ยามนี้กู้จิ้งรู้แล้วว่าจะจัดการกับผู้ชายคนนี้อย่างไร เธอรีบขยับเข้าไปซบหน้ากับอกเขาพลางกล่าวออดอ้อนว่า “ท่านบรรพบุรุษ นายรับปากแล้วนะ แต่ด้านนอกฝนตก เดินไม่สะดวก ออกไปตอนนี้ยุ่งยากจะตาย! แถมจะว่าไป ฉันอยากกินเกี๊ยววันนี้นี่นา! เย็นก็ไม่เป็นไร อุ่นใหม่ก็ได้นี่”
เซียวเถี่ยเฟิงถอนใจ
นางพูดถึงขั้นนี้ เขาจะค้านได้อย่างไร สุดท้ายก็ได้แต่ตบแก้มนางเบาๆ “นั่งอยู่ตรงนี้เฉยๆ ข้าจะไปอุ่นให้ เรากินกับน้ำแกงปลาร้อนๆ ดีไหม”
“อืมๆๆ!” กู้จิ้งรับคำพลางเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านบรรพบุรุษ “ชอบนายที่สุดเลย!”
เซียวเถี่ยเฟิงถูกจูบแก้มก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปวูบหนึ่ง พอรู้ตัวอีกทีนางก็วิ่งเข้าไปในถ้ำเสียแล้ว เขาได้แต่ยิ้มพลางส่ายหน้าก่อนจะไปอุ่นเกี๊ยวให้
ชายหนุ่มเดินไปที่เตา ตรงนั้นไม่เพียงแต่มีเกี๊ยววางอยู่ แต่ยังมีอาหารและผลไม้อื่นๆ อีกหลายชนิด เรียกได้ว่าครบถ้วนเลยทีเดียว
หลังจากเซียวเถี่ยเฟิงจัดการอุ่นอาหารเสร็จ ทั้งสองก็ตั้งโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกันตรงปากถ้ำ กำลังกินกันอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประทัดดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องตะโกน
“ขอบคุณต้าเซียนที่ชี้แนะ ข้าหาหยางต้านเจอแล้ว เขาอยู่ในถ้ำที่ต้าเซียนบอกจริงๆ! ขอบคุณต้าเซียน!”
“โชคดีที่ต้าเซียนช่วยชี้แนะ เราถึงหาเขาเจอทันเวลา ไม่เช่นนั้นลูกของข้าคงต้องถูกหมาป่าทำร้ายแน่!”
สีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงเปลี่ยนไปทันที เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมป่าไปดู
เขารู้จักครอบครัวนี้ดี จ้าวจิ้งเยว่กับครอบครัวรวมทั้งลูกชายวัยเจ็ดขวบที่ชื่อหยางต้านกำลังจัดเรียงของเซ่นไหว้แล้วโขกศีรษะคำนับกันอยู่ตรงนั้น
เขามองเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับไปที่ปากถ้ำ
ปีศาจสาวของเขากำลังหยิบเกี๊ยวใส่ปาก “ไส้หมูด้วย อร่อยจัง”
เซียวเถี่ยเฟิงมองเธอแล้วก็อดถามไม่ได้ “เจ้าชี้แนะอะไรให้ครอบครัวของจ้าวจิ้งเยว่หรือ?”
“จ้าวจิ้งเยว่?” กู้จิ้งงง
“คนที่ตามหาเด็กยังไงล่ะ!”
“ตามหาเด็กงั้นหรือ?” กู้จิ้งค่อยนึกขึ้นได้ “ไม่ได้พูดอะไรนี่ ฉันแค่บอกว่าจะตามหาเด็กก็ไปตามหาสิ มาพร่ำบอกฉันแล้วมีประโยชน์อะไร ต้องรีบไปหาถึงจะถูก ที่ไหนมีถ้ำก็ไปหาดู”
แต่ประโยคที่แน่ชัดคืออะไร เธอก็จำไม่ได้แล้ว
เซียวเถี่ยเฟิงมองใบหน้าไร้เดียงสาของเธอ ชั่วขณะนั้นเขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดอะไรดี
(ปีศาจน้อยแบมือ… ไม่ใช่ฉันอยากหลอกนะ พวกเขายืนกรานให้ฉันหลอกต่างหาก*~~)*
กู้จิ้งคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตัวเองจะถูกมองเป็นปีศาจ
ไม่เพียงแค่เป็นปีศาจ แต่ยังเป็นปีศาจที่มีอาคมอีกด้วย
ดูสิ บนทางเล็กๆ นอกถ้ำบ้านเธอมีธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทองแล้วก็ของเซ่นไหว้ชนิดต่างๆ อยู่เต็มไปหมด
เธอบอกท่านบรรพบุรุษไปแล้วว่า “มีฉันอยู่ นายไม่ต้องทำกับข้าวและก็ไม่ต้องไปล่าสัตว์แล้ว ฉันหาหนทางเลี้ยงชีพใหม่ได้แล้ว เรามานั่งรอให้คนอื่นเอาของมาเซ่นไหว้ตรงปากถ้ำกันเถอะ”
เซียวเถี่ยเฟิงมองปีศาจน้อยของเขาด้วยสายตาจนใจ จากนั้นจึงเลิกคิ้วกล่าวเสียงเรียบ “อาศัยเจ้า ข้ากลัวว่าถ้าวันไหนอาคมของเจ้าเสื่อมอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา เราสองคนจะถูกไล่ฆ่าน่ะสิ”
นางมีน้ำยาแค่ไหน เขาย่อมรู้ดี ตอนนั้นหากไม่ใช่เขา นางคงถูกผู้อื่นเตะกระเด็นไปนานแล้ว
นางคงเป็นปีศาจงูน้อยที่ไม่ตั้งใจบำเพ็ญตบะ จนเป็นเหตุให้ถูกขับไล่ออกมาจากโลกปีศาจสินะ
กู้จิ้งคิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มข้างกายจะมีจินตนาการสูงส่งจนคิดว่าเธอเป็นปีศาจจริงๆ ได้ยินเช่นนี้ เธอก็คิดว่าอีกฝ่ายคงแค่ล้อเล่นเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจนัก ซ้ำยังลงมือแบ่งของเซ่นไหว้ออกเป็นกลุ่มต่างๆ แล้วจัดเก็บให้เรียบร้อย
เซียวเถี่ยเฟิงมองปีศาจน้อยจอมละโมบแล้วก็ได้แต่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ก็ได้ ข้าจะจากไปสักพัก เจ้าอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็มีอาหารกิน ยิ่งไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมารังแก”
“จากไป?” กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น “นายจะไปไหน ไปจากที่นี่หรือ? หรือจะกลับไปที่หมู่บ้าน? นายคิดจะทอดทิ้งฉันอย่างนั้นรึ?”
เซียวเถี่ยเฟิงคิดไม่ถึงว่าเธอจะมีปฏิกิริยาตอบโต้เช่นนี้ เขาจึงประหลาดใจไม่น้อย
“เจ้าคิดว่าข้าจะจากไปโดยไม่พาเจ้าไปด้วย?”
“อ้อ…ไม่ใช่หรือ?” กู้จิ้งมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสายตาหยั่งเชิง
หัวใจของเซียวเถี่ยเฟิงหนาวเยือก ลำคอขมปร่า
เขาคิดว่าเขากับนางเป็นสามีภรรยากัน พวกเขามาบุกเบิกถ้ำและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ถึงนางไม่อาจสัญญาว่าจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต แต่ชาตินี้ในใจเขาจะมีแค่นางเท่านั้น ไม่มีวันมีใครอื่นอีก
แต่ทำไมเขาพูดแค่ประโยคเดียว นางก็คิดว่าเขาจะไปจากนาง?
กู้จิ้งมองสีหน้าของท่านบรรพบุรุษก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไร เธอรีบโผเข้าไปกอดเขาเอาไว้ “ท่านบรรพบุรุษคนดี นายจะจากไปไหน ไปซื้อของในเมืองหรือ?”
กู้จิ้งตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าตัวเองเข้าใจผิดไป
แม้เซียวเถี่ยเฟิงจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่มองหญิงสาวร่างนุ่มในอ้อมกอดแล้ว ความไม่พอใจเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
“ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้วไม่ใช่หรือ ถึงเวลาของการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว”
“การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงคืออะไร?”
เซียวเถี่ยเฟิงเห็นกู้จิ้งไม่รู้จักก็ค่อยๆ อธิบายให้ฟัง
ที่แท้ในฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี ชาวเขาเว่ยอวิ๋นจะจัดงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ขึ้น การล่าสัตว์ครั้งนี้เป็นการสั่งสมเนื้อไว้สำหรับฤดูหนาว เพราะหากเข้าสู่ฤดูหนาวเมื่อไหร่ ชาวเขาเว่ยอวิ๋นจะไม่ขึ้นเขาไปล่าสัตว์อีก
การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงจะไม่กระทำตามลำพัง แต่ต้องจับกลุ่มขึ้นเขากันอย่างมีระเบียบกฎเกณฑ์
บนเขาเว่ยอวิ๋นไม่ใช่มีเพียงหมู่บ้านเว่ยอวิ๋น แต่ยังมีหมู่บ้านอื่นๆ อีกเจ็ดถึงแปดหมู่บ้าน ชาวบ้านในหมู่บ้านเหล่านี้จะขึ้นเขาไปล่าสัตว์ภายใต้การนำของหัวหน้าพราน พวกเขาจะเคลื่อนไหวร่วมกันตามคำสั่งของหัวหน้าพรานเท่านั้น หลังจากล่าสัตว์มาได้ ก็จะนำมาแบ่งสันปันส่วนกัน
กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ “อย่างนี้มิเท่ากับว่าหัวหน้าพรานมีอำนาจล้นฟ้าหรอกหรือ?”
สามารถบัญชาการคนทั้งหมด สามารถจัดสรรทรัพยากรต่างๆ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นหัวหน้าใหญ่นั่นเอง
“ถูกต้อง เจ้าทายถูกแล้ว” เซียวเถี่ยเฟิงมองปีศาจน้อยของตัวเองด้วยสายตาชื่นชม “ตำแหน่งหัวหน้าพรานจะเปลี่ยนทุกสามปี โดยให้ชาวบ้านทั้งแปดหมู่บ้านคัดเลือกชายหนุ่มวัยฉกรรจ์คนหนึ่งขึ้นมารับหน้าที่ พวกผู้ชายในหมู่บ้านทั้งแปดต่างก็หมายปองตำแหน่งนี้ แต่การจะเป็นหัวหน้าพรานไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องทำให้คนทั้งหมดยอมรับนับถือให้ได้ด้วย”
กู้จิ้งขมวดคิ้ว ใจนึกถึงจ้าวจิ้งเทียนขึ้นมา
“เขาเป็นหัวหน้าพรานคนปัจจุบันอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่”
ได้ยินเช่นนี้เธอก็หันไปมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสายตาพินิจพิจารณา “แล้วนายล่ะ ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าจะนิสัยหรือวรยุทธ์ของนายก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขาเลยสักนิด ทำไมเขาเป็นหัวหน้าพรานได้ แต่นายเป็นไม่ได้ล่ะ”
จริงๆ แล้วกู้จิ้งไม่ได้รู้เรื่องวรยุทธ์อะไรนั่นสักเท่าไหร่ แต่พูดถึงความรับผิดชอบ, ความกล้าหาญ และอุปนิสัยแล้ว เธอรู้สึกว่าจ้าวจิ้งเทียนด้อยกว่าท่านบรรพบุรุษของเธอมากทีเดียว
ไม่พูดถึงสิ่งที่เธอสัมผัสได้ในช่วงหลายวันมานี้ แค่พูดถึงคุณยายของเธอ นั่นเป็นหญิงชราที่ฉลาดหลักแหลมและมีสายตากว้างไกลสักแค่ไหน บรรพบุรุษของคุณยายจะด้อยกว่าได้อย่างไร?
เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา เขาย่อมชอบให้ปีศาจน้อยกล่าวชื่นชม แต่มองสีหน้าไร้เดียงสาของเธอแล้ว เขาก็อดยิ้มไม่ได้
“เจ้าย่อมไม่เข้าใจ เรื่องราวในโลกมนุษย์สลับซับซ้อนมาก จะเป็นหัวหน้าพรานได้ ไม่ใช่แค่ต้องมีฝีมือในการล่าสัตว์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันถึงวงศ์ตระกูลด้วย หากยืนอยู่บนตำแหน่งนั้นโดยไม่มีคนสนับสนุน ฐานะก็คงไม่มั่นคงนัก”
หลังจากพ่อแม่ของเขาจากไป ตระกูลเซียวก็ตกต่ำลง อาของเซียวเถี่ยเฟิงไม่ใช่คนที่สามารถค้ำจุนวงศ์ตระกูล ย่อมไม่อาจฝากความหวังเอาไว้ได้
“อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว เป็นเพราะไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีคนดูแล พวกเขาก็เลยรังแกนายใช่ไหม?”
“ก็ไม่ถือว่ารังแก ควรพูดว่าข้าไม่ได้อยากเป็นจะดีกว่า”
เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวเสียงเรียบ
อาณาเขตแปดร้อยลี้ของเขาเว่ยอวิ๋นคือบ้านเกิดของเขา คือแผ่นดินของชาวเขาเว่ยอวิ๋น คำว่าหัวหน้าพรานสามคำมีน้ำหนักมากยิ่งกว่าขุนเขาเสียอีก
แต่คนอย่างเซียวเถี่ยเฟิงซึ่งเคยก้าวออกจากขุนเขาไปพบเห็นโลกกว้างใหญ่ภายนอก จะเห็นตำแหน่งหัวหน้าพรานเล็กๆ อยู่ในสายตาได้อย่างไร? จะมานั่งถือสาหาความว่าหลังจากการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง ตัวเองจะได้รับแบ่งเนื้อกี่ชั่งได้อย่างไร?
สมัยเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนเขาเคยคิดว่าตัวเองสามารถเหยียบโลกใบนี้เอาไว้ใต้ฝ่าเท้า แต่เมื่ออายุมากขึ้น ความปรารถนาของเขากลับมีเพียงแค่มีอาหารกินอิ่มท้อง และมีลูกเมียอยู่ในอ้อมกอดเท่านั้น
ยามนี้เขามีปีศาจสาวอยู่ข้างกาย แม้ต้องหลบอยู่ในถ้ำ แต่ชีวิตที่ไม่ต่างจากเทพยดาเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี ไยต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายในโลกภายนอกด้วย
กู้จิ้งมองท่านบรรพบุรุษของตัวเองด้วยสายตาครุ่นคิด
คำพูดของเขาเมื่อครู่สงบนิ่งมาก จิตใจกว้างขวาง ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า นับว่าเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง! ถ้าเป็นคนอื่นก็แล้วไป แต่เขาเป็นบรรพบุรุษของยายของเธอนะ!
ในฐานะบรรพบุรุษ ทำไมถึงไม่คิดบุกเบิกสร้างรากฐาน สร้างเนื้อสร้างตัว เก็บสะสมทรัพย์สินเงินทองไว้ให้ลูกหลานบ้าง!