“ตอนนั้นตระกูลหนิงหวั่นเกรงฐานะของบ้านเราก็เลยไม่ได้มาหาเรื่อง เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองตระกูลจะขาดสะบั้นลงไม่ได้ พวกเขาก็เลยยกลูกสาวคนเล็กให้ข้าแทน นางก็คืออวิ๋นเหนียง”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็ยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความเสียใจ “คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายอวิ๋นเหนียงก็ตายที่บ้านตระกูลจ้าวเช่นกัน!”
เดิมกู้จิ้งคิดจะพูดแดกดันสักสองสามประโยค อวิ๋นเหนียงอะไรนั่นตายไปก็เพราะเขามันไม่เอาไหน ไม่ว่าเธอจะรักษาได้หรือไม่ แต่เขาเรียกเธอไปแล้วกลับไม่กล้าขัดคำสั่งงี่เง่าไร้เหตุผลของบิดา ไม่กล้าให้เธอลองรักษา ช่างอ่อนแอไร้สามารถยิ่งนัก!
แต่พอมองผู้ชายซึ่งกำลังปิดหน้าด้วยความเสียใจ เธอก็อดเห็นใจไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดซ้ำเติม ซ้ำยังเริ่มปลอบใจเขาแทน
“น่องไก่สองน่องให้ฮัสกี้ไปแล้ว เหลือแค่ตูดไก่ ยกให้นายกินก็แล้วกัน”
อาหารทำให้คนลืมความทุกข์ได้
จ้าวจิ้งเทียนเงยหน้าขึ้น เห็นกู้จิ้งยื่นตูดไก่มาให้ก็ตะลึงงันไป แต่จากนั้นก็ยอมรับไปแทะแต่โดยดี
ตูดไก่ซึ่งแฝงด้วยกลิ่นอายของฝนในฤดูใบไม้ร่วงทั้งเย็นทั้งแข็ง รสชาติของมันไม่อร่อยสักนิด แต่จ้าวจิ้งเทียนก็กลืนลงไปทีละคำๆ
กู้จิ้งมองชายหนุ่มซึ่งกำลังกินตูดไก่ ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในสมอง เธอลองหยั่งเชิงดู
“ซิ่วเฟินคนนั้น ฉันว่าหน้าตาไม่เลวเลย”
“ซิ่วเฟิน**?” จ้าวจิ้งเทียนเหลือบมองกู้จิ้งแวบหนึ่งพลางเก็บใบไม้ขึ้นมาเช็ดคราบมันบนมือ “นางน่ะ หน้าตาสะสวย รู้จักเอาอกเอาใจผู้คน ซ้ำยังเติบโตมาด้วยกันกับข้าตั้งแต่เด็ก”**
“ตอนนั้นนายไม่ได้แต่งงานกับเธอเพราะมีคู่หมั้นอยู่แล้วใช่ไหม? หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น?”
“ข้า… ข้าไม่ได้แต่งงานกับนาง เพราะเหตุผลหลายๆ ข้อ”
“เช่น?”
“จริงๆ แล้วเถี่ยเฟิงชอบนางมาก ในเมื่อเถี่ยเฟิงชอบ ข้าก็ไม่คิดอีก”
“งั้นหรือ?” กู้จิ้งเริ่มคิดถึงรักสามเส้าระหว่างหนึ่งหญิงสองชายขึ้นมาอีก “นายดีต่อเถี่ยเฟิงจริงๆ”
“ใช่” จ้าวจิ้งเทียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเสียงขื่น “เถี่ยเฟิงเป็นพี่น้องของข้า”
พี่น้อง? พี่น้องแบบไหนหรือ? พี่น้องที่สามารถยกผู้หญิงให้กันได้? ต้องมีความผูกพันลึกซึ้งสักแค่ไหนนะ?
กู้จิ้งแอบขมวดคิ้ว
ไม่ว่าอย่างไร เซียวเถี่ยเฟิงก็เป็นบรรพบุรุษของเธอ
เซียวเถี่ยเฟิงแต่งงานกับสาวน้อยใบหน้ารูปผลท้อได้ หรือจะแต่งงานกับผู้หญิงที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งละลานตาคนนั้นก็ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับจ้าวจิ้งเทียนคนนี้
ในขณะที่กู้จิ้งกำลังจะบีบลูกพลับในมือจนเละนั้นเอง ในที่สุดเธอก็เอ่ยขึ้นเบาๆ อย่างมีความหมาย “หลายปีมานี้เถี่ยเฟิงลำบากไม่น้อย เขาเองก็สมควรมีครอบครัวได้แล้ว ครอบครัวปกติ แต่งงานแล้วก็มีลูก จะปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์เช่นนี้ไม่ได้ คนที่ไร้ความสำคัญสมควรรู้จักคิดได้แล้ว อย่าทำให้เขาเสียเวลาอีกต่อไป”
จ้าวจิ้งเทียนนิ่งอึ้งก่อนจะหันมามองกู้จิ้ง “แบบนี้ก็ดี… ดีมาก”
เขาก้มหน้าลงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงท้อแท้ “ข้าคิดว่าเจ้าคงเข้าใจผิด แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยคิดอะไร เจ้าอยู่กับเขาก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ข้า… ข้าเองก็เคยบอกแล้วว่า พวกเจ้ากลับมาอยู่ที่หมู่บ้านเถอะ? ข้าจะหาทางเกลี้ยกล่อมคนในหมู่บ้านเอง”
ตอนที่กล่าวคำพูดนี้ เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
สตรีซึ่งยืนอยู่ตรงหน้านางนี้ จริงๆ แล้วไม่เลวเลย
หากมองดูดีๆ จะพบว่านางหน้าตาไม่เลว จมูกโด่งรั้น ดวงตาเปล่งประกายสุกใส ยิ่งสวมเสื้อผ้าที่เพิ่งตัดเย็บใหม่แล้วเกล้าผมเป็นมวยสูง นางก็ยิ่งดูเหมือนต้นสนสูงตระหง่าน สง่างามโดดเด่นเหนือผู้อื่น
เพียงแต่ขาดความอ่อนหวานเยี่ยงอิสตรีไปบ้าง เพราะนางเย็นชามากเกินไป
“เรื่องกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านไม่จำเป็นหรอก นายคิดได้แบบนี้ก็ดีมากแล้ว”
อะไรที่ควรเตือนกู้จิ้งก็เตือนไปหมดแล้ว เห็นจ้าวจิ้งเทียนเองก็รู้ความ เธอจึงเพียงแค่ทิ้งท้ายเอาไว้สั้นๆ ก่อนจะสะบัดหน้าจากไป
จ้าวจิ้งเทียนนั่งมองเงาหลังสูงโปร่งของหญิงสาวอยู่ตรงนั้นนิ่งนาน จนกระทั่งนางปีนขึ้นไปบนเขาแล้วเลี้ยวลับมุมไป เขาถึงได้ฝืนดึงสายตากลับมา
ผู้หญิงที่ดีแบบนี้ เสียดายที่เป็นปีศาจมีอาคม
เตือนตาเกย์สมควรตายจ้าวจิ้งเทียนเสร็จเรียบร้อย กู้จิ้งก็ถอนใจโล่งอก ดูทีท่าของจ้าวจิ้งเทียนแล้ว เขาคงไม่มาตอแยเซียวเถี่ยเฟิงอีกแล้วสินะ
ต่อจากนี้ เธอจะกิ๊กกับท่านบรรพบุรุษอีกสักพัก รอให้ความรักฉาบฉวยนี้จืดจางเมื่อไหร่ เขาอยากไปแต่งงานกับแม่ลูกท้อน่ารักหรือยัยแม่พันธุ์หุ่นบึ้บบั้บก็ตามใจเขา
คิดถึงตรงนี้ กู้จิ้งก็เงยหน้าขึ้นมองขุนเขาสูงใหญ่หลังฝนตก เห็นมันถูกปกคลุมด้วยหมอกจางๆ ราวกับกลุ่มควันก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้
“นับแต่โบราณ การจากลาเป็นเรื่องเศร้า ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเหน็บหนาว ความกลัดกลุ้มยากทานทน วันนี้จะตื่นจากความเมามาย ณ ที่ใด? หลิวหยางริมฝั่ง จันทร์เสี้ยวกับสายลมยามเช้า จากไปครั้งนี้ไม่รู้จะได้พบอีกเมื่อใด ทิวทัศน์งดงามไม่ต่างจากความว่างเปล่า แม้มีความรักอยู่เต็มอก จะ…” เธอตั้งใจจะท่องกลอนให้เข้ากับบรรยากาศสักบท แต่จนใจที่จำประโยคสุดท้ายไม่ได้
สุดท้ายก็ได้แต่มองหมอกจางๆ นั้นพลางทอดถอนใจว่า “ท่านบรรพบุรุษ สักวันหนึ่งนายต้องไปหาบรรพบุรุษฝ่ายหญิงของคุณยาย ส่วนฉันก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่ฉันควรจะรั้งอยู่นาน! เรามีดอกไม้ให้เด็ดก็ควรรีบเด็ด เสพสุขกับชีวิตให้มากที่สุด!”
กำลังนั่งคร่ำครวญอยู่คนเดียว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนพึมพำอยู่ข้างๆ “ขอต้าเซียนคุ้มครอง ต้าเซียนคุ้มครองด้วย ขอให้ข้าหาลูกกับแพะเจอ ไม่เช่นนั้นข้าคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แน่ๆ!”
พูดจบก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
กู้จิ้งฟังแล้วอดงุนงงไม่ได้ ที่นี่ไม่มีวัดชัดๆ คนพวกนี้มาไหว้อะไรกัน พอยื่นหน้าไปดูก็พบว่าผู้หญิงที่ร้องไห้จนตาบวมแดงคนนั้นกำลังเผากระดาษอยู่
ระหว่างที่เผากระดาษ นางก็ยกมือไหว้ไปด้วย
กู้จิ้งมองตามไป ทิศทางที่นางไหว้ดูเหมือนจะเป็น…ถ้ำของเธอ?
คราวนี้กู้จิ้งยิ่งงงกว่าเดิม นี่กำลังทำอะไรกัน? ยังมีของเซ่นไหว้ที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ เอามาไหว้ใครกัน?
ในตอนนั้นเอง ผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น พอมองเห็นเธอ นางก็ตกใจจนตาค้าง ร่างทั้งร่างสั่นระริก “ต้าเซียนไว้ชีวิตด้วย ต้าเซียนไว้ชีวิตด้วย ผู้น้อยไม่ได้ตั้งใจมารบกวนความสงบสุขของท่าน แต่เป็นเพราะเมื่อวานหยางต้านของข้าไปเลี้ยงแพะ ป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา ซ้ำบนเขายังมีฝนตก เกรงว่า… เกรงว่า…”
พูดไปๆ ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นอีก นางนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นพลางโขกศีรษะไม่หยุด “ต้าเซียนช่วยลูกของข้าด้วย!”
ต้าเซียน?
กู้จิ้งสมองพองโต
เธอ…กลายเป็นต้าเซียนไปแล้ว?
มีเรื่องเข้าใจผิดใหญ่โตแบบนี้ด้วย?
“ลูกชายหายไป ไม่ไปหาในป่า มาไหว้ผีไหว้สางที่นี่ทำไม?” กู้จิ้งถอนใจยาวพลางพยายามเกลี้ยกล่อม “ไหว้ผีไหว้สางไม่ทำให้หาลูกชายกลับมาได้หรอกนะ เสียเวลาเปล่าๆ ฉันเองก็ไม่ใช่ต้าเซียน ไม่มีอาคมที่จะช่วยหาเด็กอะไรทั้งนั้น! หากลูกของเธอป่วยฉันยังช่วยรักษาให้ได้ แต่หายไปแบบนี้ ฉันจะทำอะไรได้?”
“แต่… แต่หาจนทั่วแล้วก็หาไม่เจอ!” สตรีนางนั้นเองก็จนใจ! นางได้ยินมาว่าปีศาจตนนี้มีอาคม หากไม่ใช่ไม่มีทางเลือก นางจะมาไหว้หรือ?
กู้จิ้งส่ายหน้า ในใจนึกร้อนใจแทนอีกฝ่าย “หาไม่เจอก็ต้องหา! เข้าไปในป่า มีถ้ำที่ไหนก็ต้องหาดูให้ทั่ว เรียกคนไปช่วยหาเพิ่มอีกหลายๆ คน หากยังชักช้าอยู่แบบนี้ ถึงตอนกลางคืนเมื่อไหร่ลูกเธออาจถูกหมาป่าคาบไปกินก็ได้ ถึงตอนนั้นเสียใจก็ไม่ทันการแล้ว!”
แต่ในสายตาของสตรีนางนั้น ความร้อนใจของกู้จิ้งกลับกลายเป็นอารมณ์เสีย ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เธอมีสีหน้าเย็นชามาแต่กำเนิดล่ะ สตรีนางนั้นรีบลนลานวิ่งหนีไปด้วยความหวาดหวั่น “ต้าเซียนไว้ชีวิต อย่าได้โมโห ผู้น้อยจะไปหาเดี๋ยวนี้”
มองดูสตรีที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต กู้จิ้งก็หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ สุดท้ายเธอก็ก้มลงมองธูปกับของเซ่นไหว้ พบว่ามีทั้งเกี๊ยวทั้งขนมอยู่ด้วย
กู้จิ้งเก็บขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี อยู่ในป่าแบบนี้ ต่อให้เธอไม่เอาก็ต้องกลายเป็นลาภปากของสัตว์ เพราะฉะนั้น รีบเอากลับบ้านดีกว่า
กลับไปถึงถ้ำ เซียวเถี่ยเฟิงนั่งรออยู่แล้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล “เจ้าไปไหนมา ทำไมถึงกลับมาเอาป่านนี้?”
กู้จิ้งหัวเราะคิกคักก่อนจะขยับไปใกล้เขา จากนั้นจึงหยิบอาหารทั้งหมดออกมาวางลงบนเตา
“นายดูสิ ฉันได้ของกินมาเยอะแยะเลย วันนี้เราจะกินเกี๊ยวกัน!”
เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วจ้องเกี๊ยวที่เธอหยิบออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ชั่วขณะนั้นเขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดอะไรดี
เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าพวกชาวบ้านเห็นเธอเป็นปีศาจ ซ้ำยังเป็นปีศาจที่มีความสามารถพอจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าชาวบ้านที่หวาดกลัวจะมาเซ่นไหว้
ยัยปีศาจโง่นี่ก็ดันรับของเซ่นไหว้มาจริงๆ?
“ทำไม ท่านบรรพบุรุษไม่ชอบกินเกี๊ยวหรือ?” เธอวิ่งเข้าไปหาแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าเขา ในใจอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงหน้าบูดแบบนี้
“เจ้า…” จริงๆ เซียวเถี่ยเฟิงอยากอาละวาด แต่มองดูเธอแล้วก็ตัดใจทำไม่ลง สุดท้ายเขาก็ได้แต่กอดเธอเอาไว้ด้วยความจนใจพลางยกมือขึ้นหยิกแก้ม “แม่สาวจอมตะกละ ถ้าอยากกินเกี๊ยว ข้าจะพาลงเขาไปกิน ทำไมต้องไปเก็บของที่คนอื่นโยนทิ้งมาด้วย มันเย็นหมดแล้ว”