ยักษ์อมตะหมิงกวงแผดเสียงคำรามจนสะเทือนท้องนภา
มันข้ามเนินไป ทะยานขึ้นสูงสู่ท้องนภา จากนั้นตกในฝูงสัตว์ประหลาดซ้อนกันเข้ามาราวกับอุกกาบาตวันสิ้นโลก
ตูม!
ที่ที่ยักษ์ยืนอยู่เหมือนกับเป็นจุดกำเนิด ทั่วดินแดนถูกกระแทกจนเกิดหลุมลึกภายในรัศมีหลายไมล์
ทุกคนตกตะลึง ล้มไปกองกับพื้น ไม่สามารถยืนขึ้นมาได้
คลื่นอากาศที่เกิดจากแรงกระแทกกลายเป็นพายุคลุ้มคลั่ง ทำให้สัตว์ประหลาดเกรี้ยวกราดเหล่านั้นถูกพัดกระจายไปทุกทิศทาง
บนปฐพี ที่ที่สายลมพัดผ่าน กลุ่มสัตว์ประหลาดถูกพัดกลายเป็นหมอกโลหิต
สัตว์ประหลาดบางตัวที่มีการป้องกันดีเยี่ยมยืนต้านสายลมสักพัก
พวกมันมีพรสวรรค์จึงสามารถกำหนดจุดที่จะป้องกันพลังพิเศษได้
แต่ครั้งนี้สถานการณ์ออกจะพิเศษนิดหน่อย
การปะทะของยักษ์อมตะคือการระเบิดของสิ่งประดิษฐ์วิญญาณมากกว่าสามสิบชิ้นอย่างเต็มกำลัง พลังจำนวนมากที่อยู่ในพายุผสานเข้าด้วยกันจนก่อเกิดเป็นพลังโกลาหลอันน่าสะพรึง มันเกินกว่าที่สัตว์ประหลาดจะเอื้อมถึงได้
แม้กระทั่งสัตว์ประหลาดเหล่านั้นที่เก่งด้านการป้องกันก็ค่อยๆ กลายเป็นเลือดเนื้อในสายลม จากนั้นจึงถูกสายลมกำจัดจนหมดสิ้น
นี่เป็นเพียงพายุที่เกิดขึ้นจากผลพวงของแรงกระแทก
ภายในระยะของหลุมลึกที่เกิดจากแรงกระแทก สัตว์ประหลาดทั้งหมดถูกกวาดล้างด้วยพลังที่เกิดจากการกระแทกกับอย่างรุนแรงในพริบตา ไม่เหลือแม้กระทั่งเลือดสักหยด
ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!
ฝีเท้าหนักมาจากหลุม
มือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ขอบหลุม จากนั้นก็ศีรษะ ร่างกายและขาของยักษ์
มันปีนขึ้นมา
ตึง! ตึง! ตึง!
ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!
ยักษ์ก้าวแต่ละครั้งทำเอาปฐพีสั่นสะเทือน ทันค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น พุ่งไปข้างหน้าอยู่ใจกลางของสัตว์ประหลาดบรรพกาล
ความเร็วของยักษ์มากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะเหนือกว่าความเร็วการเหาะของนักพรต
สัตว์ประหลาดตามทางเปิดฉากโจมตีต่อเนื่องใส่ยักษ์อมตะ แต่ยักษ์กลับเมินเฉย
ยักษ์เป็นตัวตนอมตะ พลังจากวิชาวิเศษไม่สามารถทำอะไรได้ มีเพียงการโจมตีกายภาพที่ทรงพลังเท่านั้นที่สามารถทำร้ายมันได้
แต่มันมีดาบเหล็กยักษ์อยู่ในมือ ด้านหลังของมัน ดวงดาวหลายสิบดวงตามติดขณะถ่ายพลังทำสงครามจำนวนมากให้
เมื่อยักษ์ง้างดาบยาว ความว่างเปล่าทั้งหมดถูกเปิดออก สัตว์ประหลาดทั้งหลายที่ขวางตามทางถูกสังหารจนชุดเกราะหายไปสิ้น เหลือไว้เพียงกลุ่มควัน
ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวไหนที่เป็นศัตรูของยักษ์
ผู้บัญชาการของเผ่าพันธุ์บรรพกาลตรวจพบสถานการณ์ที่นี่ทันที
“ทุ่มพละกำลังทั้งหมดเพื่อฆ่ายักษ์นั่น!”
ผู้บัญชาการตะโกนด้วยภาษาโบราณแปลกประหลาด
กองทัพบรรพกาลจำนวนมากเปลี่ยนเส้นทางก่อนพุ่งเข้าหายักษ์อมตะ
นี่คือกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์บรรพกาล!
ทันทีที่เปลี่ยนเส้นทาง แนวป้องกันมนุษย์พลันผ่อนคลายลง
เวลาทดสอบยักษ์มาถึงแล้ว
ยักษ์มองกองทัพบรรพกาลขนาดใหญ่ที่กำลังเข้ามาก่อนหยุดนิ่งด้วยความสงสัย
มันมองสักพัก จากนั้นหันไปมองด้านหลัง
นักพรตจากค่ายแนวหน้าเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่กำลังเปิดฉากโจมตีต่างตกตะลึง
“พวกเจ้าช้าเกินไปแล้ว”
ยักษ์กล่าวเสียงดัง
“ท่านไวเกินไปต่างหากล่ะ! ท่านต้องรอพวกข้าด้วย!”
แม่ทัพเผ่าพันธุ์มนุษย์ตะโกนตอบ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ยักษ์หันศีรษะกลับมามองกองทัพบรรพกาลที่กำลังใกล้เข้ามา
สัตว์ประหลาดจากทั่วทุกหนแห่งต่างพุ่งเข้ามา แม้กระทั่งร่างขนาดใหญ่ของยักษ์อมตะก็ดูเล็กจ้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าคลื่นเหล็กที่กระเพื่อมเหล่านี้
คราวนี้ยักษ์ไม่พุ่งออกไป
มันยกดาบขึ้นเพื่อตั้งท่าป้องกัน
ทั้งสองด้านใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่กองทัพสัตว์ประหลาดบรรพกาลเข้าปะทะ ยักษ์อมตะถอยกลับด้วยความคล่องแคล่วที่คาดไม่ถึง
มันถอยออกมาเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างสัตว์ประหลาดกับมัน ดาบยาวในมือของมันสับผ่านอากาศอย่างไม่มีสิ้นสุด
เห็นได้ชัดว่ายังมีระยะห่างอีกราวสิบฟุตระหว่างดาบยาวกับสัตว์ประหลาดที่ออกมาสู้ในฐานะแนวหน้า
แต่เมื่อดาบถูกฟันออกไปในแต่ละครั้ง กลุ่มสัตว์ประหลาดถูกลบล้างทันที
ดาบลับ ไล่ล่าชีวิต!
“เมื่อท่านอยู่ห่างจากศัตรูภายในสิบฟุต ย่อมสามารถผ่ากลางอากาศได้”
“หมายเหตุ: ดาบลับนี้สามารถใช้งานร่วมกันกับดาบลับอื่นได้”
“ภายในสิบฟุต ไล่ล่าวิญญาณเพื่อชีวิต”
ยักษ์อมตะยังคงถอยออกมาจนกระทั่งถอยมาถึงนักพรตมนุษย์ จากนั้นหยุดนิ่ง
ในระหว่างนี้ ดาบยาวฟาดผ่านอากาศอย่างไม่รีบร้อน มันฟาดออกไปเจ็ดครั้งติดต่อกันเพื่อหยุดยั้งการบุกเข้ามาของสัตว์ประหลาด
ผ่านไปสักพัก มีพื้นที่โล่งระหว่างทั้งสองฝั่ง
แม่ทัพของกองทัพแนวหน้าเผ่าพันธุ์มนุษย์วิ่งเข้ามาก่อนแล้วกล่าวเสียงดังว่า “ท่านทำได้ดีมาก ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกข้าจะลงมือแล้ว”
เขามองคนของตัวเอง
“ฆ่าพวกมัน!”
“สถานการณ์พลิกกลับแล้ว ถึงเวลาที่พวกเราจะลงมือแล้ว!”
“ท่านแม่ทัพ โปรดออกคำสั่งด้วย”
พวกนักพรตมีกำลังใจฮึกเหิมขณะชูอาวุธแล้วส่งเสียงโห่ร้องอย่างยินดี
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ หัวใจของแม่ทัพรู้สึกมั่นคงขึ้นเล็กน้อย
เขาตะโกน “พี่น้องทั้งหลาย”
“ไม่ต้อง”
ยักษ์กล่าวขณะขัดเขา
แม่ทัพถอยกลับ เงยหน้ามองยักษ์อมตะแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “มีอะไรหรือ”
“ข้าเพียงฟันไปเจ็ดครั้ง ยังเหลืออีกดาบให้ใช้ จากนั้นพวกเจ้าค่อยไป”
ยักษ์กล่าวอย่างจริงจัง
“เหลืออีกดาบหรือ” แม่ทัพถามด้วยความสับสน
เขาอดที่จะมองดาบเหล็กยักษ์ยาวสิบเมตรไม่ได้
บนดาบเหล็ก พลังชั้นแล้วชั้นเล่าปรากฏขึ้น
พลังหลายสิบชั้นควบคู่ไปกับพลังอสนีบาตของตัวยักษ์เอง ทำให้ดาบยาวมีพลังสุดแสนจะจินตนาการ
แม้กระทั่งความว่างเปล่าก็ไม่กล้าสัมผัสดาบเล่มนี้ พวกมันถอยทุกครั้งที่ดาบฟาดฟัน ทำให้พลังอันเอ่อล้นบนดาบยาวสามารถหลบหนีไปยังมิติอื่นได้
ยักษ์มองกองกำลังสัตว์ประหลาดบรรพกาลด้วยสีหน้าระแวดระวัง
นี่คือกองกำลังชั้นสูงของศัตรู มันต้องถูกกำจัดก่อนที่จะมาเปลี่ยนวิถีสงครามนี้
ยักษ์อมตะถือดาบยาวด้วยมือทั้งสองข้าง เตรียมใช้วิชาดาบอย่างเงียบงัน
ต่อไป นี่จะเป็นกระบวนท่าสุดท้ายของวิชาดาบ
นี่คือวิชาแปดดาบสอดประสาน หากขาดอย่างหนึ่งอย่างใด ดาบลับจะถูกขัดขวางทันที
ดาบลับ เจ็ดมังกรดาราพเนจร!
ดาบยาวในมือของยักษ์ฟาดไปข้างหน้าตั้งแต่บนลงล่าง
โลกทั้งใบพลันเปล่งแสงเรืองรองออกมา
เบื้องหน้าแสงสว่างนี้ พลังทั้งหมดเหมือนกับไร้ความหมาย
แม้กระทั่งในหมู่เมฆบนท้องนภา ตัวตนน่าสะพรึงทั้งสองหลุดไล่ล่าและโจมตีกันเอง
พละกำลังระดับนั้นเพียงพอที่จะทำให้พวกมันระแวดระวัง
บนพื้น สติของทุกคนเลือนราง
จากนั้นพวกเขาเห็นสิ่งหนึ่ง
มังกรหลากสีสันนั่นประกอบไปด้วยพลังบริสุทธิ์มากกว่าสามสิบชนิด
จำนวนที่ไหลออกมาจากดาบยาวยักษ์ไม่มากนัก พูดให้ถูกคือมันถูกอัญเชิญขณะดาบยาวยักษ์กวัดแกว่ง
มังกรหลากสีสันมีวิญญาณขณะโคจรรอบสมรภูมิ
ผู้คนกลั้นหายใจขณะมองตัวตนตำนานพเนจรอยู่บนท้องนภา จากนั้นจมเข้าสู่ความว่างเปล่าและเลื้อยไปมา
ฉากนี้งดงามมากจนแม้แต่ยักษ์อมตะเองยังตกตะลึงสักพัก
ไม่ช้า
สายลมพัดผ่านมา
ยักษ์อมตะก้มมองแม่ทัพค่ายแนวหน้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าใช้วิชาหมดแล้ว พวกเจ้าสามารถลงมือได้”
แม่ทัพกลับมามีสติ
เขามองซ้าย มองขวา ก่อนที่จะอดพึมพำไม่ได้ว่า “ท่านอยากให้พวกข้าไปตรงไหนล่ะ”
ตรงข้ามเขา สัตว์ประหลาดบรรพกาลทั้งหมดในสมรภูมิหายไปหมดสิ้นแล้ว
ใช่แล้ว มันสะอาดหมดจด ไม่เหลือแม้สักตัว เหมือนกับระเหยหายไปจากโลก ไม่มีร่องรอยแม้แต่นิดเดียว
ดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล ว่างเปล่า ปราศจากสิ่งมีชีวิตใดๆ
………………………………………