ตอนที่ 470 ตรวจสอบกิจการเกลือ
อันหลิงเกอยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้หากคิดสั่นคลอนตำแหน่งของซูเอ๋อก็คาดว่ามิใช่เรื่องง่ายเพราะแม่ทัพลวี่คงปกป้องซูเอ๋อเป็นอย่างดี มิยอมให้นางได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายเล็บเป็นแน่
มู่จวินฮานเห็นอันหลิงเกอมิค่อยเป็นกังวล เขาจึงวางใจส่วนเรื่องที่ลู่จ้านมาหาอันหลิงเกอในวันนี้เขาเองก็รู้ เมื่อเห็นอันหลิงเกอมิได้คิดอันใดก็ทำให้เขาเลิกคิดเช่นกัน
คนที่เขากลัวที่สุดมิใช่ไป๋หลี่เฉินแต่เป็นลู่จ้าน ตั้งแต่ต้นจนจบเขารู้สึกว่าลู่จ้านคิดมิซื่อกับอันหลิงเกอตลอดเวลา
“จริงสิ ช่วงนี้เห็นท่านและชิงเฟิงยุ่งตลอด กำลังตรวจสอบอันใดหรือเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็บอกมิได้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกเยี่ยงนั้น
มู่จวินฮานได้ฟังคำถามของอันหลิงเกอกลับได้แค่ยกยิ้มเล็กน้อยโดยมิตอบอันใด
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะดังขึ้นที่ขอบหน้าต่าง เป็นเสียงเคาะตามจังหวะบางอย่างทำให้สีหน้าของมู่จวินฮานเคร่งขรึม จากนั้นก็รุดหน้าไปเปิดหน้าต่างซึ่งภายนอกก็คือชิงเฟิงนั่นเอง เขาจึงรีบเดินนำไปทางห้องหนังสือ
“เรียนท่านอ๋อง ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เมื่อได้ฟังคำรายงานแล้วดวงตาที่เย็นชาของมู่จวินฮานก็หรี่ลงเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าวออกมา “วันนี้มิต้องลงมือแล้ว”
“เหตุใดขอรับ ? โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง หากพลาดไปก็มิรู้ว่าจักมีอีกเมื่อใดขอรับ ! ”
มู่จวินฮานจึงหรี่ตาลงและกล่าวว่า “เพราะโอกาสที่หาได้ยากยิ่งจึงมิควรลงมือ เดิมทีข้าก็คิดว่าเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่แต่ดูเหมือนมิใช่”
น้ำเสียงของชิงเฟิงที่อยู่ด้านหลังดังขึ้น “ท่านอ๋องอย่าพลาดยามเฉิน ( 07.00 – 08.59 น. ) ไปนะขอรับ”
มู่จวินฮานแสดงสีหน้าจริงจังและเดินออกจากห้องหนังสือด้วยท่าทางราวกับมิมีอันใดเกิดขึ้น
แต่ทั้งสองมิเคยคาดคิดว่าบทสนทนาทั้งหมดนี้ได้ตกอยู่ในสายตาของอันหลิงเกอที่นั่งอยู่ในลานกว้างหมดแล้ว
ใบหน้าของนางเย็นยะเยือก มิได้แสดงอาการคาดมิถึงออกมาทางสีหน้าทั้งยังสงบนิ่งและมิสะทกสะท้านอันใด
นางนั่งอยู่บนชิงช้า ในสมองกำลังนึกย้อนไปยังสารที่มู่จวินฮานถืออยู่ในมือ ความหมายของมัน…
หมายความว่าเยี่ยงไร ?
“รังนก…” อันหลิงเกอพึมพำกับตนเอง
นางแกว่งชิงช้าพลางสายตาทอดมองพิจารณาไปยังห้องหนังสือตลอดเวลา มินานเหตุการณ์ที่นางคาดคิดไว้ก็บังเกิดขึ้น
มีบุรุษแต่งกายเต็มยศหลายคนปรากฏตัวอยู่ข้างกำแพง ดูเหมือนพวกเขากำลังหารือบางอย่าง
ดวงตาสีดำของอันหลิงเกอหรี่ลงเล็กน้อยก่อนหมุนตัวและวิ่งไปยังข้างกำแพง จากนั้นก็ตะโกนไปยังกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าว่า “พวกเจ้ามาร้องงิ้วใช่หรือไม่ ? ”
บุรุษสองสามคนนั้นหมุนตัวกลับมามองด้วยความตื่นตระหนก กระทั่งเห็นพระชายามู่จึงรีบคำนับ
“วันนี้พวกเจ้ามาร้องงิ้วเพลงใดหรือ ? ”
บุรุษด้านหน้าสุดมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นคนแรกจึงรีบตอบกลับ “เป็น เป็น*บทงิ้วจิงเมิ่งขอรับ”
อีกหลายคนที่อยู่ด้านข้างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว “พระชายามิไปทานอาหารกับท่านอ๋องหรอกหรือขอรับ ? ”
“พวกเจ้าร้องงิ้วยังต้องใช้กระบี่จริงด้วยหรือ ? ” อันหลิงเกอเอ่ยอย่างประหลาดใจ “หรือพวกเจ้ามิรู้ว่าวันนี้องค์ชายก็เสด็จมาด้วย ถือดาบจริงกระบี่จริงไปต่อหน้าพระพักตร์ มิกลัวศีรษะหลุดจากบ่าหรือ ? ”
“มิใช่ของจริงขอรับ มิใช่ของจริงหรอกขอรับ” คนผู้นั้นรีบตอบกลับ
“มิใช่ของจริงก็เอามาให้ข้าดูหน่อยสิ ข้ายังมิเคยจับกระบี่มาก่อนเลย ! ” อันหลิงเกอยื่นมือออกไปพร้อมตะโกนออกคำสั่งแกมบังคับ
แต่คนเหล่านั้นมองหน้ากัน ร่างกายแข็งทื่ออยู่ที่เดิมมิกล้าชักกระบี่ออกมา
อันหลิงเกอก็มิได้ยิ้มตาหยีอีกแล้ว สีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “แม้แต่คำพูดของข้าก็มิเคารพกันแล้วหรือ ? ”
“เกอเอ๋อเองหรือ ? ”
อันหลิงเกอหันไปมองมู่จวินฮานที่กำลังเดินมา แววตาเปล่งประกายวูบหนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มขมขื่นแฝงไปด้วยความกังวลใจก่อนกล่าวออกไป “เกิดเสียงดังในจวนเยี่ยงนี้ ท่านมิยอมให้ข้ามาดูหรือเจ้าคะ ? ”
นางรู้ว่ามู่จวินฮานเป็นห่วง แต่นางอยากรู้ว่าช่วงนี้เขากำลังตรวจสอบเรื่องใด
“ท่านอ๋อง ท่านเชิญคณะงิ้วแห่งไหนมาหรือ เหตุใดจึงกล้าใช้ดาบกับกระบี่จริงมาร้องงิ้วเยี่ยงนี้ คนที่มิรู้อาจคิดว่าคนพวกนี้มีความคิดชั่วร้ายแอบแฝงอยู่เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอยื่นหน้าไปใกล้มู่จวินฮานราวกับตั้งใจตักเตือนก็มิปาน
แววตาสงสัยของมู่จวินฮานกวาดมองไปยังคนเหล่านั้น จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “เรื่องจริงหรือ ? ”
คนเหล่านั้นพากันคุกเข่าแล้วรีบตอบกลับ “นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้รับเกียรติให้มาร้องงิ้วในงานใหญ่ มิเข้าใจกฎเกณฑ์ มิรู้ว่าใช้ของจริงมิได้ เราอยากใช้ของที่ดีที่สุดเท่านั้นขอรับ”
“หากพบช้ากว่านี้ก็อาจเกี่ยวพันกับท่านอ๋องของข้า ! ”
อันหลิงเกอเอ่ยถึงเหตุผล จากนั้นก็มองไปยังสีหน้านิ่งเฉยของมู่จวินฮาน ดูท่าแล้วเขารับรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
หากทั้งหมดนี้อยู่ในการควบคุมของเขาก็มิมีอันใด หากเป็นจ้าวหลานหยู่ก็คงทำเรื่องเยี่ยงนี้ได้เช่นกันแต่จุดมุ่งหมายก็คงมิพ้นการยืมดาบฆ่าคน !
หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็หาข้ออ้างว่าตนรู้สึกเบื่อจึงออกจากจวน มิได้มีตรงไหนมิสบายแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะนางเข้าใจความหมายบนหน้าสารนั้นอย่างฉับพลัน
เกลือ
ร้านขายเกลือในเมืองมีจำนวนมาก นางรู้ว่าร้านขายเกลือบางร้านมิได้ขายแค่เกลือ ทั้งยังมีการลักลอบซื้อขายอาวุธอีกด้วย เพียงแต่นางได้ทำการตรวจสอบอยู่เงียบ ๆ และพบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพวกเขามีการไปมาหาสู่กับจ้าวหลานหยู่บ่อยครั้ง
ก่อนออกจากจวนนางก็เข้ามาในห้องก่อน จากนั้นนางก็ไขเปิดกล่องไม้จันทน์ที่ภายในคือสำเนาของบันทึกที่วางซ้อนทับกันอยู่หลายชั้น
หลังพลิกเปิดอยู่หลายหน้า ในที่สุดก็หาข้อมูลที่เกี่ยวกับร้านขายเกลือได้ นางให้คนที่อยู่ใต้อาณัติไปสังเกตการณ์เรื่องเกลือ เพราะนางทำได้แค่ตรวจสอบด้วยตนเอง
คาดมิถึงว่าตอนนี้มู่จวินฮานก็ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ดูท่าแล้วสามีภรรยาอย่างพวกเขาจักคิดเหมือนกัน
“ปี้จู ! ” นางเลิกคิ้วสูงพร้อมตะโกนเรียกออกไป
“เจ้าคะ ! ”
เมื่อเห็นปี้จูแล้วอันหลิงเกอก็หยิบพู่กันมาเขียนข้อมูลเกี่ยวกับร้านขายเกลือทั้งสามแห่งและมอบให้ปี้จูพร้อมกำชับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ไปส่งที่หอสดับพิรุณและให้ไป๋หลี่เฉินตรวจสอบว่าช่วงนี้ในสามร้านมีใครที่ค่อนข้างสนิทสนมกับองค์ชายเจ็ดเป็นพิเศษบ้าง”
“เจ้าค่ะ ! ”
เมื่อปี้จูจากไป คิ้วที่ขมวดเข้าหากันของอันหลิงเกอยังมิคลายจากกัน
ตอนนี้อันหลิงเกอปลอมตัวเป็นบุรุษและมาที่ร้านเกลือของเนี่ยอันอันแล้ว นางใส่เสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าสวมหน้ากากเพื่อให้แน่ใจว่าไร้การผิดพลาดเพราะนางมิสามารถเปิดเผยสถานะได้
สถานะจวนอ๋องมู่อันตรายเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจการเกลือของเนี่ยอันอัน
ถึงอย่างไรช่วงก่อนนางก็เพิ่งช่วยเหลือซูเอ๋อสั่งสอนอีกฝ่ายไป
ส่วนปี้จูก็ปลอมตัวมากับนางเช่นกัน ดูเหมือนปี้จูมีท่าทีกังวลเล็กน้อย “พระชายาต้องไปจริงหรือเจ้าคะ บ่าวกลัวว่ามีอันตรายเพราะคนที่ลักลอบค้าของเถื่อนล้วนน่ากลัวและอันตรายทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
“มิเป็นไรหรอก การได้เบาะแสใหม่มิใช่เรื่องง่าย จักปล่อยโอกาสหลุดมือมิได้เด็ดขาด ครั้งนี้ข้าต้องตรวจสอบด้วยตนเองถึงจะพอใจ”
อันหลิงเกอกล่าวพร้อมกำหมัดแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อ หลายปีมานี้นางพลาดโอกาสไปมิน้อยและครั้งนี้นางต้องคว้ามันไว้
ยิ่งไปกว่านั้นคือมู่จวินฮานก็กำลังตรวจสอบ หากพวกเขาได้ผลงานไป มินานคงสามารถโค่นหลี่กุ้ยเฟยและจ้าวหลานหยู่ได้
หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็พาปี้จูเข้าไปในร้านขายเกลือ สายตาของเด็กรับใช้หน้าประตูนั้นดีมาก ทันทีที่เห็นทั้งสองคนเข้ามาก็รู้ว่าหากมิใช่เศรษฐีก็ต้องเป็นชนชั้นสูงแน่นอนจึงเดินเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ข้ามาพบเถ้าแก่เนี่ยของพวกเจ้า” ปี้จูกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา อันหลิงเกอมิได้เอ่ยคำใดและมิอยากเปิดเผยสถานะด้วย
เด็กรับใช้กล่าวอย่างประสบสอพลอ “ท่านทั้งสองมาผิดเวลาเสียแล้ว เถ้าแก่เนี่ยของเราออกไปทำธุรกิจข้างนอก พวกท่านมีเรื่องอันใดก็ฝากบอกข้าน้อยได้ขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอันหลิงเกอก็กดเสียงต่ำและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “บางเรื่องเด็กรับใช้เยี่ยงเจ้ารู้เรื่องด้วยหรือ ? ”
คำพูดเยี่ยงนี้ทำให้เด็กรับใช้หน้าซีดเผือด ภายใต้กิจการเนี่ยอันอันยังมีกิจการอันใดร่วมอยู่ด้วย เขาอยู่ในร้านขายเกลือมาหลายปีย่อมเข้าใจดี
…
*จิงเมิ่ง หมายความว่า ฝันร้ายยามชมสวน