ตอนที่ 47 แค่เรื่องไร้สาระเล็กๆ น้อยๆ

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

คุณยายเคยชี้ไปที่ที่นาสองไร่ที่หลังเขาแล้วบอกเธอว่า นั่นเป็นทรัพย์สมบัติที่ตกทอดมาจากปู่ของปู่ของปู่ของปู่ไม่ใช่หรือ

ถ้าเขารีบคว้าที่สองสามไร่นั่นมาครอบครองได้เร็วๆ ลูกหลานรุ่นหลังก็จะทุ่นแรงไปได้มาก

กู้จิ้งดีดลูกคิดรางแก้วเสร็จก็เหลือบตามองท่านบรรพบุรุษพลางถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นนาย…นายก็จะเข้าร่วมการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงอะไรนั่นด้วยใช่ไหม?”

เซียวเถี่ยเฟิงส่ายหน้า “ข้าถูกไล่ออกมาแล้วย่อมไม่มีความจำเป็นต้องเข้าร่วมอีก ข้าแค่คิดจะหาเวลาเข้าป่าไปล่าสัตว์นิดๆ หน่อยๆ จะได้เอาไปขายแลกเงินในเมืองเท่านั้น”

พูดถึงเรื่องที่ถูกขับออกจากหมู่บ้าน กู้จิ้งก็ยิ้มพลางถามว่า “ทำไมนายถึงถูกไล่ออกมาล่ะ?”

เซียวเถี่ยเฟิงตะลึงมองผู้หญิงตรงหน้า

เขาถูกขับออกมาจากหมู่บ้านเพราะนางน่ะสิ

แต่ถ้านางไม่รู้ เขาก็ไม่อยากจะพูดถึงอีก พูดไปก็ทำให้นางไม่สบายใจเปล่าๆ

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยิ้มกลบเกลื่อนแล้วกล่าวว่า “แค่เรื่องไร้สาระเล็กๆ น้อยๆ อย่าไปพูดถึงเลย มา… ข้าจะบอกให้ ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องจำไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้ตัวเองอดตายอยู่ที่นี่เด็ดขาด”

เห็นเขาไม่พูด กู้จิ้งก็ยิ่งแน่ใจ

ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องหญิงๆ ชายๆ รักๆ ใคร่ๆ แน่

เธอแอบถอนใจเงียบๆ ในเมื่อเขาอายที่จะพูดถึง เธอก็คงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้

คนเราต้องให้เกียรติผู้หลักผู้ใหญ่บ้าง เรื่องของท่านบรรพบุรุษ จะซอกแซกถามได้อย่างไร

เซียวเถี่ยเฟิงคิดมาตลอดว่าปีศาจสาวของเขาไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไหร่นัก นางทำอะไรก็ไม่ค่อยเป็น ซ้ำในสมองยังมีความคิดแปลกๆ อยู่เต็มไปหมด ถึงจะใช้อาคมเป็นอยู่บ้าง แต่ก็ล้วนเป็นอาคมที่ไม่เข้าท่าแถมยังไร้ประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่นโอสถทิพย์ที่นางเสกออกมาเมื่อครั้งก่อน ถึงจะมีกลิ่นหอมเย็นสดชื่นของป๋อเหอ แต่พอกลืนลงไปกลับเหนียวหนึบหนับ

หรือมันจะเป็นโอสถทิพย์ที่ปรุงล้มเหลว?

กินแล้วไม่เห็นจะรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงขึ้นตรงไหน

คิดได้เช่นนี้ เซียวเถี่ยเฟิงก็ยิ่งไม่วางใจปีศาจสาว กลัวว่าหากตัวเองเข้าป่าไปล่าสัตว์ นางจะปล่อยให้ตัวเองหนาวตายหิวตาย หรือไม่ก็อาจจะวิ่งออกไปรังแกหมารังแกแมวอีกก็เป็นได้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงอธิบายเรื่องต่างๆ ที่ต้องระวังให้ปีศาจสาวฟังทีละเรื่องๆ

เช่น ตอนกลางคืนต้องอย่าลืมก่อกองไฟ ต้องมัดรั้วให้แน่นหนาป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเล็ดลอดเข้ามาทำร้าย ต้องกินอาหารตรงตามเวลาทุกวัน ห้ามกินอาหารเหลือทิ้งและอาหารเย็นๆ

“ของเซ่นไหว้ข้างนอกพวกนั้น ทางที่ดีอย่าได้กิน ถ้าอยากกินจริงๆ ก็ต้องเอากลับมาอุ่นให้ร้อนก่อน”

“อืมๆ” กู้จิ้งรับคำแบบขอไปทีเพราะสมองยังคิดถึงเรื่องหัวหน้าพรานอยู่

“ข้าจะให้ฮัสกี้เฝ้าเจ้าเอาไว้ ห้ามรังแกมันนะ ถึงมันจะเป็นหมา แต่ในยามคับขันก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง”

“อืมๆๆ รู้แล้ว” กู้จิ้งส่งเสียงอืมๆ ส่งเดช เพราะกำลังคิดว่า เพื่อชีวิตที่มีความสุขของคุณยาย เธอต้องหาทางให้เขาบุกเบิกสร้างรากฐาน สร้างเนื้อสร้างตัวให้ได้

เซียวเถี่ยเฟิงมองท่าทางใจลอยของภรรยาแล้วก็ยิ่งจนใจ เขาตบแก้มเธอเบาๆ “ยัยโง่ ไม่อย่างนั้นเจ้าเข้าป่าไปกับข้าดีไหม? ข้าไม่วางใจเลยจริงๆ”

“อืมๆๆ ก็ได้!” กู้จิ้งกำลังเริ่มวางแผนว่าจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ตอนนี้มาสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างไร จะได้ทำให้คุณยายมีที่ดินมรดกเพิ่มขึ้นอีกหลายๆ ไร่

เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่านางไม่ได้ฟังที่เขาพูดสักนิด ชายหนุ่มคว้าร่างนางขึ้นมาอุ้มด้วยความโมโห “ปีศาจน้อย เจ้าต้องถูกสั่งสอนเสียบ้างแล้ว”

ใครจะรู้ว่ากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นที่ด้านนอกว่า “ต้าเซียน ช่วยลูกของข้าด้วย ต้าเซียน ขอท่านโปรดแสดงอิทธิฤทธิ์ ช่วยลูกของข้าด้วย!”

กู้จิ้งฟังแล้วอดถอนใจไม่ได้ “เอาอีกแล้ว ฉันกลายเป็นต้าเซียนวาจาสิทธิ์ไปแล้วสินะ!”

เซียวเถี่ยเฟิงลูบเอวบางของเธอด้วยความจนใจ “กินของคนอื่นก็ต้องเกรงใจคนอื่น เจ้าเพิ่งกินเกี๊ยวที่ผู้อื่นนำมาเซ่นไหว้ จะไม่ทำงานได้อย่างไร?”

กู้จิ้งคิดดูก็ใช่ เธอยกมือขึ้นลูบปาก “ไม่ได้ให้กินฟรีๆ หรือนี่… ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เราออกไปดูกัน”

 

หลายวันมานี้ มีข่าวข่าวหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วเขาเว่ยอวิ๋น

ภรรยาของเซียวเถี่ยเฟิง คนที่ดูแปลกๆ คนนั้น ได้ยินว่าเป็นปีศาจมีอาคมสามารถร่ายคำสาปได้

ปีศาจตนนี้อารมณ์ร้าย ถ้าใครตอแยนาง นางก็จะร่ายคำสาปใส่คนคนนั้น

ได้ยินว่าคนตระกูลจ้าวไปล่วงเกินนางเข้า นางร่ายคำสาปเพียงคำเดียวก็ทำให้เขาเว่ยอวิ๋นมีฝนตกหนักติดต่อกันถึงสามวัน ส่งผลให้กำแพงบ้านพังไปไม่รู้กี่หลัง แถมต้นข้าวก็ถูกน้ำท่วมตายมากมายนับไม่ถ้วน

นางเป็นปีศาจที่ไม่อาจล่วงเกินได้เลย

แต่ว่าปีศาจตนนี้ก็มีข้อดีอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือสามารถทำนายทายทักและรักษาโรคให้ผู้คนได้ ได้ยินว่าตอนที่เข้าไปในเมือง นางเคยใช้เข็มเย็บผ้าเย็บบาดแผลให้เด็ก

ผ่านไปไม่กี่วัน แผลของเด็กคนนั้นก็หายสนิทเหมือนไม่เคยมีแผลมาก่อน!

นี่มันอาคมชัดๆ ร้ายกาจเป็นบ้า!

คำร่ำลือนี้แพร่กระจายไปทั่วแปดหมู่บ้านบนเขาเว่ยอวิ๋นในชั่วพริบตา ผู้คนจึงพากันมาที่ปากถ้ำบนเขาเพื่อจุดธูปเผากระดาษวิงวอนไม่ให้ปีศาจร่ายคำสาปอีก แต่ก็มีบางคนที่มีเรื่องทุกข์ใจมาขอให้ปีศาจใช้อาคมช่วยเหลือ

เช่น ลูกของจ้าวจิ้งเยว่ที่หายตัวไป ตามหาอยู่สองวันก็หาไม่พบ สุดท้ายได้ปีศาจช่วยชี้แนะเพียงคำเดียว พวกเขาก็หาเด็กรวมทั้งแพะพบได้อย่างรวดเร็ว

“จุ๊ๆ อย่าเรียกปีศาจ ต้องเรียกต้าเซียน!”

“ใช่ๆๆ เรียกต้าเซียน!”

“ได้ยินว่าต้องเรียกต้าเซียนแล้วนำเครื่องเซ่นไหว้ไปมอบให้ด้วยความเคารพ หากต้าเซียนรับของเซ่นไหว้ไปก็หมายความว่าเรื่องที่เราขอจะสัมฤทธิผล แต่หากไม่รับ ขอไปก็ไร้ประโยชน์…”

ท้ายเสียงบอกชัดว่าเสียดายมาก

“ใช่ ต้องให้ต้าเซียนรับของเซ่นไหว้ของเราไป เราถึงจะสมหวัง บ้านจ้าวจิ้งเยว่เอาเกี๊ยวมาไหว้ ได้ยินว่าต้าเซียนรับไป สุดท้ายก็เลยหาเด็กพบ”

“แล้วเจ้าเอาอะไรมา?”

“ฮะๆๆ ไก่ที่เมียข้าตุ๋นเองน่ะสิ ได้ยินว่าหมาของต้าเซียนชอบกินไก่”

“ไอ๊หยา แย่แล้ว ต้าเซียนเลี้ยงหมา แถมยังชอบกินไก่ด้วยงั้นรึ? ข้าเอาปลามา หมาไม่ชอบกินปลา ต้าเซียนจะไม่ชอบกินปลาด้วยหรือเปล่า?”

ระหว่างที่ชาวบ้านกำลังจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น ตรงหน้าประตูถ้ำของกู้จิ้งกำลังถูกปกคลุมด้วยควันธูป

สตรีสองคน หนึ่งชราหนึ่งเยาว์วัย กำลังร้องห่มร้องไห้ขอให้ต้าเซียนช่วย คนที่อ่อนวัยกว่าโพกผ้าไว้บนศีรษะ สวมเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างแน่นหนา นางโขกศีรษะไปก็พร่ำวิงวอนไปว่า “ต้าเซียน ช่วยลูกของข้าด้วยเถิด!”

ผู้คนรอบด้านพากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์

“นี่มันเมียของเซียวเป่าถัง ลูกของพวกเขาเกิดมาแค่ห้าวันก็มีอาการสี่หก เกรงว่าคงไม่รอดแล้ว”

“อาการสี่หก แม้กระทั่งท่านหมอเหลิ่งก็จนปัญญา ต้าเซียนอะไรนี่จะรักษาได้หรือ? ถ้าทำได้มิเท่ากับชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นหรอกรึ?”

“ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้น? ไม่น่าจะเป็นไปได้!”

เซียวเถี่ยเฟิงหูดี แม้จะมีป่าเล็กๆ ขวางกั้นแต่ก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างชัดเจน

เขากุมมือของกู้จิ้งเอาไว้พลางกล่าวเสียงเบา “ครั้งนี้เจ้าคงช่วยไม่ได้แล้ว”

“ทำไมล่ะ?”

“เด็กคนนั้นมีอาการสี่หก”

คำว่าอาการสี่หกคือเด็กทารกเกิดมาได้สี่วันก็เริ่มล้มป่วย ร้องไห้ไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน ร้องจนเสียงแหบแห้ง สุดท้ายพอถึงวันที่หกก็จะเริ่มตาเหลือกแล้วขาดใจตายไปในที่สุด

วิธีรับมือกับอาการสี่หกที่ชาวเขาเว่ยอวิ๋นใช้กันคือเอาใบอ้ายเย่มาม้วนเป็นแท่งยาวแล้วจุดไฟลน แต่วิธีนี้ก็สามารถช่วยเด็กได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

ยามนี้ภรรยาของเซียวเป่าถังอุ้มลูกมาไหว้ต้าเซียน เห็นได้ชัดว่าจนตรอก ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็นึกออก อาการสี่หกที่พวกเขาพูดถึงคือโรคบาดทะยักนั่นเอง

อาการสี่หกในสมัยโบราณแท้ที่จริงแล้วก็คือโรคบาดทะยักในเด็กแรกเกิด โดยทั่วไปแล้วมีสาเหตุจากการที่แผลตัดสะดือของเด็กไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี จนเป็นเหตุให้เชื้อบาดทะยักเข้าสู่ร่างกายผ่านทางสะดือ ส่วนใหญ่อาการติดเชื้อนี้จะแสดงอาการหลังจากเด็กเกิดมาประมาณสี่ถึงหกวัน ดังนั้นจึงเรียกว่าอาการสี่หก

โรคบาดทะยักในเด็กแรกเกิดนี้ หากเป็นยุคปัจจุบันย่อมมีแผนการรักษา ทั้งจะควบคุมอาการเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างไร จะต่อต้านเชื้อแบคทีเรียอย่างไร จะใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไร จะดูแลอย่างไร

แต่…นั่นเป็นยุคปัจจุบัน

ส่วนตอนนี้เป็นสมัยโบราณซึ่งการแพทย์ยังล้าหลังมาก

กู้จิ้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในกระเป๋าหนังสีดำของเธอย่อมไม่มียาเพนิซิลลินแบบฉีด แต่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะมีเพนิซิลลินแบบเม็ดอยู่

ประสิทธิภาพของยาเม็ดด้อยกว่ายาฉีดมาก แต่ตอนนี้ก็มีแต่ต้องลองดู

คิดได้เช่นนี้ เธอก็หันไปพูดกับเซียวเถี่ยเฟิงว่า “นายไปอุ้มเด็กคนนั้นมา แต่ต้องพูดให้ชัดเจนด้วยนะว่าฉันเองก็ไม่มั่นใจว่าจะรักษาได้”

เซียวเถี่ยเฟิงมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นจึงยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ได้”

เด็กทารกคนนี้เพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่วัน

ดูน่าสงสารราวกับลูกแมว แต่กลับกัดฟันแน่น กล้ามเนื้อหดเกร็ง มุมปากยกขึ้นเหมือนยิ้มแสยะ มือกำเป็นหมัดแน่น ใบหน้าซึ่งเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำของแกบอกชัดว่ากำลังเจ็บปวดมาก

กู้จิ้งรู้ว่าหากถ่วงเวลาต่อไป ทารกคนนี้ต้องไม่รอดแน่