั้งสองคนมิอาจร่วมมือกันได้
อันหลิงเกอมิได้คิดมากอีก ได้แต่รอมู่จวินฮานกลับมา อยู่ ๆ วันนี้นางก็รู้สึกสบายใจและนางได้รู้สึกถึงคุณค่าในตนเองเป็นครั้งแรก คุณค่าที่มิเหมือนอดีต
เมื่อนึกย้อนไปในช่วงเวลาที่พวกนางยังมิได้สมรสและมิได้สนิทสนมกันถึงเพียงนี้ ก็คิดได้ว่ามู่จวินฮานไว้วางใจและเอาใจนางมิน้อยเช่นกัน
เวลานี้อันหลิงเกอกำลังยุ่งอยู่กับงานภายในจวนก็มีคนมารายงานว่ามีคนมาเยี่ยมเยือน
ผู้มาเยือนคือผู้นำแห่งชนเผ่าและเป็นพี่ชายอี้หวางเฟยที่บัดนี้ถูกต้าโจวบังคับให้ยอมจำนน อันหลิงเกอประหลาดใจกับการมาเยือนของเขามิน้อย เนื่องจากมิได้เป็นสหายกัน แต่การมาของเขาในครานี้ก็เหมือนตั้งใจมาหานางมากกว่ามู่จวินฮาน
“มิทราบว่าพระชายามู่มีเวลาว่างสนทนากันหรือไม่ ? ” อันหลิงเกอเห็นเขากล่าวเยี่ยงนี้ ใบหน้ายังคงเผยรอยยิ้มและมิอาจปฏิเสธได้ จากนั้นจึงเชิญเขามานั่งในศาลาของสวนดอกไม้ด้านหลัง
“พระชายามู่สนใจฟังหรือไม่ ? ” เมื่ออันหลิงเกอได้ยินเยี่ยงนั้นก็อ้าปากค้าง เหตุใดช่วงนี้มักมีคนนำปัญหามาให้นางอยู่เสมอ หรือว่านางดูสุขสบายเกินไป ?
เมื่อเห็นอันหลิงเกอมิได้กล่าวอันใด คนผู้นั้นก็เอ่ยต่อ
“ข้าและต้าโจวมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน มีการเริ่มทำการค้าในทิศตะวันออก บัดนี้มีผ้าไหมบางส่วนที่ยังมิมีผู้ใดเข้ามาดูแล มิทราบว่าพระชายาพอมีเวลาบ้างหรือไม่ ? อีกอย่างตอนนี้บุตรีสุดที่รักของข้าก็สมรสกับต้าโจวแล้ว หวังว่าพระชายาจักดูแลเป็นอย่างดี” คนผู้นั้นกล่าวอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนมาก กิจการผ้าไหมเป็นกิจการดีที่สุดในเวลานี้ เขายกให้นางดูแลคงประเมินนางสูงไปแล้ว
คำพูดสุดท้ายสำคัญที่สุด !
“ข้าเกรงว่ามิอาจแบกรับได้” อันหลิงเกอมิอยากเอาเปรียบเขา ยิ่งไปกว่านั้นนางก็มิอยากดูแลบุตรีสุดที่รักของผู้อื่นด้วย
“พระชายามู่อย่าเข้าใจผิด ข้าแค่ชื่นชมในความมีสติปัญญาของท่านเท่านั้น อยากร่วมมือกับพระชายาเพื่อผลประโยชน์ครึ่งต่อครึ่ง…พระชายาคิดเยี่ยงไร ? ”
ครึ่งต่อครึ่งอย่างนั้นหรือ ? นางมิต้องลงทุนก็มีส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งแล้ว ชนเผาแห่งนี้ฝีมือร้ายกาจจริงเชียว
โลกนี้มิมีสิ่งใดได้มาโดยมิลงทุนหรอก ประจบประแจงก็เพื่อหวังผลทั้งนั้น !
ด้านอี้หวางเฟยดูแล้วคงเป็นสายลับที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ข้างกายนางแน่นอน
“เช่นนี้…” อันหลิงเกอมิรู้ว่าควรปฏิเสธเขาเช่นไร คนแบบนี้ตั้งแต่ต้นจนจบมักเผยรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ ดูแล้วย่อมเข้าหาผู้อื่นได้ง่าย
“วันนี้ชนเผ่าได้เจรจาข้อตกลงกับต้าโจวเรียบร้อยแล้ว การเชื่อมสัมพันธ์ต้องเกิดขึ้น จวนอ๋องมู่มิอยากยอมรับก็เกรงว่ามิได้ สู้ร่วมมือกับข้าดีกว่า” คนผู้นี้กล่าวได้ดีมากเพราะตอนนี้คงต้องหาข้ออ้างดี ๆ ให้อันหลิงเกอยอมตกลงเสียก่อน
“แต่…ข้าหวังว่าพระชายาจักมิบอกกล่าวเรื่องนี้ออกไป”
ดูท่าแล้วเวลานี้เขาคงต้องการความช่วยเหลือจากนาง เพราะเขามิรู้จักผู้ใดในวังหลวงของต้าโจว ผู้อื่นเขาเองก็มิวางใจ
ส่วนอี้หวางเฟย แม้บอกว่าเป็นน้องสาว แต่ก็ต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ เขามิโง่จึงหวังอย่างยิ่งว่าสามารถปูทางเพื่อบุตรีของตนได้
ขอเพียงพระชายามู่มิได้ขัดข้องอันใดอีกทั้งยังใจกว้าง หากบุตรีได้แต่งเข้ามาในจวนอ๋องมู่แล้วก็หวังว่าจักได้มีสัมพันธ์ที่ดีงามต่อกัน
ความจริงคือชนเผ่าแอบเปิดร้านขายผ้าอยู่ในต้าโจวมานานแล้ว อันหลิงเกอพยักหน้าเพราะแม้เรื่องราวในจวนมีมากมาย แต่ก็มิใช่เรื่องที่นางชื่นชอบ ผิดจากการทำการค้าที่นางมีความสนใจอย่างมาก หากเสนอเรื่องนี้ต่อมู่จวินฮานก็ถือว่าเป็นการบอกกล่าวความในใจของนางด้วย
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
คนผู้นั้นอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขานำที่อยู่ของร้านขายผ้ารวมทั้งกุญแจของแผงลอยมอบให้อันหลิงเกอ จากนั้นบอกรายละเอียดแล้วก็จากไป
บุรุษเยี่ยงนี้ดูเหมือนพบเห็นได้ยากในโลกที่แสนวุ่นวายแห่งนี้ แต่ก็ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น นางสัมผัสได้ถึงความเมตตาจากคนแปลกหน้าได้น้อยมาก ทว่าคนผู้นี้เป็นอีกหนึ่งคนที่นางได้พบ
ในขณะที่จมอยู่กับความคิดของตนเอง มู่จวินฮานก็กลับมาจากการพูดคุยกับลู่จ้าน บ่าวในจวนได้เตรียมอาหารไว้พร้อมแล้ว มู่จวินฮานจึงเพลิดเพลินกับการรับประทานอย่างมีความสุข
“ซูเอ๋อเพื่อนแสนดีของเจ้าเกรงว่าจักมีเรื่องให้รำคาญใจอีกแล้ว” มู่จวินฮานทานไปพลางเงยหน้ามองอันหลิงเกอ สิ่งที่เขาเอ่ยดูท่าจักทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนสนิทสนมกันมากขึ้น ปี้จูเห็นท่าทางของทั้งสองที่ยิ้มและมองตากันจึงถอยออกไป
อันหลิงเกอมิได้สังเกตถึงความสนิทสนมของทั้งสอง นางแค่เงยหน้ามองมู่จวินฮานด้วยความมิเข้าใจ นางมิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับซูเอ๋อ แต่ความรู้สึกของนางก็ได้แสดงออกมาว่าเป็นห่วงมาก
“เจ้ายังจำเนี่ยอันอันผู้นั้นได้หรือไม่ ? ” มู่จวินฮานเงยหน้า ส่วนอันหลิงเกอพยักหน้า
เรื่องที่เพิ่งจัดการไปเมื่อหลายวันก่อน นางมิลืมง่ายเยี่ยงนั้นหรอก
“เกิดเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอก็กำลังทานอาหาร ทั้งสองแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ดูราวกับสามีภรรยาที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันก็มิปาน
“หลายวันมานี้หลี่กุ้ยเฟยมิได้รับความโปรดปราน แต่สถานะของเนี่ยอันอันก็มิต้อยต่ำ แม้กล่าวว่าเป็นเพียงสตรีที่กองทัพช่วยเหลือกลับมา แต่ตระกูลฝ่ายมารดาของนางกลับมีความเกี่ยวข้องกับชนเผ่า เช่นนี้แล้วก็คาดว่าอยากเรียนรู้มารยาทกับหลี่กุ้ยเฟยเพื่อให้เนี่ยอันอันได้ขึ้นรับตำแหน่งในวังหลัง”
อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าหลี่กุ้ยเฟยจักมือยาวสาวได้สาวเอาเยี่ยงนี้