ดูจากแผนที่ โกดังแห่งนี้ล้อมกรอบด้วยอำเภอเล็กๆ สามแห่ง
หากยึดที่นี่เป็นศูนย์กลาง และยึดเมือง X เป็นส่วนหน้า ถึงแม้ว่าอำเภอตงโถวจะไม่ได้อยู่ไกลที่สุด ทว่ามันกลับตั้งอยู่ด้านหลังโกดังแห่งนี้พอดี
และเมื่อเป็นอย่างนี้ ถึงแม้มีซอมบี้ระดับสูงออกมาจากเมือง X แต่ก็มีความเป็นไปได้ไม่มากที่มันจะมุ่งหน้ามายังสถานที่อย่างนี้
ในอีกด้าน ที่หลิงม่อทำอย่างนี้ ก็เพื่อระวังกลุ่มนิพพานด้วยเช่นกัน
ทว่าเมื่อลองนึกย้อนไป เมื่อก่อนนิพพานไม่สามารถยึดครองสถานที่เหล่านี้ได้ ตอนนี้ก็คงยังไม่มีวิธีเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกเขาน่าจะยังยื้อยุดอยู่กับฟอลคอน คงไม่มีเวลาหันมาสนใจทางนี้…
“ถ้าอย่างนั้น…ผมจะรอทุกคนอยู่ที่นี่แล้วกัน” นักบินบอก
“อื่ม ทุกคนพักผ่อนและเตรียมตัวให้เรียบร้อย อีกสิบนาทีพวกเราจะออกเดินทางกัน!” หลิงม่อพยักหน้า
ขณะเดียวกัน ณ จุดที่อยู่ห่างจากพวกหลิงม่อออกไปหลายร้อยเมตร…
เงาร่างของใครคนหนึ่งค่อยๆ หดตัวถอยหลังเข้าไปในช่องม่านหน้าต่าง และยกเครื่องมือสื่อสารในมือขึ้น
“พวกเขามาแล้ว”
…ณ ฐานทัพฟอลคอนแห่งเมือง X
“เสนาธิการหวัง ฟอลคอนเข้าร่วมเครือข่ายแล้วค่ะ”
หญิงสาวคนหนึ่งถือเครื่องมือสื่อสาร พลางผลักประตูบานหนึ่ง และพูดกับคนที่อยู่ในห้องเสียงเบา
บนเก้าอี้โซฟาภายในห้อง ชายคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ตรงนั้น เขากางแผนที่แผ่นหนึ่งไว้บนโต๊ะกาแฟตรงหน้า
บนแผนที่แผ่นนั้น นอกจากเครื่องหมาย X สีดำที่ถูกเขียนไว้ ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ถูกวงกลมไว้ด้วยปากกาสีแดง
หนึ่งในวงกลมเหล่านั้นซึ่งยามนี้ถูกนิ้วของเขาชี้อยู่ กลับเป็นค่ายปาฏิหาริย์ของหลิงม่อ
และอีกหลายพื้นที่ที่เหลือ ก็คือนิพพานสำนักงานใหญ่ ฐานทัพฟอลคอน รวมถึงโกดังอาหารแห่งหนึ่ง…
หลังจากรายงาน หญิงสาวเพียงยืนรอเงียบๆ อยู่หน้าประตู
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มเปิดปากพูดเสียงเบา ทว่าคำพูดของเขากลับชวนให้ประหลาดใจ “ฉันอุตส่าห์เป็นฝ่ายเสนอตัวแก้ปัญหา และยื่นความช่วยเหลือให้ก่อน แต่นิพพานกลับยอมบอกตำแหน่งของโกดังแค่ที่นี่ที่เดียว และไม่ต้องเดาก็รู้ สิ่งที่อยู่ในโกดังแห่งนี้ จะต้องเป็นของที่มีค่าต่ำสุดอย่างแน่นอน…เธอคิดว่าทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร?”
อยู่ๆ ชายหนุ่มก็ตั้งคำถาม ทว่าหญิงสาวกลับไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจ เธอตอบอย่างไม่ลังเลว่า “นิพพานเพียงต้องการจ่ายในราคาที่ต่ำที่สุด เพื่อแลกกับผลลัพธ์ที่สูงที่สุดค่ะ ถึงแม้ว่าบอสใหญ่ผู้นั้นจะอยากฆ่าหลิงม่อมากขนาดไหน แต่เขากลับสามารถข่มใจได้เป็นอย่างดี ในอีกด้าน พวกเขากำลังระวังตัวกับพวกเราด้วยค่ะ”
“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่” ชายหนุ่มพลันเอนหลังพิงพนัก บอกว่า “เขาทำทีเป็นว่าจะยอมละทิ้งโกดังแห่งนี้ ซึ่งความหมายแฝงก็คือ ถ้าหากพวกเราอยากได้ ก็ต้องช่วยเขากำจัดหลิงม่ออย่างสุดกำลัง…ส่วนเรื่องในอนาคต ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต”
“อนาคต?” หญิงสาวอึ้งงัน แล้วถามต่อว่า “หมายถึงค่ายปาฏิหาริย์หรือคะ?”
“ถ้าหากหลิงม่อตาย ค่ายปาฏิหาริย์จะต้องแตกแยกแน่นอน แต่เมื่อถึงตอนนั้นมันจะตกเป็นของพวกเรา หรือนิพพานจะฉวยโอกาสยื่นมือเข้ามาแทรก เรื่องนี้ยังพูดยากนัก บอสใหญ่ผู้นั้นพูดอย่างนี้ เพราะต้องการใช้โกดังอาหารแห่งนี้แลกกับการที่พวกเราต้องสู้กับหลิงม่อ ส่วนเขาก็จะเก็บออมแรงไว้เพื่อการข้างหน้า” ชายหนุ่มบอก
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่นานก็เงยหน้าขึ้น “ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…”
“ทำตามแผนต่อไป เขามีแผน ฉันก็มีเหมือนกัน…ไม่ว่ายังไง การที่พวกเราเจอพวกหลิงม่อเร็วอย่างนี้หลังจากที่รอโอกาสมานานก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา
หญิงสาวพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน ทางผู้บัญชาการใหญ่ซู…มีการเคลื่อนไหวหรือยัง?” ชายหนุ่มถาม
หญิงสาวที่กำลังจะปิดประตูห้องพลันชะงัก แล้วตอบว่า “ยังค่ะ”
“นี่ก็ผ่านไปจะหนึ่งเดือนแล้ว…เธอช่างอดทนเก่งจริงๆ…” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองหนึ่งประโยค พลางแค่นหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือ
แกร๊ก…
ประตูห้องปิดลงอย่างนิ่มนวลทันที พร้อมกันนั้น บรรยากาศในห้องก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
ชายหนุ่มจ้องมองไปยังวงกลมสีแดงซึ่งเป็นตำแหน่งของโกดังอาหารแห่งนั้น และพูดเสียงเบาว่า “หลิงม่อ นายเก่งกาจ และรอบคอบมาก ฉันเสียท่าให้นายหลายครั้งแล้ว ถ้าอย่างนั้นมารอดูกันว่าคราวนี้ฉันจะเอาคืนในครั้งเดียวสำเร็จหรือไม่…”
เขาพลันยื่นมือออกมากำหมัดและทุบลงบริเวณพื้นที่นั้นแรงๆ โต๊ะกาแฟพลันหักดัง “แคร๊ก” ไม่เพียงเท่านั้น ขาโต๊ะทั้งสี่ข้างพลันหักและกระจาย ส่งผลให้โต๊ะกาแฟพังหมดสภาพ…
แผนที่แผ่นนั้นค่อยๆ ลอยตกลงบนพื้น บริเวณที่ถูกชายหนุ่มทุบด้วยกำปั้น กลับกลายเป็นรูกลวงโบ๋…
…………
“หลังผ่านเรื่องที่โกดังอาหารมา กระสุนของพวกเราก็เหลือน้อยมากแล้ว แผนเดิมคือไปค้นหาเพิ่มที่โกดังเก็บอาวุธ แต่ด้วยสภาพของเราตอนนี้ถ้าไปที่นั่น จะเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่าตอนนี้มาก ดังนั้น ทุกคนคงต้องใช้อย่างประหยัดกันแล้วล่ะ”
ทันทีที่เวลาพักสิบนาทีเริ่มต้น พวกหลิงม่อก็ลงมารวมตัวกันที่ห้องโถงด้านล่าง และนับจำนวนอาวุธและกระสุนที่เหลือทั้งหมดอีกครั้ง
“ทุกคนจะได้กระสุนไปในจำนวนเท่าๆ กัน ซึ่งมีไม่มากนัก ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจว่าจะเอากระสุนทั้งหมดให้สามคนที่ยิงปืนเก่งที่สุด ส่วนกู่ซวงซวงกับเจ้าลิงผอม พวกนายสองคนให้พกไว้แค่พอป้องกันตัวเท่านั้น ฉันตัดสินใจอย่างนี้ ทุกคนคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?” หลิงม่อถาม
ทุกคนพากันพยักหน้า มู่เฉินกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ยิงปืนเก่งที่สุดงั้นหรอ? ก็จริงของนาย ทำแบบนี้จะได้มั่นใจว่าจะใช้กระสุนได้อย่างคุ้มค่าที่สุด…ถ้าอย่างนั้น คนแรกที่ต้องตัดทิ้งก่อนเลย ก็คือนายนั่นแหละ หัวหน้า…”
“อื่ม อันนี้ผมเห็นด้วย”
“เห็นด้วยอย่างแรง!”
“การที่หัวหน้าถือปืนก็ถือเป็นความผิดแล้ว…”
หลิงม่อได้ยินอย่างนั้นก็หน้าง้ำ “นี่ พวกนายให้มันน้อยๆ หน่อยนะ! ถ้าจะพูดก็ช่วยไปพูดกันลับหลังฉันไม่ได้หรอ…”
“จุ๊ๆ ทำเป็นโกรธกลบเกลื่อนซะแล้ว”
“เอาเถอะ เอาเป็นว่าทุกคนรับรู้ตามนี้ก็แล้วกัน”
“เฮ้ย! นี่พวกนายเล่นหันหลังไปคุยกันต่ออย่างนี้เลยเรอะ! ให้ตายเถอะ!” หลิงม่อเดือด
กลับเป็นจางซินเฉิงที่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้คนที่ยิงปืนเก่งที่สุดในหมู่พวกเรา อันดับแรกคืออวี่เหวินซวน แต่พลังพิเศษของเขาก็ถือว่าแข็งแกร่งมากเหมือนกัน ผมคิดว่าถ้าเขาถือปืนจะส่งผลต่อการสั่งการ ดังนั้น พวกเราสู้ลดจากสามเหลือสองดีกว่าไหม ผม แล้วก็โค้ชมู่เฉิน พวกเราสองคนมีฝีมือยิงปืนพอๆ กัน ถ้าหากเล็งเป้าแล้วยิ่ง ส่วนมากแทบไม่พลาดเป้า เพียงแต่ ผมไม่รับประกันว่าจะสามารถยิงให้ตายในนัดเดียวได้ทุกครั้ง”
“ก็จริง…” หลิงม่อเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า
รายละเอียดเหล่านี้ กลับกลายเป็นจางซินเฉิงที่สังเกตได้ถี่ถ้วนกว่า
ในขณะที่สิ่งที่หลิงม่อให้ความสำคัญนั้น กลับเป็นสถานการณ์โดยรวมเสียมากกว่า
หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขามีเรื่องให้ต้องสังเกตการณ์มากกินไป จึงไม่แปลกที่เขาจะมองข้ามรายละเอียดเล็กน้อยอย่างนี้ไป
“ถ้าอย่างนั้นก็สองคนแล้วกัน กู่ซวงซวงกับเจ้าลิงผอมให้พกติดตัวคนละสามสิบนัก และให้ทั้งสองคนอยู่ตรงกลางทีมตลอดเวลา ทำได้หรือเปล่า?” หลิงม่อหันไปมองกู่ซวงซวงกับเจ้าลิงผอม แล้วถาม
กู่ซวงซวงหน้าแดงซ่าน ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ
เจ้าลิงผอมไร้ข้อโต้แย้ง “แน่นอนครับ”
“เอาล่ะ มีประสบการณ์จากครั้งก่อนเป็นบทเรียน ครั้งนี้พวกเราต้องระวังและรอบคอบให้มาก ครบสิบนาทีแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!”
เมื่อหลิงม่อลุกขึ้นยืน ทุกคนต่างก็ทยอยหยิบอาวุธ พร้อมกับมองหน้ากันครู่หนึ่ง
“หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นนะ!”
“อื้ม หวังว่าอย่างนั้นนะ!”