ภาคที่ 1 บทที่ 5 โกหก

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 5 โกหก

 

 

ข่าวเรื่องการฟื้นฟูดวงตาของซูเฉินกระจายไปทั่วทั้งตระกูลซูอย่างรวดเร็วดุจดั่งลมพายุ

 

 

ทุกคนต่างก็พากันพูดถึง ทั่วตระกูลซูเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

 

มีทั้งผู้ที่ยินดีกับข่าวนี้มากมาย แต่ก็ผู้ที่ผิดหวังอยู่เช่นกัน

 

 

เดิมทีหลังจากที่ซูเฉินสูญเสียการมองเห็น ลานบ้านของเด็กชายก็เงียบเหงาลงมันแทบจะไม่เคยมีผู้ใดมาเยี่ยมเยียน ทว่าตอนนี้มันกลับคึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้ง แม้แต่หัวหน้าตระกูลซู ซูฉางเช่อก็ยังมาพบกับหลานชายของเขาด้วยตัวเอง เขาเข้าจับมือซูเฉินและพูดคุยอย่างอบอุ่น หลังจากนั้นผู้อาวุโสในตระกูลซูก็ทยอยมาเยี่ยมเด็กชายทีละคน ทั้งท่านลุงจากตระกูลหลักและตระกูลสาขา

 

แม้แต่ซูเค่อจี่เองก็นำของขวัญมาเยี่ยมซูเฉิน เขากล่าวคำยินดีและอวยพรซูเฉินมากมาย “นับตั้งแต่ได้รู้ว่าดวงตาของ     เฉินเอ๋อร์ดีขึ้นแล้ว ข้าก็ดีใจยิ่ง คืนนี้ข้าจะดื่มอวยพรยินดีให้เจ้าหลาย ๆ จอกเลย”

 

 

เมื่อซูเฉินได้เช่นนั้น เขาก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกและกล่าวขึ้นอย่างหมดหนทาง “ลุงสองหากท่านมีเรื่องจะกล่าวก็กล่าวต่อหน้าข้าเถิด มีเรื่องอันใดต้องลังเลใจต่อหน้าข้ากัน?”

 

 

ซูเค่อจี่เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและหัวเราะออกมา เขาตบไหล่ของซูเฉินแล้วพูดว่า “หลานชาย เจ้าควรพักผ่อนให้มาก” ก่อนที่เขาจะขอตัวลากลับ

 

 

คืนนั้นซูเฉินได้ยินว่ามีข้ารับใช้คนหนึ่งทำถ้วยแตกโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ลุงสองโกรธมากและทุบตีอีกฝ่ายจนเกือบตาย

 

 

ส่วนการเปลี่ยนแปลงระบบการประเมิน เรื่องนั้นก็ได้ถูกปล่อยทิ้งไปตามระเบียบ เพราะหากซูเฉิงอันไม่เห็นพ้องด้วย แม้   ซูเค่อจี่จะดิ้นรนยังไง มันก็ยังคงไร้ประโยชน์

 

 

นอกจากนั้น ตอนนี้มันก็ไม่มีค่าให้ดิ้นรนอีกต่อไป

 

 

สองเดือนต่อมา การประเมินปลายปีที่ยิ่งใหญ่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

 

 

ซูเฉินสร้างความประหลาดใจโดยการชนะได้ที่หนึ่งไปอีกครั้ง และได้รับขวด “แก่นวิญญาณไม้เขียว” เป็นการส่วนตัวจากคุณปู่ของเขา

 

 

ทางตอนเหนือของเมืองหลินเป๋ย มีภูเขาลูกหนึ่งที่ถูกขนานนามว่าภูเขาแปดยอด บนยอดเขานั้นมีต้นไม้มหัศจรรย์ที่เรียกว่า“ต้นดอกลายคราม”อยู่ ทุก ๆ ปีต้นไม้นี้จะบานเพียงแค่ครั้งเดียว น้ำวิเศษที่สกัดจากดอกไม้นี้ประกอบไปด้วยพลังงานลึกลับ หากนำไปทาบนร่างกายมันจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายและบำรุงวิญญาณ นี่คือความสามารถของแก่นวิญญาณไม้เขียว

 

 

อย่างไรก็ตามฤดูออกดอกของต้นไม้นี้จะบานอยู่แค่เพียงครึ่งเดือน ทำให้เก็บเกี่ยวได้อย่างจำกัด ดังนั้นจึงผลิตได้เพียงสามขวดต่อปี

 

ภูเขาแปดยอดเป็นของตระกูลซู ผลคือตระกูลซูได้ผูกขาดการครอบครองแก่นวิญญาณไม้เขียว และความช่วยเหลือจากแก่นไม้เขียว นี่เองจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ตระกูลซูรุ่งเรืองขึ้น ทุก ๆ ปีตระกูลซูจะขายออกตลาดไปสองขวดและเก็บอีกหนึ่งขวดไว้ให้ลูกหลานในตระกูลของพวกเขาเอง

 

 

ในช่วงหลายปีมานี้ เพราะซูเฉินเป็นผู้ครองตำแหน่งผู้โดดเด่นที่สุดของทายาทรุ่นสาม แก่นไม้เขียวจึงตกไปเป็นของตนเองเสมอ สาเหตุที่ซูเฉินสามารถยกระดับการฝึกฝนของเขาได้แม้จะพิการส่วนใหญ่นั้นก็เป็นเพราะแก่นไม้เขียวนี้นี่เอง

 

 

แก่นไม้เขียวคือสิ่งที่ซูเค่อจี่ปรารถนาและอยากจะได้มันมาครอบครองเป็นอย่างมาก

 

 

ก่อนที่ซูเฉินจะตาบอด ซูเค่อจี่อิจฉาเขามากแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย อย่างไรก็ตามตอนนี้ซูเฉินตาบอดไปแล้ว เขารู้สึกว่ามันเสียของอย่างยิ่งหากปล่อยให้ซูเฉินใช้มัน หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ซูเค่อจี่จะกลับไปเอาขวดพวกนั้นคืนมาจากอีกฝ่ายและมอบมันให้กับลูกชายของเขาแทนเสียดีกว่า

 

 

สิ่งที่เสียไปแล้วก็คือเสียไปแล้ว ซูเค่อจี่ไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อเขาเห็นซูเฉินได้ขวดหยกนั้นไปอีกครั้ง ซูเค่อจี่ก็เข้าใจทันทีว่าเขาสูญเสียโอกาสไปอีกครั้งแล้ว และคงมีโอกาสเหลืออีกไม่มาก

 

 

ในพริบตาเวลาหลายเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

วันนี้ซูเฉินกำลังฝึกฝนหมัดพยัคฆ์เพลิงอยู่ในลานฝึก หมัดพยัคฆ์เพลิงนี้เป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่สืบทอดกันมาของบรรพบุรุษตระกูลซู มันนับเป็นวิชาที่ดุดันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เพื่อปรับปรุงความแข็งแกร่งและพัฒนาเคล็ดวิชานี้ ซูฉางเช่อได้ใช้เงินจำนวนมากกวาดซื้อขวดยาแก่นโลหิตพยัคฆ์เพลิงคำรามมา ทำให้เขาได้รับสายเลือดของพยัคฆ์เพลิงคำราม แล้วก้าวเข้าสู่เขตแดนหยางและกลายเป็นเสาหลักแห่งตระกูลซู

 

 

ซูเฉินปล่อยหมัดไปที่เสาเหล็กตรงหน้าของเขาอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปครู่หนึ่ง เสาเหล็กก็ขยับไหวจนก่อให้เกิดเสียงดังขึ้นเป็นระยะ เพราะเด็กชายสูญเสียการมองเห็น ดังนั้นซูเฉินจึงใส่ใจและระมัดระวังทุกการเคลื่อนไหวของตนเป็นพิเศษ ทุกการกระทำเป็นล้วนเส้นตรงเสมอต้นเสมอปลายราวถูกวัดด้วยไม้บรรทัด ดังนั้นแม้ว่าเขาจะก้าวถอยกลับมา แต่มันก็ไม่เคยหลุดออกจากทิศทางเดิมเลย

 

 

หลังจากหมัดที่ดูราว‘ พยัคฆ์พุ่งลงจากภูเขา’ กระแทกเข้ากับเสาเหล็ก เสียงก้องกังวานของไม้แข็งที่หุ้มเสาเหล็กแตกออกก็ดังขึ้น เศษไม้ร่วงหล่นกระจัดกระจายไปทั่วพื้น รอยกำปั้นของซูเฉินประทับเด่นอยู่บนเสาเหล็กที่ดูเหมือนจะโค้งไปจากเดิมเล็กน้อย

 

 

“เป็นหมัดที่ดี!” เสียงชื่นชมดังมาจากทางด้านหลังของ   ซูเฉิน

 

 

รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูเฉิน “ท่านลุงสาม”

 

 

ผู้ที่ก้าวเข้ามาในลานฝึกเป็นชายวัยกลางคนที่มีท่าทางน่าเกรงขามและบุคลิกสง่างาม หนวดเส้นที่ประดับอยู่บนมุมปากกับดวงตาที่สดใสของเขาดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

 

 

นี่คือบุตรชายคนที่สามของผู้นำตระกูลซู ซูเฟยหู

 

ในบรรดาสมาชิกของตระกูลซู ซูเฟยหูเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซูเฉินมากที่สุด หลังจากซูเฉินสูญเสียการมองเห็น ซูเฟยหูได้ออกไปลากพาตัวหมอชื่อดังกว่าสิบคนจากทั่วเมืองหลินเป่ยเพื่อมารักษาซูเฉินด้วยตัวเอง เรื่องนี้ทำให้ชายผู้นี้กลายเป็นเป้าหมายในการร้องเรียนของหมอเมืองหลินเป่ยอยู่พักใหญ่ แต่ในเมื่อเขาเป็นบุตรคนที่สามของผู้นำตระกูลซู แล้วจะมีใครทำอะไรเขาได้กัน?

 

 

ซูเฟยหูเดินก้าวยาว ๆ มายืนอยู่ที่ด้านข้างของซูเฉิน เขาจ้องมองซูเฉินก่อนจะพูดว่า “ดูเหมือนว่าอีกไม่นาน เจ้าก็จะบรรลุขั้นที่แปดแล้ว เจ้าช่างก้าวหน้าได้รวดเร็วยิ่งนัก”

 

 

“รวดเร็ว?” ซูเฉินยิ้มอย่างขมขื่น “ที่จริงแล้ว ข้ายังคงรู้สึกว่ามันช้าเกินไป หากไม่ใช่เพราะดวงตาของข้าที่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ข้าคงจะบรรลุผ่านขั้นที่เก้าหรือไม่อย่างน้อยก็ใกล้จะบรรลุมันแล้ว”

 

 

มีเพียงตัวซูเฉินเองเท่านั้น ที่เข้าใจว่าการสูญเสียการมองเห็นไปนั้นมีผลกระทบต่อตัวเขามากเพียงใด

 

 

คนอื่น ๆ อาจจะมองเห็นว่าการโจมตีของซูเฉินเปี่ยมไปด้วยพลังและความแข็งแกร่ง ทว่านี่คือสิ่งที่ค่อย ๆ สะสมมาจากการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลากว่าสองปี

 

 

เพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซูเฉินต้องจ่ายไปด้วยแรงกายจำนวนมาก

 

 

ซูเฟยหูเข้าใจความรู้สึกของซูเฉิน เขาวางมือบนไหล่ของซูเฉินและถอนหายใจ “การที่สามารถบรรลุได้ถึงขั้นนี้ถือว่าดีมากแล้ว ตระกูลซูของเราควรภูมิใจที่ได้มีลูกหลานเช่นเจ้า”

 

 

“ถึงจะเป็นเช่นไร แต่พวกเขาก็คงไม่ใจกว้างแค่เพียงเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่?” ซูเฉินตอบกลับ

 

 

ซูเฟยหูหยุดชะงักไปชั่วครู่ “เจ้ารู้งั้นหรือ?”

 

 

ซูเฉินลดน้ำเสียงลงเล็กน้อยและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว แม้ข้าจะกลายเป็นคนตาบอดแต่หูของข้านั้นยังคงใช้งานได้ดี … ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถรอได้”

 

ถูกต้อง ตระกูลซูไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป

 

 

ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา สมาชิกตระกูลซูได้รอคอยให้ดวงตาของซูเฉินฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่การรอคอยของพวกเขาได้รับแต่ความผิดหวังเท่านั้น

 

 

บางคนก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ หากซูเฉินไม่สามารถฟื้นฟูดวงตาของเขากลับมาได้ เช่นนั้นเด็กชายก็ไม่ต่างอะไรกับอัจฉริยะที่ตายแล้ว

 

 

ซูเฟยหูตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความโกรธ “ซูเค่อจี่ออกมาพูดให้ร้ายเจ้า มันกล่าวหาว่าเจ้าโกหกและหลอกตระกูลตั้งแต่ต้น ดวงตาของเจ้านั้นแท้จริงไม่อาจฟื้นฟูได้อีกแล้ว กลุ่มคนเฒ่าโง่เขลาในตระกูลก็เห็นด้วยความคำพูดของมัน พวกมันต้องการให้เจ้าเข้ารับการทดสอบโดยการปิดผนึกสัมผัสการฟังของเจ้า”

 

 

การให้เด็กชายรับทดสอบโดยการปิดผนึกสัมผัสการฟัง พวกเขาต้องการตรวจสอบการมองเห็นของซูเฉินอย่างจริงจัง ในระหว่างการทดสอบนั้นการได้ยินของซูเฉินจะถูกปิดผนึกไว้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง

 

 

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาซูเค่อจี่เสนอข้อเสนอนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามหัวหน้าตระกูลซู ซูฉางเช่อไม่เห็นด้วยและปฏิเสธเขา

 

 

แม้การทดสอบนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าการทำเช่นนั้นจะแสดงให้เห็นว่าตระกูลไม่ไว้ใจคนรุ่นใหม่ของพวกเขา ซูเฉินไม่ใช่ผู้สืบทอดที่ไม่คู่ควร กลับตรงกันข้าม มันเป็นเพราะเขายอดเยี่ยมมากจนไม่มีเหตุผลให้ตระกูลต้องทำเรื่องเช่นนั้น

 

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากครึ่งปีผ่านไปโดยปราศจากข่าวคราว เสียงที่หายไปก่อนหน้านี้ก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้แม้แต่ซูฉางเช่อก็ไม่สามารถปฏิเสธและทัดทานได้

 

 

“จากที่ท่านลุงกล่าวมา หมายความว่าตระกูลตัดสินใจจะให้ข้าเข้ารับการทดสอบอย่างนั้นหรือ?” ซูเฉินถาม

 

 

“ใช่ พวกเขาให้ข้ามาเพื่อบอกเจ้า”

 

ปัง!

 

 

ซูเฉินบีบเศษไม้ในมือของเขาจนแหลก มือของเด็กชายสั่นเทา

 

 

หลังจากสูดหายใจเข้าลึก ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ซูเฉินก็ค่อย ๆ สงบในคลื่นใหญ่ในใจของเขาลง และเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สงบเป็นพิเศษ “เช่นนั้นข้าก็คงรบกวนท่านลุงสามกลับไปแจ้งแก่พวกเขาแล้ว ว่าข้าไม่จำเป็นต้องรับการทดสอบนี้”

 

 

“เพราะเหตุใด?” ซูเฟยหูไม่เข้าใจว่าซูเฉินหมายความว่าอย่างไร

 

 

ซูเฉินตอบว่า “แท้จริงแล้วข้าโกหก … ดวงตาของข้าไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาเลยแม้แต่น้อย”