ภาคที่ 1 บทที่ 4 ไม่ยอมแพ้ (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 4 ไม่ยอมแพ้ (3)

 

 

เสียงเฉลิมฉลองอันมีชีวิตชีวาดังก้องมาจากฝั่งด้านนอกกำแพงตระกูลซู

 

 

เสียงกลองรัวดังขึ้นราวกับสายฝนที่กำลังเทลงมา ปลุกหัวใจและวิญญาณของผู้ที่ได้ยินให้สั่นไหว

 

 

“เจี้ยนฉิน ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?” ซูเฉินถาม

 

 

จากนั้นไม่นานเจี้ยนฉินก็วิ่งกลับเข้ามา หลังเขาวิ่งออกไปสอบถามไปรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง “นายท่านไปรับนายหญิงคนที่ 4 มาขอรับ”

 

 

เจี้ยนฉินคิดอยู่สักพักก็กล่าวเสริมขึ้นว่า “ช่วงไม่ถึงปีที่ผ่านมา นายท่านได้รับนายหญิงเข้ามาใหม่ 3 คนแล้วขอรับ”

 

 

จริงรึนี่?

 

 

ในใจลึก ๆ ของซูเฉินยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

 

แม้ว่านี่จะเป็นวันที่มีความสุขมากสำหรับบิดาของเขา แต่ซูเฉินกลับไม่ได้รู้สึกยินดีกับบิดาตนด้วยเลย

 

 

ซูเฉินเงียบลงก่อนจะถามว่า “คราวนี้ เป็นผู้หญิงจากตระกูลไหนกัน?”

 

 

“เป็นแม่นางหยานหวู่ชวงจากหอวสันต์จันทราขอรับ ลือกันว่านางเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นและมีพรสวรรค์มากมาย ชายหนุ่มที่หล่อเหลาและประสบความสำเร็จในเมืองหลินเป่ยนับไม่ถ้วนที่ชื่นชอบนาง น่าแปลกที่นางกลับเลือกนายท่าน ข้าน้อยได้ยินมาว่านางกำลังตั้งท้องมาแต่ก่อนแต่งแล้ว ดูเหมือนว่าอีกไม่นานนายน้อยสี่จะได้น้องเพิ่มมาอีกสองคนนะขอรับ”

 

 

เพียงแค่ในปีเดียว ซูเฉิงอันกลับได้ตบแต่งภรรยาใหม่ถึง 3 คน นอกจากนี้นายหญิงสองได้ให้กำเนิดลูกสาวแล้ว ซึ่งผู้เป็นบิดาอย่างซูเฉิงอันเองก็โปรดปรานพวกเธออย่างมาก

 

 

ส่วนนายหญิงสามนั้นกำลังตั้งครรภ์และจะถึงกำหนดคลอดในอีก 2-3 เดือน สำหรับนายหญิงคนใหม่นี้ดียิ่งกว่า เธอตั้งท้องมาแต่ก่อนแต่งงานเสียอีก

 

 

นับตั้งแต่ลูกชายของตนตาบอด นายใหญ่ตระกูลซูใช้เวลาออกไปข้างนอกบ่อยขึ้นและทำงานหนักขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาซูเฉิงอันถูกกดดันอย่างมาก และแน่นอนว่าเรื่องนี้ได้การสนับสนุนจากซูเค่อจี่ ผู้ที่อาจจะตั้งใจคว้าโอกาสเพื่อชดเชยความสูญเสียของเขา

 

 

แม้ว่าซูเฉินจะไม่แน่ใจเกี่ยวกับแผนของซูเค่อจี่ แต่เด็กชายก็ยังสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ใต้คลื่นแห่งความสงบนี้ หลังจากมีลูกชายใหม่ ซูเฉิงอันจะยังคงให้การสนับสนุนเขาเหมือนเดิมหรือไม่?

 

 

ตัวซูเฉินเองไม่รู้คำตอบนี้เช่นกัน

 

เด็กชายไม่สามารถรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตข้างหน้า

 

 

แต่ในไม่ช้าคำตอบก็ปรากฏออกมา

 

 

2 เดือนหลังจากซูเฉิงอันแต่งงานกับภรรยาคนที่สี่ นายหญิงสามก็ได้ให้กำเนิด

 

 

เป็นลูกชายที่แข็งแรงมาก ซูเฉิงอันจึงตั้งชื่อเขาว่าซูหมิง

 

 

อาจจะถือได้ว่านี่เป็นดั่งที่ซูเฉินคาดการณ์ไว้

 

 

ในวันครบรอบ 100 วันจากวันเกิดของซูหมิง ตระกูลซูเต็มไปด้วยเสียงพลุ เสียงระฆังและกลองของงานเฉลิมฉลองดังขึ้น มันเป็นฉากที่มีชีวิตชีวายิ่ง คืนนั้นซูเค่อจี่มาหาพี่ชายของเขาพร้อมกับของขวัญชิ้นใหญ่

 

 

พวกเขาพูดคุยกันอยู่พักใหญ่

 

 

——————————-

 

ยามเช้าตรู่ ซูเฉินตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาและเริ่มต้นวันใหม่ เด็กชายนั่งอยู่ในลานบ้านฟังเสียงลมที่พัดผ่านไปมา ฟังเสียงนกขับร้องเสียงเพลงบนต้นไม้ ฟังเสียงทรายที่กัดเซาะผืนดิน ฟังเสียงมดที่กำลังขนอาหาร

 

 

ความสามารถในการได้ยินที่ยอดเยี่ยมของซูเฉิน ไม่เพียงแค่ช่วยให้เขาได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่สามารถได้ยินได้เท่านั้น แต่ยังช่วยเด็กชายแยกความแตกต่างระหว่างพวกมันอย่างชัดเจน

 

 

“ท่านพ่อ?” ซูเฉินเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปทางด้านหลัง

 

 

“นี่มันยังเช้าตรู่อยู่ ยังไม่ถึงช่วงเวลาฝึกดาบตะวันฉายของลุงสามของเจ้า แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าเป็นข้า?” ซูเฉิงอันเดินออกมาจากทางด้านหลังของซูเฉิน

 

 

“แม้มันจะเกือบเหมือนกัน มันก็ยังแค่เกือบเท่านั้น” ซูเฉินยิ้ม “ตอนนี้ลูกสามารถแยกความแตกต่างได้แล้ว”

 

 

ซูเฉิงอันมองลูกชายของตัวเองอย่างเงียบ ๆ

 

 

ซูเฉินนั้นมีความโดดเด่นอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเขาจะเผชิญกับความล้มเหลว ทว่าเด็กชายก็ยังคงไม่ยอมแพ้และขยันฝึกฝนต่อไป ซูเฉิงอันควรโล่งใจที่จะมีลูกชายเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่ในวันนี้ ซูเฉิงอันก็ลำบากใจเล็กน้อย

 

 

ในช่วงเวลานั้นเขาไม่รู้สึกยินดีอีกต่อไป แต่กลับหงุดหงิดแทน

 

 

มันจะดีกว่าไหม … หากเจ้าไม่ได้เป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้?

 

 

ซูเฉินกล่าวว่า “ท่านพ่อไม่ได้มาหาข้านานมากแล้ว ที่ท่านมาในวันนี้มีเรื่องใดจะบอกกล่าวกับลูกอย่างนั้นหรือ?”

 

 

ซูเฉิงอันนั่งลงบนม้านั่งหินในลานบ้าน “เมื่อวานนี้ลุงสองของเจ้ามาหาข้า”

 

 

ใจของซูเฉินรู้สึกหนักอึ้ง

 

 

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ซูเค่อจี่จะมาพบพี่ชายของเขา อย่างไรก็ตามการที่พ่อของซูเฉินมาเยี่ยมเขาเป็นการส่วนตัว เป็นไปได้ว่าคงจะเป็นเรื่องเดียวกันกับคราวที่แล้ว

 

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหากพ่อของเขาปฏิเสธซูเค่อจี่ ในตอนนี้ซูเฉิงอันก็คงจะไม่มาหาเขาและพูดด้วยท่าทีจริงจังเช่นนี้ พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าครานี้จะไม่ดีนัก …

 

 

ใจของซูเฉินกำลังเต้นรัว แต่ภายนอกก็ยังดูสงบนิ่งอยู่

 

 

เวลานี้เด็กชายตาบอดมาสองปีแล้ว และหัวใจของเขาก็มั่นคงขึ้นกว่าเดิม ซูเฉินเริ่มเรียนรู้วิธีเก็บซ่อนสิ่งสำคัญเอาไว้ในใจของตนเอาไว้

 

 

ซูเฉินกล่าวต่อ “เพราะเหตุใดลุงสองมาหาท่านพ่อหรือ?”

 

 

ซูเฉิงอันตอบว่า “เขายังคงแนะนำให้เจ้าทิ้งการประเมินสิ้นปีของตระกูล”

 

 

“ท่านพ่อให้คำตอบแก่เขาไปแล้วหรือ?”

 

ซูเฉิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “เขาสัญญากับข้าว่าหากข้าตกลงที่จะเปลี่ยนระบบการประเมิน เขาจะยกโอกาสรับศีลจุ่มจากสระน้ำสามฤดูของซูหลินให้กับข้า”

 

 

สระน้ำสามฤดูสถานที่ที่เป็นเปี่ยมไปด้วยพลังงานต้นกำเนิดของเมืองหลินเป่ย  มันคอยรวบรวมพลังงานจากแหล่งกำเนิด และเมื่อมีคนรับศีลจุ่มจากที่นั่นละก็ มันก็จะช่วยเพิ่มความสามารถในการรับรู้พลังต้นกำเนิดของบุคคลนั้น อย่างไรก็ตามมันมีผลเฉพาะกับเด็กอายุ 3 ปีหรือน้อยกว่า

 

 

สระน้ำสามฤดูถูกควบคุมโดยเจ้าเมืองหลินเป่ย            เยว่เว่ยฉวง เพราะเขาอนุญาตให้บุคคลภายนอกใช้งานมันได้เพียงสามครั้งต่อปี ดังนั้นเรื่องนี้จึงดึงดูดให้เกิดการแข่งขันกันระหว่างตระกูลมากมาย

 

 

ซูเฉิงอันเป็นลูกชายคนโตของผู้นำตระกูล ดังนั้นเขาจึงสามารถต่อสู้เพื่อคว้าโอกาสรับศีลจุ่มจากสระน้ำสามฤดูมาให้ซูเฉินได้ นอกเหนือจากความขยันหมั่นเพียรอย่างมากของซูเฉินและทรัพยากรของตระกูลซู มันเป็นหนึ่งสาเหตุที่ซูเฉินพัฒนาการฝึกตนขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

แต่เนื่องจากซูเฉิงอันได้โอกาสรับศีลจุ่มจากสระน้ำสามฤดูมาให้ซูเฉินไปแล้ว มันจึงเป็นเรื่องยากขึ้นหากเขาจะสู้เพื่อคว้าโอกาสนี้มาให้กับลูกชายคนที่สองของเขาอีกครั้ง อย่างไรเสียตระกูลซูก็เป็นตระกูลขนาดใหญ่และมีทายาทรุ่นที่สามอยู่ไม่น้อย หากโอกาสดี ๆ ทั้งหมดตกเป็นของซูเฉิงอัน คนอื่น ๆ ย่อมต้องเกิดความไม่พอใจอย่างแน่นอน

 

 

ซูเค่อจี่มีลูกชายคนใหม่เมื่อปีที่แล้วนามว่าซูหลิน ด้วยสถานะของเขาและตามลำดับความอาวุโสแล้ว โอกาสรับศีลจุ่มจากสระน้ำสามฤดูครั้งนี้เป็นตาของเขา

 

 

ความเป็นจริงมีคนสงสัยว่าซูเค่อจี่เลือกที่จะมีลูกชายในเวลานี้ เพราะเขาคำนวณไว้แล้วว่าโอกาสครานี้ตระกูลซูจะเป็นผู้ได้รับสิทธิ์

 

 

แม้ว่าซูหลินจะมีชื่อที่ดี ทว่าพื้นฐานร่างกายแต่กำเนิดไม่ดีนัก เด็กคนนี้ถูกลิขิตมาให้อนาคตมีขีดจำกัด แต่นี่ไม่ได้หยุด   ซูเค่อจี่จากการรับโอกาสนี้ได้ อย่างไรก็ตามเขาเลือกใช้มันเพื่อแลกเปลี่ยนแทน

 

 

ซูเฉินตาบอดไปแล้ว ความหวังของซูเฉิงอันได้ถูกดับลง เขาจึงหวังว่าจะได้บุตรที่ดีเพิ่มมาอีกสักคน

 

 

“ด้วยเหตุนี้ ท่านพ่อจึงต้องการต่อสู้เพื่อชิงสิทธิ์นี้มาให้แก่น้องหมิง?”

 

 

ซูเฉิงอันตอบว่า “ไม่ใช่ซูหมิง”

 

 

ซูเฉินตกตะลึง

 

 

ซูเฉิงอันกล่าวว่า “ท่านหมอหยวนแห่งคฤหาสน์วายุเหนือน้ำ ได้มาตรวจดูการตั้งครรภ์ของแม่สี่เมื่อไม่กี่วันก่อน มันเป็นเด็กผู้ชาย”

 

 

ความสัมพันธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล

 

 

ซูเฉิงอันชื่นชอบภรรยาสี่คนใหม่ของตน และมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอ ซึ่งความผูกพันธ์ของพวกเขามันก็มีมากเสียจนเขาพยายามที่จะคว้าโอกาสรับศีลจุ่มจากสระน้ำสามฤดูครานี้มาให้กับบุตรชายที่ยังมิได้ออกมาลืมตาดูโลกผู้นี้

 

นี่คือการตัดสินใจของซูเฉิงอัน แม้ว่าซูเฉินจะไม่เห็นด้วย แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา

 

 

ซูเฉินได้ยินคำพูดของซูเฉิงอัน เด็กชายไม่ตอบสนองอะไร.. ซูเฉินยังอยู่ในวัยเยาว์ และอีกสามเดือนก็จะครบวันคล้ายวันเกิดอายุ 14 ปีของเขา

 

 

ถึงแม้จะอายุน้อยแต่จิตใจของซูเฉินก็เริ่มโตเต็มที่แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กชายเผชิญกับปัญหานี้ ประสบการณ์ของปีที่แล้วยังฝังลึกอยู่ภายในตัวของเขา ซูเฉินเองก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว

 

 

ในโลกแห่งความมืดนี้เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะปกป้องแสงสว่างที่ยังคงเหลืออยู่ บางครั้งมันไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง

 

 

ซูเฉินเงียบ

 

 

หลังจากนั้นไม่นานเด็กชายก็พูดว่า “ท่านพ่อ ความจริงข้ายังมีบางสิ่งที่ไม่ได้บอกท่าน”

 

 

“มันคืออะไรงั้นรึ?”

 

 

“ดวงตาของข้าดีขึ้นแล้ว”

 

 

“เจ้าพูดอะไรนะ?” ซูเฉิงอันยืนนิ่งไปอยู่สักครู่ ก่อนที่จะคว้าลูกชายของเขา

 

 

หากซูเฉินสามารถดีขึ้นแล้วจริง นั้นจะเป็นข่าวที่ดีมาก

 

 

แม้ว่าซูเฉิงอันจะรักซูหมิงและเด็กที่ยังไม่เกิด แต่เขาก็เข้าใจดีว่าซูเฉินเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูล แทนที่จะใช้ทรัพยากรจำนวนมากไปกับเด็กที่ยังไม่รู้ถึงอนาคต มันฉลาดกว่าที่จะใช้ความพยายามนั้นเพื่อช่วยเหลือเด็กที่มีความสามารถพิเศษอยู่แล้ว

 

 

ในโลกนี้ที่ความแข็งแกร่งเป็นดั่งกษัตริย์ เรื่องนี้เป็นที่เข้าใจกันดี เหตุใดซูเค่อจี่จึงยอมสละโอกาสรับศีลจุ่มจากสระน้ำสามฤดูของซูหลิน? นั้นเป็นเพราะว่าซูเค่อจี่เข้าใจดี ถึงซูหลินจะไม่ได้มีร่างกายอ่อนแอ ทว่าความสามารถของเขาอาจจะไม่ได้ดีไปกว่าลูกคนโตซูชิง แม้จะรับศีลจุ่มก็ตาม

 

การเติบโตของบุคคลนั้นเต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากมาย ในเรื่องนี้ซูเฉินเป็นตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุด

 

 

การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเป็นแนวคิดที่ทุกคนรับรู้กัน วิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมความเสี่ยงคือการเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย(*1)ย่อมดีกว่าการส่งถ่านกลางหิมะ(*2)

 

 

ดังนั้นถ้าหากดวงตาของซูเฉินสามารถฟื้นฟูได้จริง ซูเฉิงอันชานก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยอมแพ้ในตัวเขา

 

 

“สิ่งที่เจ้าพูดจริงเป็นความจริงหรือ? ทำไมเจ้าไม่บอกข้าตั้งแต่ก่อนหน้านี้กัน?” ซูเฉิงอันถามอีกครั้ง

 

 

ซูเฉินตอบว่า “ข้ามองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้าอยากจะรอให้มันดีขึ้นอีกนิดเพื่อทำให้ท่านพ่อประหลาดใจ”

 

 

“การที่มันเริ่มฟื้นฟูแล้วถือเป็นข่าวดีมาก!” ซูเฉิงอันพูดอย่างมีความสุข

 

 

เมื่อสองปีก่อนซูเฉินสูญเสียสัมผัสในการรับรู้แสงไป โลกของเด็กชายเหลืออยู่เพียงความมืดมิดไร้สิ้นสุด

 

 

บางทีซูเฉินอาจจะพูดถูก เขาสามารถฟื้นฟูมันได้จริง ๆ

 

 

ซูเฉินกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามเพื่อให้ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ข้ายังต้องใช้เวลาอีกปีสองปี”

 

 

“เจ้ายังต้องใช้เวลาอีกปีสองปี?” ซูเฉิงอันพึมพำกับตัวเองสักครู่ก่อนจะพยักหน้า “เรื่องนั้นไม่สำคัญ ตราบใดที่เจ้าสามารถฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ได้ในปีสองปี มันก็ยังไม่สายเกินไป”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเรื่องของลุงสอง … ”

 

 

“ข้าจะกลับไปและปฏิเสธเขา” ซูเฉิงอันพูดอย่างหนักแน่น

 

 

หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวซูเฉิงอันก็หยุดเท้าลง

 

 

จากนั้นเขาก็โบกมือซ้ายให้ซูเฉิน

 

 

ซูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโบกมือทำไมงั้นหรือท่านพ่อ? ลูกมองเห็นเพียงเงาเบลอ ๆ ไม่ค่อยชัดเท่าใดนัก”

 

 

ซูเฉิงอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เจ้าก็ควรจะไปพักผ่อนเสีย”

 

 

หลังกล่าวจบซูเฉิงอันก็หันหลังกลับและเดินจากไป

 

หมายเหตุ:*1  锦上添花 – เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย หมายถึง ทำสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้น

 

        *2  雪中送炭 – ส่งถ่านกลางหิมะ หมายถึง ให้ความช่วยเหลือในยามคับขันอย่างทันท่วงที