บทที่ 1137 ใครขวางทางต้องตายสถานเดียว!

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

ตอนออกเดินทาง หลิงม่ออดเหลือบมองเย่เลี่ยนไม่ได้

ไม่รู้ว่าเธอจะอดทนไปจนถึงตอนนั้นได้หรือเปล่า…ระหว่างทางจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นหรือเปล่านะ…

เพราะถึงยังไงการอัพเกรดครั้งนี้ของเย่เลี่ยนนั้นรวดเร็วเหลือเกิน…

ถึงแม้เดิมทีเย่เลี่ยนก็ใกล้จะก้าวข้ามเต็มทีแล้ว แต่หลิงม่อไม่คิดว่าเย่เลี่ยนจะสามารถอัพเกรดถึงระดับนี้ได้โดยตรง กระทั่งระยะเวลาที่เธออยู่ในระดับก่อนหน้านี้ สั้นจนถึงขนาดทำให้หลิงม่อมองข้ามไปได้เลย

ความจริงหากคิดดูดีๆ เขาเองก็เป็นห่วงเกินเหตุ…

ภายใต้สถานการณ์อย่างนั้น เขาไม่สามารถใจเย็นได้อย่างในยามปกติ ถึงแม้ภายนอกยังสามารถรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ได้ แต่ความจริงในใจของเขากลับยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว

กว่าเขาจะใจเย็นลง ก็จำเป็นต้องเริ่มภารกิจครั้งต่อไปเสียแล้ว

ในอีกด้าน…ดูจากสถานการณ์ของเย่เลี่ยนในตอนนี้ การอัพเกรดในเสี้ยววินาทีนั้นความจริงไม่ได้มีผลอะไรเลย เพราะก่อนที่จะสามารถก้าวข้ามไปถึงระดับวิวัฒนาการต่อไปได้ เธอก็จะยังคงอยู่ในสภาวะที่ไม่มั่นคงสุดๆ อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

และสิ่งที่ทำให้เขาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ…เมื่อ “สภาวะไม่มั่นคง” ดังกล่าวถูกเปิดเผย หลิงม่อไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง…

ความไม่รู้ คือดาบแหลมคมที่ห้อยอยู่บนหัวอย่างแท้จริง…

“ดังนั้น…ต้องทำทุกอย่างให้เร็วที่สุด…เราเลี่ยงโกดังอาวุธซึ่งเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดไปแล้ว ถ้าหากที่นี่ยังมีฐานทัพซอมบี้อยู่อีก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ…ก็คงเหลือวิธีเดียวแล้ว…”

สังหาร!

นานมากแล้วที่หลิงม่อไม่เกิดความคิดอย่างนี้…ทว่าตอนนี้ เขาเร่งรีบมากจริงๆ…

“ซย่าน่ากับรุ่นพี่อาการมั่นคงดี…หลังผ่านช่วงห้าวันนั้นมา กลับใกล้ถึงเวลาก้าวข้ามขั้นต่อไปแล้ว…แต่ถึงบอกว่าใกล้ ถ้าดูจากเรื่องของเย่เลี่ยนเป็นตัวอย่าง หากต้องการให้พวกเธอก้าวข้ามอย่างแท้จริง คงต้องใช้เวลาสั่งสมไปอีกระยะหนึ่ง ถ้าอาศัยก้อนเหนียวหนืดอย่างเดียว คงช้าเกินไป…”

เดิมทีหลิงม่อเอนเอียงไปทาง “วิวัฒนาการอย่างมั่นคง” มากกว่า ทว่าประสบการณ์ทั้งหมดในเดือนนี้ที่เขาเผชิญมา กลับก่กลายเป็นแรงกดดันมหาศาลในใจเขา

การเอาตัวรอดนั้นเป็นเรื่องยากขึ้นทุกวันแล้ว…บางที ในอนาคตพวกเย่เลี่ยนอาจต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้เพียงลำพังที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้…

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีแต่จะเลวร้ายลงในแต่ละวัน มีเพียงต้องวิวัฒนาการเท่านั้นที่เป็นวิธีเอาชีวิตรอดเพียงหนึ่งเดียว…

บางที สาเหตุที่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะต้องการเร่งการเข่นฆ่า และวิวัฒนาการระหว่างซอมบี้ด้วยกันเองก็เป็นได้…

หลังจากที่มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตอันอ่อนแอด้อยค่า ซอมบี้ก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนมากที่สุดในปัจจุบัน…สิ่งที่เชื้อไวรัสจะทำต่อจากนี้ บางทีอาจเป็นการฉายซ้ำภาพประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นกับมนุษย์บนตัวซอมบี้อีกครั้ง…

บางที โลกใบนี้อาจต้องตกอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าวนเวียนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแตกดับไป…

“พอๆๆ! นี่เรากำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย! ฟุ้งซ่านจริงๆ เลย!…”

หลิงม่อสะบัดหน้าหลายครั้ง และเงยหน้ามองไปข้างหน้า

ถนนของอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ทอดยาวและเหยียดตรงเข้าไปในป่าร้างเบื้องหน้า…และท่ามกลางป่าร้างผืนนั้น ก็คือที่ตั้งของ “โกดังอาหารหมายเลข 2” ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขาอยู่…

“รีบจัดการที่นั่นให้เร็วที่สุด หลังจากลกับมา ก็ให้เฮลิคอปเตอร์ไปส่งพวกเราที่โกดังเก็บอาวุธได้แล้ว…พอถึงตอนนั้น ค่อยคิดหาทางอีกทีแล้วกัน…” หลิงม่อลอบถอนใจ พลางคิด

“ฮู่ว! เอาล่ะ อย่างนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว…”

ณ ดาดฟ้าเมื่อครู่ นักบินกำลังถือเสื้อสกปรกผืนหนึ่งเช็ดรอยเลือดรอยสุดท้ายบนรั้วกั้นขอบดาดฟ้า

แม้ว่ากลิ่นคาวเลือดยังคงหลงเหลืออยู่ แต่หลังจากที่โยนศพลงไปจากดาดฟ้า และทำความสะอาดซ้ำอีกหนึ่งรอบ ถึงแม้จะยังมีซอมบี้ที่หลงเหลืออยู่ตามกลิ่นคาวเลือดมาที่นี่ แต่ก็ไม่มีทางขึ้นมาถึงดาดฟ้าแน่นอน

และในช่วงที่พวกหลิงม่อกำลังทำภารกิจนี้ เขาเพียงต้องเฝ้าเฮลิคอปเตอร์อยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ ก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น

“จริงๆ เล้ย…ไม่คิดเลยว่าฉันจะมีวันนี้ วันที่ต้องทำลายศพแต่กลับรู้สึกดีใจอย่างนี้…ถึงแม้ไม่ใช่ทุกคนที่กลายเป็นซอมบี้ แต่ส่วนน้อยที่มีชีวิตรอดมาได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นมนุษย์ปกติอีกแล้วล่ะมั้ง…แต่ขอเพียงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว…เฮ้อ น่าเสียดายที่เจ้าจางเส่อ…”

นักบินจ้องมองคราบเลือดบนเสื้อผืนนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกยืนตัวตรง ยื่นมือออกไปนอกรั้วกั้น

ขอเพียงทิ้งเสื้อผืนนี้ไป เขาก็เหลือเพียงแต่ต้องรอให้ภารกิจครั้งนี้จบเท่านั้น…

เมื่อสิ่งอันตรายชิ้นสุดท้ายถูกทำลายแล้ว ในอำเภอเล็กๆ ที่รกร้างและวังเวงแห่งนี้ก็จะไม่มีอันตรายใดๆ อีก…

แต่ในเสี้ยววินาทีที่นักบินใกล้จะปล่อยมือ สีหน้าของเขากลับค้างเติ่งไป ร่างกายพลันสั่นสะท้านและแข็งทื่อไปชั่วขณะ

เขาไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย ทำได้เพียงค่อยๆ หันมองไปทางหางตา…

เอี๊ยดอ๊าดๆๆ…

เมื่อสายลมเย็นๆ พัดผ่านแผ่วเบา ประตูดาดฟ้าที่เขาจำได้ว่าปิดแน่นสนิทบานนั้น เวลานี้กลับกำลังเปิดแง้มไว้…

“ไม่ใช่สิ! ฉันจำได้แม่น…เมื่อกี้ฉันยังเอาท่อนเหล็กยันไว้ด้วย…”

สายตาของนักบินเลื่อนไปที่พื้นทันใด ท่อนเหล็กท่อนนั้นกลับร่วงลงพื้นอย่างเงียบเชียบไร้เสียงตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ซ้ำตอนนี้มันยังกำลังเกลือกกลิ้งไปมาเบาๆ อยู่บนพื้นอีกด้วย…

สิ่งที่ทำให้เขาหวาดระแวงมากที่สุด ความจริงก็คือเสียงเสียดสีของท่อนเหล็กกับพื้น…แต่ที่มากกว่านั้น กลับเป็นรังสีอำมหิตอย่างรุนแรงที่อธิบายไม่ถูก…

“อึก…”

นักบินกลืนน้ำลาย และค่อยๆ ยื่นมือไปที่เอว…

“ไม่เป็ฯไร…ถ้าหากไม่ใช่พวกหัวหน้าย้อนกลับมา อย่างมากก็แค่ซอมบี้ตัวหนึ่ง เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนั้น เราเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยฆ่ากับมือเสียเมื่อไหร่…”

นักบินพยายามให้กำลังใจตัวเอง…ขณะเดียวกัน บานประตูก็ยังคงกระเพื่อมไหวไปตามแรงลมเรื่อยๆ…

เมื่อท่อนเหล็กหยุดกลิ้ง ชั่วขณะหนึ่ง บนดาดฟ้ามีเพียงเสียงเอี๊ยดอ๊าดของบานประตู รวมถึงเสียงหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งของนักบินดังชัดเจนในความเงียบ…

“จับได้แล้ว!” นักบินยื่นมือไปจับปืนที่เอว และพลันกระชากออกมาอย่างรวดเร็ว

“ฉันเป็นแนวหลังของพวกเขา…”

“ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น ฉันก็คือทางรอดของพวกเขา…”

“พวกเขาเสี่ยงอันตรายอยู่แนวหน้า ถ้าหากว่าเรื่องแค่นี้ฉันยังทำได้ไม่ดี…”

“ก็น่าขายหน้าเกินไปแล้ว…”

เสี้ยววินาทีที่กระชากปืนพกออกมา ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในสมองของนักบิน…

แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อเขาฮึดสู้และหมุนตัวยกปากปืนขึ้น ด้านหน้าเขา…กลับมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว

“ไม่ใช่ซอมบี้นี่!”

นักบินเพิ่งจะตะโกนประโยคนี้ในใจ ทันใดนั้น สัมผัสเย็นวูบพลันพาดผ่านลำคอ

“อะไรกัน? เกิด…อะไรขึ้น?”

นักบินเบิกตากว้าง…เขายังคิดจะลั่นไก ทว่าเมื่อเลือดอุ่นๆ พุ่งกระฉูดออกมา เรี่ยวแรงของเขาพลันหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่นิ้วมือของเขากระตุกสั่นหมายจะกดไกปืน สัมผัสเย็นวูบก็พลันพาดผ่านอีกครั้ง ไม่นาน แขนข้างที่เขากำปืนไว้แน่น ก็ร่วงลงไปบนพื้นต่อหน้าต่อตาเขา…

“นั่นมัน มือของฉัน?”

“แล้วก็…”

สายตาของนักบินพร่าเลือนอย่างรวดเร็ว เขาผงะถอยหลังโดยอัตโนมัติ แผ่นหลังอของเขาชนเข้ากับรั้วกั้น สุดท้ายก็ล้มหงายหลังไปอย่างไม่อาจควบคุมร่างกายตัวเองได้…

เมื่อเฮลิคอปเตอร์หายลับจากครรลองสายตา และภาพที่เห็นตรงหน้ามีเพียงอาคารบ้านเรือนที่พาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประโยคแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของนักบิน กลับไม่ใช่ “ฉันจะตายแล้ว” ทว่าเป็น…

“แย่แล้ว…เฮลิคอปเตอร์ถูกขโมยไปแล้ว…”

หนึ่งวินาทีก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้น นักบินกลับนึกหยันตัวเองที่คิดอย่างนั้น…

“นึกว่าชาตินี้ฉันจะไม่มีวันมีความรู้สึกสำนึกในหน้าที่บ้าบออย่างนี้ซะแล้ว…”

โครม!

สายตาของนักบินยังคงจับต้องไปยังข้างบน…

ด้านหลังรั้วกั้น เงาร่างของใครคนนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ทีเดิม ในมือเขา ยังกำกริชสั้นเปื้อนเลือดไว้แน่น…

แซ่ดๆๆ…

“กรุณารายงายเสนาธิการหวังด้วย ภารกิจขั้นแรกสำเร็จแล้ว…”

เงาร่างนั้นหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมา พลางรายงานด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?” ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงหญิงสาวดังทอดมา

“ไม่มี พวกเขาทิ้งไว้เพียงเจ้าโง่ที่ตอบสนองช้าไว้คนเดียว ฆ่าเขาง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก” เงาร่างนั้นตอบกลับ

“ดีมาก ไม่มีทางหนี งั้นพวกเขาก็เหลือเพียงทางเลือกเดียว คือต้องสู้กับพวกนิพพานเท่านั้น จำไว้ให้ดี อย่าเพิ่งลงมือเด็ดขาด นายรู้ว่าต้องรอจนถึงตอนไหน…” หญิงสาวบอก

เงาร่างพยักหน้า “เข้าใจแล้ว…”

“หลิงม่อ…จะต้องตาย เขาต้องตายเท่านั้น พวกเราจึงจะมีโอกาสยึดครองค่ายปาฏิหาริย์ ในยุคสมัยนี้ มีเพียงต้องหาทรัพยากรและกำลังคนเพิ่ม พวกเราจึงจะอยู่รอดต่อไปได้…”

เงาร่างค่อยๆ ลดเครื่องมือสื่อสารลง “ติ๋ง” เลือดสีแดงข้นไหลไปตามคมมีดหยาดหยดลงบนพื้น และกัดกร่อนเข้าไป กลายเป็นสีแดงดำขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วดูน่าสะพรึงกลัว…

—————————————————————————–