ภาคที่ 1 บทที่ 3 ไม่ยอมแพ้ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 3 ไม่ยอมแพ้ (2)

 

 

ซูเฉินค่อย ๆ ยกหินถ่วงสลับซ้ายขวา เด็กชายหมุนตัวของเขาและก่อท่าร่างแปลก ๆ ก่อนจะเก็บแขนขวากลับ …

 

 

ในลานบ้าน ซูเฉินถือหินถ่วงไว้ในมือของตนเองและเริ่มใช้แปดวิธีการฝึกกายพร้อมโคจรทักษะรวมพลังวิญญาณขั้นพื้นฐานไปด้วย

 

 

แปดวิธีการฝึกกายเป็นทักษะการฝึกกายที่พบมากที่สุดในหมู่มนุษย์ กล่าวได้ว่ามันเป็นรากฐานสำคัญของการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ทักษะรวมพลังวิญญาณขั้นพื้นฐานคือวิธีการดูดซับพลังงานเข้ามาเสริมสร้างร่างกาย

 

 

ด้วยการผสมผสานทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน นี่จะทำให้ร่างกายของผู้ฝึกแข็งแกร่งขึ้นจนกลายรากฐานสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังวิญญาณในอนาคตได้อย่างมั่นคง

 

ขณะที่ซูเฉินกำลังฝึกซ้อม เด็กชายก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังของเขา

 

 

“ท่านพ่อ ?” เขาหยุดยกหินถ่วงในมือแล้วหันศีรษะกลับไป

 

 

เสียงของซูเฉิงอันดังขึ้น “ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าว่าเสียงฝีเท้าของข้าคล้ายกับลุงสามของเจ้ามาก และมันยากที่จะแยกแยกออกได้หรอกหรือ ? แล้วทำไมตอนนี้เจ้าถึงได้คิดว่าเป็นข้ากันล่ะ ?”

 

 

ซูเฉินตอบว่า “แม้ว่าเสียงฝีเท้าของพ่อและลุงสามนั้นคล้ายกันมาก แต่ลุงสามเขาฝึกดาบตะวันฉาย ตอนนี้คือเวลาเที่ยงตรง เป็นช่วงเวลาที่มีพลังหยางสูงสุดของวัน ด้วยเหตุนี้ลุงสามควรจะกำลังฝึกฝนอยู่และไม่ยอมออกมาง่าย ๆ ดังนั้นจึงมีเพียงท่าน ท่านพ่อ”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น บิดาของซูเฉิงอันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

 

 

บรรพบุรุษอวยพรให้ลูกชายเขาเป็นเด็กฉลาด แต่สวรรค์กลับอิจฉาซูเฉินและมอบความโชคร้ายให้เขาได้เผชิญ

 

 

แม้ถูกขังอยู่ในความมืด ซูเฉินก็ไม่ยอมแพ้แต่อย่างใด สิ่งนี้ทำให้ผู้เป็นบิดาอย่างเขารู้สึกมีความสุขและไม่สบายใจไปพร้อม ๆ กัน ความขัดแย้งที่อยู่ในใจทำให้ซูเฉิงอันไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไร

 

 

ในที่สุดซูเฉินก็ทำลายความเงียบลง “ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงมาหาข้าที่นี่ ?”

 

 

ซูเฉิงอันนั่งลงและกล่าวว่า “ตามมา ข้าต้องการพูดบางอย่างกับเจ้า”

 

 

ซูเฉิงอันพาลูกชายของตนออกมาจากลานฝึก และนั่งลงที่ศาลาพักผ่อน

 

 

ซูเฉิงอันไม่ได้พูดเข้าประเด็นในทันที กลับกันเขากับเลือกที่จะถามลูกชายเกี่ยวกับประสบการณ์และความเข้าใจจากการฝึกฝน ซึ่งซูเฉินก็ให้คำตอบแก่บิดาของเขาอย่างครบถ้วน

 

 

“เจ้ามั่นใจว่าเจ้าจะเข้าสู่ขอบเขตก่อพลังในสามปีงั้นหรือ ? ไม่เลว ไม่เลว” ซูเฉิงอันพยักหน้าย้ำ ๆ

 

ขอบเขตก่อพลัง เป็นขั้นแรกจากเจ็ดขั้นของพลังต้นกำเนิด หลังจากเข้าสู่ขอบเขตก่อพลังแล้วนี่จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังวิญญาณที่แท้จริง สำหรับขั้นฝึกกาย นั่นก็เป็นเพียงแค่ขอบเขตของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ยังไม่อาจนับว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดขั้นพลังต้นกำเนิด

 

 

แม้ว่าซูเฉิงอันจะกล่าวอย่างชื่นชม แต่สีหน้าของเขากลับดูไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย

 

 

ซูเฉิงอันมองลูกชายของเขาด้วยดวงตาที่มีร่องรอยความโศกเศร้าอยู่ด้านใน

 

 

หลังจากนั้นไม่นานซูเฉิงอันก็พูดขึ้นว่า

 

 

“เฉินเอ๋อร์ เจ้านั้นน่าเหลือเชื่อจริง ๆ แม้แต่ข้าเองก็ยังประหลาดใจ แม้ว่าชะตากรรมจะทำร้ายเจ้า เจ้าก็ไม่หลงทางไปในความสิ้นหวัง แต่กลับยืนหยัดขึ้นอีกครั้งและพยายามอย่างหนัก บิดาคนนี้ของเจ้าช่างไร้ประโยชน์ ณ ตอนนั้นข้ามิอาจปกป้องเจ้าได้ ส่วนหลังจากนั้นข้าก็ไม่สามารถหาหมอเทวดามารักษาเจ้าให้หาย แม้แต่ร่องรอยของผู้ลงมือ ข้าก็หาอะไรไม่พบเลย”

 

 

ซูเฉินยิ้ม “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้นเลย ปีที่ผ่านมาท่านพ่อกับท่านแม่ต้องทนลำบากอย่างมากเพื่อข้า แม้ว่าลูกคนนี้จะมองไม่เห็น แต่ในหัวใจของข้าก็ยังคงสัมผัสได้”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นซูเฉิงอันก็ถอนหายใจ “มันดีจริง ๆ ที่เจ้าเข้าใจเรา เมื่อคืนลุงสองของเจ้ามาหาข้า … เกี่ยวกับเรื่องการประเมินสิ้นปี”

 

 

มือของซูเฉินที่กำลังยกถ้วยน้ำชาชะงักค้าง และกล่าวว่า “เขาต้องการให้ข้าถอนตัวจากการแข่งขันสิ้นปี ?”

 

โลกต้นกำเนิดนั้นเป็นโลกที่วุ่นวาย ดินแดนกว่า 6 ส่วนถูกสัตว์ปีศาจครอบครอง ส่วนที่เหลืออีก 4 ถูกแบ่งโดยเผ่าพันธุ์ที่มีภูมิปัญญานับสิบ ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเพียงหนึ่งในนั้น

 

 

ในโลกที่ห้อมล้อมไปด้วยศัตรู กองกำลังที่แข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญ

 

 

ดังนั้นในโลกต้นกำเนิดใบนี้ ความแข็งแกร่งจึงเป็นตัวกำหนดระดับสถานะของแต่ละคน ผู้มีพลังจะถูกผู้คนเคารพนับถือ

 

 

เพื่อส่งเสริมให้เด็ก ๆ ในรุ่นต่อ ๆ ไปพยายามพัฒนาตนเอง พวกตระกูลใหญ่จึงสร้างกฎการประเมินสิ้นปีของแต่ละตระกูลขึ้น เพื่อทดสอบเด็กรุ่นหลังและดูว่าใครคือผู้แข็งแกร่งที่สุด

 

 

เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า มันก็ได้กลายเป็นประเพณี ไม่ว่าจะเกิดในตระกูลเก่าแก่หรือตระกูลที่พึ่งก่อตั้ง หากพวกเขามีทรัพยากร พวกเขาก็จะทำการประเมินแบบเดียวกัน อย่างมากที่สุดพวกเขาเพียงแค่เปลี่ยนรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แตกต่างกันไป

 

 

วัตถุประสงค์ของการประเมินนั้นง่ายมาก เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเหล่าผู้เยาว์เหมือนกับการสอบในห้องเรียน สาเหตุที่หลายตระกูลไม่ใช้การต่อสู้เป็นวิธีทดสอบก็เพราะมันก่อให้เกิดอันตรายได้ง่าย และมักนำไปสู่การเกิดความขัดแย้งในภายหลัง แม้ว่าการแข่งขันจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ความขัดแย้งภายในคือหายนะ

 

ดังนั้นตระกูลส่วนใหญ่จึงใช้วิธีการวัดระดับความแข็งแกร่งรายบุคคลแทน แต่ละคะแนนจะถูกกำหนดโดยความแข็งแกร่งของทักษะที่พวกเขาใช้

 

 

ตระกูลซูก็ใช้วิธีการนี้เช่นกัน

 

 

ในช่วงสิ้นปีของทุกปี เหล่าผู้สืบทอดรุ่นเยาว์ของตระกูลซูจะได้รับการทดสอบ เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของพวกเขาแต่ละคน

 

 

ในการประเมินครั้งก่อน ๆ ซูเฉินเป็นผู้ครองตำแหน่งผู้ชนะมาโดยตลอด

 

 

หลังจากที่ซูเฉินสูญเสียการมองเห็น หลายคนคิดว่าเขาน่าจะเลือกยอมแพ้ไป

 

 

แต่ใครจะคิดว่าหลังจากผ่านไปเพียง 2-3 เดือนซูเฉินจะหายจากภาวะซึมเศร้า ทั้งยังก้าวหน้าได้เร็วขึ้นกว่าผู้อื่นอีกด้วย

 

 

ดังนั้นเด็กชายจึงยังคงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นสาม

 

กล่าวคือหากการประเมินในปีนี้ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ซูเฉินจะเป็นผู้ครองตำแหน่งผู้ชนะอีกครั้ง

 

 

นี่ทำให้หลายคนรู้สึกอึดอัดใจ

 

 

การที่มีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นสามเป็นคนตาบอด นับเป็นเรื่องขายหน้าอย่างยิ่ง

 

 

แต่สำหรับเหล่าผู้เฒ่ารุ่นสองทั้งหลาย พวกเขาไม่ได้มองแค่นั้น เพราะมันมีเรื่องของผลประโยชน์จากการประเมินเข้ามาเกี่ยวด้วย ตามธรรมเนียมแล้ว ผู้ชนะในแต่ปีจะได้รับทรัพยากรมากมายจากตระกูลซู เพื่อทำให้ผู้แข็งแกร่งกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และนี่เองก็คือการปฏิบัติตามปกติของตระกูลส่วนใหญ่ !

 

 

ในโลกใบนี้ที่ซึ่งขีดจำกัดสูงสุดของพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเพียงคนเดียวย่อมมีประโยชน์ยิ่งกว่าผู้อ่อนแอกลุ่มใหญ่ !

 

 

ในศาลา ซูเฉิงอันผู้เป็นบิดาพยักหน้าอย่างจริงจัง “เฉินเอ๋อร์ ลูกเคยเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลซูของเรา หากไม่เกิดอุบัติเหตุกับเจ้าแล้ว ผู้นำในอนาคตของตระกูลคงจะเป็นเจ้า ไม่ว่าท่านปู่ของเจ้า ลุงสอง ลุงสาม ป้าสี่ หรือผู้เฒ่าสาขาอื่น ๆ ของเจ้า พวกเขาก็ล้วนแล้วแต่เห็นพ้องต้องกัน”

 

 

“แต่น่าเสียดายที่กลับเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับข้า” ซูเฉินขัดจังหวะขึ้น “ข้าไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป ดังนั้นถึงแม้ว่าข้าจะฝึกฝนมากขึ้นหรือแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าข้าก็ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งที่อยู่ขั้น 3 ของการฝึกกายได้ ดังนั้นตัวข้าจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำตระกูลอีกต่อไป”

 

 

น้ำเสียงที่นิ่งสงบของซูเฉิน ทำให้ราวกับว่าตัวเขานั้นไม่ใช่เด็กอายุ 13 ปี

 

 

ซูเฉิงอันถอนหายใจอีกครั้ง “ใช่”

 

 

“นั้นคือสาเหตุหลักที่ลุงสองคิดมันคงเป็นการสิ้นเปลืองหากมอบทรัพยากรให้กับข้า ?”

 

 

“……ใช่”

 

 

ซูเฉินฉลาด เด็กชายฉลาดมากจนเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างได้โดยไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย

 

 

สิ่งนี้ทำให้ซูเฉิงอันรู้สึกผ่อนคลายและอึดอัดใจในเวลาเดียวกัน

 

 

“เหตุที่สิ่งนี้เกิดขึ้น เป็นเพราะพี่น้องคนอื่นไม่เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะข้าได้ ?” ซูเฉินถามต่อไปและเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา

 

 

นี่คือกุญแจสำคัญของปัญหานี้

 

 

ความโดดเด่นของซูเฉินอาจจะทำให้หลายคนชื่นชมและสรรเสริญ แต่เมื่อมันมีความต้องการส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ความคิดเหล่านี้ก็ย่อมแตกต่างจากเดิมไปธรรมชาติ

 

 

ซูเฉินตาบอด !

 

 

เด็กตาบอดไม่จำเป็นจะต้องใช้ทรัพยากรเหล่านั้น

 

 

ซูเฉิงอันมองลูกชายของตน

 

 

“เมื่อวานนี้เค่อจี่มาพูดคุยปรึกษากับข้าอยู่สักพักใหญ่ เขาบอกว่ามันไม่ใช่เพื่อลูกชายของเขา แต่เป็นเพราะรากฐานของตระกูลซูที่ยังคงตื้นเขิน ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีเหล่ารุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งเพื่อสนับสนุนตระกูล ด้วยเหตุนี้เขาจึงหวังว่าตระกูลซูเราจะสามารถสร้างรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นจนสามารถเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ ในตอนแรกเขาสนับสนุนเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าสูญเสียการมองเห็นไปแล้ว … ”

 

 

ซูเฉิงอันไม่สามารถทนกล่าวต่อได้ ผู้เป็นพ่อทำได้เพียงแค่มองดูซูเฉินอย่างเงียบ ๆ

 

 

หากซูเค่อจี่ทำเพื่อซูชิงเพียงอย่างเดียว ซูเฉิงอันคงไม่เห็นด้วยกับคำขอของน้องชายคนที่สองของเขา

 

 

อย่างไรก็ตาม ซูเค่อจี่กลับเอ่ยย้ำอย่างหนักแน่นซ้ำ ๆ ว่านี่เป็นเรื่องของตระกูลซู เหตุผลนี้ทำให้ซูเฉิงอันมิอาจปฏิเสธได้

 

กล่าวกันตามตรง ซูเฉิงอันเองก็รู้สึกว่าอนาคตของซูเฉินไม่ได้มีความหวังอีกต่อไป เขาควรยอมแพ้เช่นกัน

 

 

ทว่าซูเฉินกลับไม่เต็มใจ

 

 

เด็กชายยังคงเชื่อว่าเขาจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ เพราะขอทานชรากล่าวไว้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการจะเปลี่ยนสายตาของเขาเท่านั้น

 

 

ในตอนแรกซูเฉิงอันก็เชื่อเช่นกัน

 

 

ถึงอย่างนั้นนี่มันก็ผ่านไปเกือบสองปีแล้ว ดวงตาของซูเฉินก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

 

 

ซูเฉิงอันคิดว่านั้นอาจเป็นภาพลวงตาที่ซูเฉินสร้างขึ้นมาเมื่อตอนที่เขายังไม่ได้สติ หรือบางทีมันอาจเป็นแค่คำพูดที่ไร้สาระขอทานชรา

 

 

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เด็กชายยังคงไม่ยอมแพ้ ทว่าซูเฉิงอันผู้เป็นบิดา เขากลับค่อย ๆ ยอมแพ้และเผชิญหน้ากับความเป็นจริงตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว

 

 

ดังนั้น ในวันนี้ซูเฉิงอันจึงมาหาซูเฉินเพื่อเกลี้ยกล่อมและปลอบใจเขา

 

 

ซูเฉินเงียบลง

 

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่งซูเฉินก็พูดว่า “ที่ท่านพ่อมาที่นี่ในวันนี้ ท่านต้องการจะบังคับหรือแค่แนะนำลูกด้วยความหวังดีกัน ?”

 

 

“แน่นอนว่ามันเป็นเพียงการแนะนำด้วยความหวังดี” ซูเฉิงอันกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าเป็นลูกชายของข้า เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ว่าเจ้าจะเลือกแบบไหน พ่อก็จะสนับสนุนทางเลือกของเจ้า”

 

 

“ดี!” ซูเฉินพยักหน้า “โปรดบอกแก่ลุงสองของข้าทีว่า หากพวกเขาต้องการสิ่งใด พวกเขาควรพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มัน แต่ถ้าอยากให้ข้ายอมแพ้ … มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน !”

 

 

————–

 

 

เพล้ง!

 

 

แจกันสีครามลายหิมะคลุมดอกเหมยบินข้ามห้อง กระแทกลงบนพื้นอย่างแรงและแตกออกเป็นชิ้น ๆ

 

 

“มันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุดหรืออย่างไร!” ซูเค่อจี่ตะโกนสาปแช่งขณะที่เขาเดินไปรอบ ๆ ห้องด้วยความโกรธ

 

 

“มันคิดว่าข้ากำลังทำเช่นนี้เพื่อใครกัน ? ไม่ใช่ว่าข้าทำสิ่งนี้เพื่อตระกูลหรอกหรือ !? ซูเฉินเป็นคนตาบอดไปแล้ว ! ไม่ว่ามันแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี มันจะทำอะไรได้กัน ? มันยังจะเอาชนะชิงเอ๋อร์ได้อีกอย่างนั้นหรือ ? มันคงจะพ่ายแพ้ไปตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้าการประเมิน เหตุใดถึงยังได้ดื้อรั้นขนาดนี้ เห็นแก่ตัว ! โลภมาก ! เย็นชาและไร้คุณธรรมแม้แต่กับตระกูลของตัวเอง !”

 

 

ซูเค่อจี่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

 

 

ตงหรูเจิงยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ และรอให้ซูเค่อจี่ที่กำลังระบายความโกรธสงบลงอย่างใจเย็น เขาเข้าใจอารมณ์ของเจ้านายเป็นอย่างดี หากยังไม่ได้ระบายความโกรธออกไป อีกฝ่ายจะไม่ยอมฟังใครทั้งนั้น

 

 

หลังจากนั้นสักพัก เสียงตะโกนซูเค่อจี่ก็หยุดลง “ผู้อาวุโสตง ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ?”

 

 

แม้จะมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว ตงหรูเจิงก็ยังคงวางท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “สำหรับเรื่องนี้ … ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการประเมินของตระกูลซู”

 

 

ซูเค่อจี่พยักหน้า “อย่างที่ท่านว่า มันเป็นการทดสอบเพียงอย่างเดียว ไม่มีการต่อสู้ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถสะท้อนความสามารถของแต่ละบุคคลอย่างสมบูรณ์ได้ การต่อสู้นั้นต้องการประสบการณ์ ความเข้าใจ การตอบสนองและปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ดังเช่นที่เผ่าพันธุ์อื่นนั้นใช้การต่อสู้เป็นมาตรฐาน

 

 

ในสนามรบ พวกสัตว์ประหลาดและสัตว์ปีศาจเหล่านั้น พวกมันไม่มัวมายืนอยู่ตรงนั้นเปรียบเทียบความแข็งแกร่งอย่างยุติธรรมหรอก ในความเป็นจริง มีเพียงแค่การต่อสู้ผ่านดาบและกระบี่ที่ต้องแลกด้วยชีวิตเท่านั้น !”

 

 

ผู้อาวุโสตงกล่าวต่ออย่างสงบ “เช่นนั้นแล้ว ทำไมเจ้าไม่เปลี่ยนระบบการประเมินผลเสียเล่า ?”

 

 

“อา ! มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย” ซูเค่อจี่โบกมือของเขา

 

 

“ระบบการประเมินคือสิ่งที่ปู่ของข้าเป็นคนกำหนดขึ้น ท่านเกรงว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากการต่อสู้และนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง ความวิตกกังวลของท่านปู่ไม่ได้มีที่มาอย่างไร้เหตุผลเช่นกัน มีตระกูลใหญ่มากมายที่ตกต่ำลง เพียงเพราะพวกเขาไม่สามารถจัดการกับความขัดแย้งภายในตระกูลได้”

 

 

“เช่นนั้นก็ห้ามไม่ให้ใช้อาวุธ และจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญคอยกำกับดูแลพวกเขา เพียงเท่านี้ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุก็จะลดลง เหตุที่เมื่อข้าใช้ระบบการประเมิน เพราะพวกข้ารู้สึกว่าสามารถเลือกผู้เยาว์ที่โดดเด่นได้ด้วยวิธีนี้ แต่ตอนนี้ด้วยสถานการณ์ที่ผิดปกติ… สถานการณ์ของซูเฉินทำให้ระบบเผยข้อผิดพลาดเล็กน้อยออกมา” ผู้อาวุโสตงกล่าวอย่างมีความนัย

 

 

ซูเค่อจี่ตื่นตกใจ

 

 

ผู้อาวุโสตงกล่าวได้ถูกต้อง เหตุผลที่ทั้งตระกูลเห็นด้วยกับระบบการประเมิน เพียงเพราะวิธีทึ่ว่าสามารถป้องกันข้อพิพาทได้

 

 

แต่ตอนนี้ข้อบกพร่องของระบบการประเมินได้ปรากฏขึ้น เห็นได้ชัดว่าบุคคลที่ไม่เหมาะสมกับการต่อสู้ กลับยังคงฝึกร่างกายเพื่อเป็นที่หนึ่งในหมู่คนรุ่นสามได้อยู่

 

 

ถ้าระบบมันไม่ดี เช่นนั้นก็ต้องเปลี่ยนมัน !

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซูเค่อจี่ก็พูดว่า “ใช่แล้ว ข้าต้องเสนอให้ท่านพ่อเปลี่ยนระบบการประเมินในปีนี้ เพียงแต่ว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย”

 

 

เมื่อกล่าวถึงครึ่งหลังของประโยค ซูเค่อจี่ก็รู้สึกท้อใจ

 

ไม่ว่าจะเป็นประเทศ เมืองหรือตระกูล การเปลี่ยนระบบก็เป็นเรื่องที่สำคัญ

 

 

เมื่อกฎถูกตั้งขึ้น นั่นก็หมายความว่าพวกมันยากที่จะเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงกฎบ่อย ๆ ย่อมจะทำให้เกิดความสับสน และทำให้ความน่าเชื่อถือของระบบลดน้อยลง

 

 

นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบย่อมก่อให้เกิดความเสียหายกับบุคคลที่เคยได้ประโยชน์จากมันมาก่อน และผู้คนเหล่านี้ย่อมจะลุกขึ้นมาต่อต้านตามธรรมชาติ

 

 

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

 

 

ซูเฉิงอันเป็นลูกชายคนโตของตระกูลซู และมีบทบาทสำคัญในตระกูล ตราบที่เขายังคงอยู่ เขาย่อมจะไม่ยอมปล่อยให้มีการปรับเปลี่ยนระบบเกิดขึ้นโดยง่ายแน่นอน

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีน้องสามซูเฟยหู ชายผู้นั้นชื่นชอบซูเฉินอย่างมาก ส่วนลูกชายและลูกสาวของเขานั้นก็ยังเด็ก ดังนั้นการปรับเปลี่ยนวิธีการประเมินย่อมไม่เป็นผลดีต่อเขา

 

ซูเค่อจี่จึงมั่นใจว่าความปรารถนาที่จะเปลี่ยนระบบของตน ย่อมจะไม่ได้รับการอนุมัติโดยง่ายเป็นแน่ ถึงแม้จะมีผู้อาวุโสอีกหลายสาขาที่คิดจะต่อสู้เพื่อทำให้เกิดสิ่งนี้ก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นความหวังที่จะสำเร็จของเขาก็ยังต่ำมากอยู่ดี

 

 

ผู้อาวุโสตงกล่าวอย่างสบาย ๆ “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องคิดถึงวิธีอื่น ชายชราคนนี้มีความคิดดี ๆ ว่า ด้วยสิ่งนี้ มันจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติของซูเฉิงอันได้อย่างไรแน่นอน ทว่ามันคงจะช้าไปหน่อย เพราะมันจะไม่ส่งผลจนกว่าจะถึงปีหน้า”

 

 

“วิธีอื่นหรือ ? หากมันใช้งานได้ มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรที่จะปล่อยให้เจ้าเด็กเหลือขอนั้นภาคภูมิใจไปอีกสักปี”

 

 

“ให้ซูเฉิงอันให้กำเนิดลูกชายอีกคน”