บทที่ 137 ไฟดับ

รักหวานอมเปรี้ยว

“ไม่ได้แน่นอน นายกินข้าวมาแล้วนะ อีกอย่างพี่ชายนายทำอาหารเต็มโต๊ะเลย โน่น อยู่ทางโน้น นายรีบไปกินเถอะ”

ปีโป้จ้องตาเขม็ง “ผมไม่ได้ถามพี่ พี่ถือสิทธิ์อะไรมาตอบ”

“ก็ถือสิทธิ์พี่เป็นแฟนของที่รักไงครับ” ลาเต้พูดพลางโอบไหล่มายมิ้นท์

มายมิ้นท์เองก็ไม่ได้ขัดขืน

เมื่อลาเต้เห็นเธอให้ความร่วมมือขนาดนี้ สีหน้ายิ่งแสดงออกถึงความได้ใจ “เป็นอย่างไรล่ะ นายยังมีปัญหาอะไรอีกไหม”

ปีโป้โกรธจนหน้าแดงจัด แต่ไม่นาน เขาก็เบนความสนใจมาที่มายมิ้นท์ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่มายมิ้นท์… ผมหิวจริงๆนะ พี่ให้ผมกินหน่อยเถอะ ขอร้องล่ะ”

เขายกมือขึ้นไหว้แล้วไหว้อีก ท่าทางน่าสงสาร

และนั่นก็ทำให้มายมิ้นท์คิดถึงสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ที่ตัวเองเลี้ยงเมื่อหลายปีก่อน เพื่อให้ได้อาหาร ก็ยังยกขาหน้าสองข้างขึ้นไหว้ เหมือนกับปีโป้ในตอนนี้ไม่มีผิด

และแล้วมายมิ้นท์ก็ใจอ่อนขึ้นมา พร้อมชี้มาทางเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ “เอาเถอะ นายกินเถอะ”

“เย้ พี่มายมิ้นท์ ผมขอให้พี่อายุมั่นขวัญยืนนะครับ” ปีโป้กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และก็ได้รีบวิ่งหยิบชามและตะเกียบในห้องครัว

“ที่รัก คุณให้เขากินด้วยจริงๆ เหรอ” ลาเต้มองมาที่มายมิ้นท์ด้วยความสงสัย ทามทอยและชาหวานก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน

แม้แต่เปปเปอร์ก็ยังถึงกับชะงักไป

เธอเคยบอกว่าจะไม่ญาติดีกับตระกูลนวบดินทร์แล้วไม่ใช่เหรอ

ทำไมยังยอมให้ปีโป้กินข้าวด้วยล่ะ?

“ใช่ค่ะ ให้เขากินเถอะ” มายมิ้นท์พยักหน้าตอบ

ลาเต้ขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ?”

เปปเปอร์ตั้งใจรอฟังคำตอบอย่างเงียบๆ

เพราะเขาก็อยากรู้เหตุผล

“ง่ายนิดเดียว ท่าทางเมื่อสักครู่ของเขาทำให้ฉันคิดถึงเจ้าฝอยทอง” มายมิ้นท์พูดด้วยรอยยิ้ม สายตาเปล่งประกายเมื่อนึกย้อนถึงความทรงจำในอดีต

ลาเต้ก็ย้อนนึกหน้าตาของเจ้าฝอยทองจากส่วนลึกในความทรงจำ แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “มีส่วนคล้ายกันจริงๆ”

“เจ้าฝอยทองที่พวกคุณพวกถึงคือ?” จู่ๆ เปปเปอร์ก็ลุกขึ้น พร้อมถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง น้ำเสียงร้อนรนอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่

เจ้าฝอยทองเหมือนกับที่เขาคิดอยู่ตอนนี้หรือเปล่านะ?

พลันมายมิ้นท์และลาเต้สบตากัน ไม่เข้าใจว่าทำไมเปปเปอร์ต้องร้อนรนขนาดนี้

ช่วงจังหวะที่ทั้งสองคนกำลังจะตอบว่าเจ้าฝอยทองเป็นสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ตัวหนึ่ง

ส้มเปรี้ยวก็ได้ก้มหน้าลง ใช้มือยันโต๊ะและไอขึ้นมาเสียงดัง

เปปเปอร์สีหน้าตึงเครียดทันที รีบตบกลางหลังเธอเบาๆ แล้วถามอย่างห่วงใยว่า “ส้มเปรี้ยวเป็นอะไรไปเหรอ?”

“เปปเปอร์ ฉันรู้สึกเวียนหัว เหมือนจะเป็นหวัด คุณช่วยพยุงฉันกลับห้องหน่อยได้ไหมคะ” ส้มเปรี้ยวเงยหน้าที่ไอจนซีดเซียวขึ้นมามองเขา

“ได้ครับ” เปปเปอร์พยักหน้าตกลง

ส้มเปรี้ยวกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกภายในใจ

เธอรู้ว่าเจ้าฝอยทองคือสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ จากการอ่านจดหมายของเปปเปอร์ เพียงแต่เธอไม่คาดคิดว่ามายมิ้นท์จะเอ่ยชื่อเจ้าฝอยทองขึ้นมา และยังเข้าหูเปปเปอร์อีกด้วย

แต่โชคดีที่เธอเข้าขัดจังหวะไว้ได้ทัน ทำให้บทสนทนาเรื่องเจ้าฝอยทองจบลงเพียงเท่านี้ ไม่อย่างนั้นเปปเปอร์จะต้องรู้ว่าเจ้าฝอยทองที่มายมิ้นท์พูดถึงคือเจ้าฝอยทองเดียวกันกับที่เขาคิด แล้วเขาก็จะรู้ความจริงว่ามายมิ้นท์ก็คือคนที่เขาเขียนจดหมายถึงเขา และเธอก็คือคนที่เขารักอย่างแท้จริง

“เอ๊ะ พี่ชายผมล่ะ?” เมื่อปีโป้ถือชามและตะเกียบออกมา แล้วเห็นว่าเปปเปอร์กับส้มเปรี้ยวไม่อยู่แล้ว จึงถามด้วยความสงสัย

เลเต้ชี้ไปที่ชั้นบน “กลับห้องไปแล้ว นายก็กลับไปเถอะ ไม่ต้องกินแล้ว”

“ถึงพี่ไม่ให้กิน แต่ผมไม่ทำตามหรอกนะ” ปีโป้กลอกตาใส่เขาแล้วนั่งลงเริ่มกินข้าว

วินาทีที่ปลายลิ้นได้สัมผัสรสชาตินั้น เขาถึงกับซาบซึ้งจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมา

“นี่ถึงเป็นอาหารที่คนกิน” ปีโป้ถอนหายใจด้วยสีหน้าที่อิ่มเอม

วินาทีหลังจากนั้น มายมิ้นท์วางตะเกียบลง และก็ได้ทำให้ความสุขของเขาพังทลายลง “หลังจากกินเสร็จอย่าลืมเก็บจานชามบนโต๊ะไปล้างด้วยนะ”

“ทำไมครับ?” ตาของปีโป้เบิกกว้าง

“ทำไมน่ะเหรอ?” มายมิ้นท์มองเขาด้วยสายตาที่อดขำไม่ได้ “ก็เพราะว่าพี่เป็นคนทำอาหาร ชาหวานเป็นคนล้างผัก ทามทอยเป็นคนจัดการกับปลา ส่วนลาเต้ก็เป็นคนจัดเตรียมเครื่องปรุงและถ้วยชาม เพราะฉะนั้นนายจะมากินข้าวฟรีๆ ไม่ได้หรอกนะ?”

“ผม…” ปีโป้ก้มหน้าลง “ผมเข้าใจแล้วครับ”

มายมิ้นท์มองทรงผมที่ชี้อยู่จุกหนึ่งบนหัว อดไม่ไหวที่จะเอามือเข้าลูบแล้วบอกว่า “เป็นเด็กดีนะ”

ปีโป้หน้าแดงก่ำ “พี่ยังคิดว่าผมเป็นเด็กเหรอครับ?”

“นายจะคิดแบบนั้นก็ได้” มายมิ้นท์ลุกขึ้นเดินกลับห้องไป

พวกลาเต้กินข้าวใกล้เสร็จ ก็เริ่มทยอยแยกย้ายออกจากโต๊ะอาหาร

สุดท้ายบนโต๊ะอาหารจึงเหลือแต่ปีโป้คนเดียว

เขายกอาหารที่เหลือในจานเทใส่จานของตัวเอง แล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย

กลางดึกคืนนั้น มายมิ้นท์รู้สึกคอแห้ง จึงได้ลุกจากเตียงไปรินน้ำที่โต๊ะน้ำชา

แต่น่าเสียดายน้ำที่บนโต๊ะน้ำชาไม่มีน้ำเหลืออยู่เลย

มายมิ้นท์จึงต้องลงไปดื่มน้ำชั้นล่างอย่างช่วยไม่ได้

เสียงฟ้าร้องด้านนอกเงียบสงบลงแล้ว แต่ฝนยังคงตกอยู่ สายลมยังพัดเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนได้ยินถึงกับขนหัวลุกกับความน่ากลัว

มายมิ้นท์อดไม่ได้ที่จะยกมือลูบแขนตัวเองเพื่อสร้างความอบอุ่น

ขณะเดียวกัน ไฟที่ส่องสว่างจากด้านบนก็ดับลง วิลล่าทั้งหลังถูกความมืดมิดกลืนกินจนมองอะไรไม่เห็นเลย

มายมิ้นท์ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจออกมา พร้อมจับราวบันไดที่อยู่ข้างๆ ไว้แน่น ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

เพราะเธอมองไม่เห็นอะไรเลย หากยังเดินไปมา ก็กลัวจะตกบันไดหรือชนกับอะไรแล้วจะรับบาดเจ็บ

“ลาเต้ๆ?” มายมิ้นท์เรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หวังว่าลาเต้จะได้ยินแล้วออกมาช่วยเธอ

เธอรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้พกมือถือออกจากห้องมาด้วย

ไม่อย่างนั้นเธอยังคงใช้มือถือส่องทางได้

และแล้วเสียงประตูบานหนึ่งเปิดออกดังเอี๊ยด

เสียงฝีเท้าก็ได้ดังขึ้นตามมา และยังมีแสงสว่างมาจากทางนั้นด้วย

น่าจะเป็นแสงจากไฟแฟลชในมือถือ

เมื่อมายมิ้นท์มองเห็นแสงสว่าง ความหวาดกลัวในใจก็เบาบางลง ความตึงเครียดของร่างกายก็ค่อยๆผ่อนคลายเช่นกัน

“ลาเต้ นั่นคุณใช่ไหม?” เธอถามคนที่กำลังเดินมา

แสงไฟส่องนำคนที่กำลังเดินมา อีกทั้งแสงไฟจากมือถือยังส่องลงพื้น และนั่นทำให้เธอมองไม่เห็นใบหน้าของเขา จึงไม่แน่ใจว่าใช่ลาเต้หรือเปล่า

เมื่อเปปเปอร์ได้ยินเสียงของมายมิ้นท์ที่เรียกตัวเองว่าลาเต้ หน้าตาที่หล่อเหลาก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงในทันที

เขาเหมือนลาเต้ตรงไหน?

“ผมเอง” เปปเปอร์ตอบอย่างกระชับ

มายมิ้นท์แปลกใจเล็กน้อย “คุณเปปเปอร์ ทำไมเป็นคุณ?”

“ทำไมเหรอ ผิดหวังมากเลยเหรอ?” เปปเปอร์เม้มปากพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

มายมิ้นท์ส่ายหัว “ไม่ใช่แบบนั้น แค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย”

ในสถานการณ์มืดมิดจนมองไม่เห็นอะไรแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครที่เดินเข้ามา เธอก็จะไม่ผิดหวังทั้งนั้น กลับรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำ เพราะจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว

เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าคนที่มาช่วยไม่ใช่คนลาเต้ที่เธอกำลังเรียกหาอยู่ แต่กลับเป็นเปปเปอร์

“ผมได้ยินเสียงของคุณ เลยออกมาดู” เปปเปอร์ตอบ

และสาเหตุก็เป็นเพราะว่าเขาหิวจนหลับไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ จึงได้ยินเมื่อเธอส่งเสียงเรียก

แม้ว่าชื่อที่เธอเรียกจะเป็นลาเต้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเดินออกมา

“แบบนี้นี่เอง” มายมิ้นท์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

เปปเปอร์มองหน้าเธอ “ดึกขนาดนี้ เธอออกมาทำอะไร?”

“ดื่มน้ำ แต่ไม่คิดว่ายังเดินไปไม่ถึงชั้นล่างไฟก็ดับแล้ว” มายมิ้นท์ถอนหายใจแล้วโต้กลับ

เปปเปอร์พูดเสริม “อืม ถ้าอย่างนั้นคุณเดินข้างหน้า ส่วนผมจะส่องไฟให้จากข้างหลัง”

“ส่องไฟให้ฉัน?” มายมิ้นท์ยักคิ้วแล้วมองหน้าเขา

เขายังคงยืนอยู่ด้านหลังไฟ และเธอก็ยังมองหน้าของเขาได้ไม่ชัด เห็นเพียงแต่โครงหน้าของเขาเท่านั้น

เปปเปอร์เชิดหน้าขึ้น “มีปัญหาอะไรเหรอ?”

“ไม่มีค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณค่ะ” มายมิ้นท์โค้งตัวลงเล็กน้อยเพื่อขอบคุณเขา

แม้ว่าความใจดีของเขาจะทำให้เธอรู้สึกแปลกใจไปบ้าง

แต่เมื่อมีคนส่องไฟให้โดยไม่คิดเงิน จะปฏิเสธทำไมล่ะ

มายมิ้นท์จับราวบันไดไว้ แล้วเดินลงไปอย่างช้าๆ

เปปเปอร์ก็ใช้มือถือส่องไฟให้เธออยู่ด้านหลังของเธอ

ทั้งสองเดินมาถึงห้องรับแขก

มายมิ้นท์มาหยุดยู่ที่โต๊ะน้ำชา เธอยกกาน้ำขึ้นแล้วเขย่า เมื่อรู้ว่าข้างในยังมีน้ำอยู่ ก็ดีใจจนยิ้มออกมา

เปปเปอร์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ สีหน้าจึงเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

“เอ่อ แล้วคุณหิวน้ำไหม?” ในขณะที่มายมิ้นท์กำลังเทน้ำลงไปในแก้ว จู่ๆ ก็นึกขึ้นว่ายังมีอีกคนข้างๆ จึงหันหน้ามาถามชายหนุ่ม