เจ้าตำหนักใหญ่ยังไม่กล่าวอันใด หลิ่วอี้ฮวนเห็นเขายังดื้อดึงเช่นนี้ ในใจก็เริ่มโมโห กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ได้ เจ้าไม่พูด เช่นนั้นข้าพูดแทนเจ้าเอง! ให้ซือเฟิ่งได้รู้พ่อตัวเองแท้จริงแล้วเป็นคนแบบไหน! ซือเฟิ่ง เจ้าฟังให้ดีนะ ตอนนั้นท่านพ่อเจ้าออกไปฝึกฝนตน…”
เจ้าตำหนักใหญ่พลันยกมือขึ้น หลิ่วอี้ฮวนก้าวออกมาด้านหน้าตวาดเตือนว่า “ทำไม! คิดลงมือ?!”
เจ้าตำหนักใหญ่สะบัดแขนเสื้อ กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “อย่าพูดจาเหลวไหล! เจ้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
“ใช่สิ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้นจริงๆ” หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเยาะ “คนที่รู้ก็เอาแต่ไม่พูด คนไม่รู้ก็ย่อมเล่าลือกันไปมั่วซั่ว ทำให้ลูกเจ้าต้องคิดมาก ไม่สู้เจ้าเล่าออกมาเองให้กระจ่างชัด เจ้าทนที่จะโยนตำหนักหลีเจ๋อผุพังจากการกระทำที่เจ้าก่อไว้ให้เขา จากนั้นไม่บอกอะไรเขา?”
เจ้าตำหนักใหญ่เงียบงันไม่กล่าววาจา พลันมองไปยังอวี่ซือเฟิ่งข้างๆ เงียบงัน เป็นนานก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่ง เจ้า…อยากรู้เรื่องเก่าก่อนของท่านพ่อท่านแม่? หลายเรื่องไม่บอกเจ้า ก็เพราะหวังดีกับเจ้า”
อวี่ซือเฟิ่งหน้าซีด ไม่รู้กำลังคิดอะไร เป็นนานกว่าเขาจะหันไปมองเจ้าตำหนักใหญ่เงียบๆ กล่าวเบาๆ ว่า “โปรด…โปรดบอกข้า เรื่องท่านแม่” ไม่มีใครไม่อยากรู้เรื่องบิดามารดาตนเอง เขาเองก็ด้วย แม้แต่เล็กโตมาในตำหนักหลีเจ๋อ ทุกคนล้วนโตมาอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่พอได้ยินคนอื่นเอ่ยถึงบิดามารดา ตนเองกลับสับสนเวิ้งว้าง วันนี้เหมือนมารแทรกเกาะกุมจิตใจเขา เขาไม่คิดจะผ่อนปรนในเรื่องนี้อีกแล้ว ไม่คิดแม้สักนิด
เจ้าตำหนักใหญ่ถอนหายใจยาว หลุบตาลงก่อนค่อยๆ รำลึกเรื่องราวหนหลัง ผ่านไปนานมากจนหลิ่วอี้ฮวนแทบจะเอ่ยปากเร่ง อยู่ๆ เขาก็กล่าวขึ้นว่า “ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับแม่เจ้า อายุน่าจะมากกว่าเจ้าตอนนี้หลายปี…”
ตอนนั้นกฎตำหนักหลีเจ๋อยังไม่ได้เข้มงวดเหมือนตอนนี้ ศิษย์อายุน้อยยังออกจากตำหนักตามใจได้ ไปฝึกฝนตนได้ทั่ว เพียงแค่ไม่อนุญาตให้ถอดหน้ากากออก ไม่อนุญาตให้มีเรื่องชู้สาวกับสตรีภายนอก กฎอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังไม่มี นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสีสันของโลกมนุษย์ แต่ละแห่งล้วนมีแต่เสียงร้องรำทำเพลง เขาเขียวน้ำใสมรกต เทียบกับตำหนักหลีเจ๋อแล้ว เห็นได้ชัดว่าที่นั่นราวกับกรงขังแสนน่ากลัวโดยแท้
เขาก็เหมือนกับศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายคน ถูกภาพมายาเบื้องหน้าดึงดูดใจจนลืมไม่ลง ที่ต่างไปก็คือ พวกเขาหลายคนเลือกไปจากตำหนักหลีเจ๋อ แอบไปใช้ชีวิตในสถานที่แห่งสีสัน มีความรักกับมนุษย์ธรรมดา มีลูก สร้างครอบครัว เขาเองก็ไม่อาจทนสิ่งล่อลวงใจนี้ได้ คำสอนอาจารย์ เขายังจำได้ โลกโลกียะดีอย่างไร ก็เป็นแค่กับดักหลอกล่อ เป็นมนุษย์นั้นไม่ง่าย เริ่มต้นหวานล้ำ สุดท้ายมีแต่ความขมขื่นตลอดกาล ทุกเรื่อง ดูแล้วดี แต่ต้องทำใจให้ได้เหมือนน้ำนิ่ง
“คืนนั้นเป็นคืนวันเทศกาลบัวลอย ตามตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยโคมไฟสีสันสวยงาม ในหมู่บ้านมีเทศกาลงานโคมไฟศาลเจ้า ข้ากับศิษย์พี่หลายคนก็ไปเที่ยวงานศาลเจ้า ในงานมีคนมากมาย เจ้าผลักข้า ข้าเบียดเจ้า ไม่นานข้าก็พลัดหลงกับพวกเขา ข้าจำทางกลับโรงเตี๊ยมไม่ได้ ได้แต่ค่อยๆ คลำไป ต่อมาได้เจอกับร้านข้างทางที่มีโคมไฟมากมายให้คนตอบปัญหา ตอบได้ก็จะได้ของรางวัลแต่ละอย่าง ข้าก็เข้าไปดู คว้าเอาโคมหนึ่งมา บนนั้นเขียนว่า ‘สตรีก็ม้าห้อเร็ว[1]’ ข้าทายอยู่หลายคำตอบก็ทายไม่ถูก แต่อย่างไรก็ไม่ยอมแพ้ เพราะนั่นเป็นการเล่นทายปัญหาโคมไฟครั้งแรกของข้า พลันด้านหลังมีคนทนรอไม่ไหว แย่งโคมไฟข้าไป ตอบคำถามนั้นออกมา ข้าหันกลับไปมอง เป็นแม่นางอายุสิบหกสิบเจ็ดสวมชุดขาว พกกระบี่ที่เอว นางเห็นข้ามองนางก็ถลึงตาใส่ข้า รับของรางวัลแล้วก็สะบัดหน้าไป นั่นก็คือท่านแม่เจ้า นี่คือการพบกันครั้งแรกของข้ากับนาง”
ยามนั้นท้องถนนเต็มไปด้วยโคมไฟสว่างไสว แม่นางชุดขาวหน้าตางดงามราวหยก เห็นเขามองจนตกตะลึง สีหน้านางพลันแดงก่ำไปหมด ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง เขากลับรู้สึกว่าดวงตานั้นงดงามมาก ให้ความรู้สึกสดใสมีชีวิตชีวาอย่างที่สุด
คำตอบของปัญหาโคมทายปัญหานั้นก็คือ ‘อักษรคู่’ ดังนั้นเขาจึงไล่ตามนางไป ยิ้มกล่าวว่า “แม่นางทำไมแย่งโคมทายปัญหาข้าไป ข้ายังไม่ได้ตอบเลย” แม่นางผู้นั้นราวกับไม่ได้รู้สึกดีกับชายหนุ่มสวมหน้ากากอัปลักษณ์เท่าไร เสียงแข็งดุดันกล่าวว่า “คนปกติทายสามทีไม่ถูกก็ต้องถอยให้คนอื่นแล้ว ทำไมเจ้าทายตั้งห้าหกที ในเมื่อไร้ความรู้ ไยต้องทำเสียหน้า!”
ในใจเขาโมโหอยู่บ้าง เกรงว่านางจะเสียมารยาทเกินไปแล้ว เห็นนางสะบัดหน้าจะจากไป เขาไม่รู้โมโหอะไรแบบเด็กน้อยขึ้นมา เอาแต่ตามหลังนางไป ตามไปจนถึงนอกหมู่บ้าน อยู่ๆ นางชักกระบี่ออกมา เขารีบตั้งรับ ผู้ใดจะรู้ว่านางเพียงแค่ชักท่าหลอก พริบตาก็เหินกระบี่ขึ้นกลางท้องฟ้า ก้มหน้าลงมายิ้มให้เขา พลางโยนของรางวัลให้เขากล่าวว่า “เอาละ ให้เจ้า! ไม่เคยเห็นชายใจแคบเช่นนี้มาก่อนเลย!”
ของรางวัลเป็นปิ่นปักผมประณีตงดงาม เห็นชัดว่าเป็นของสตรี เขาได้ไปก็ไร้ประโยชน์ ยามนั้นอดนึกเสียใจในความวู่วามของตนเองไม่ได้ เขาไล่ตามมาทำไม ไร้สาระจริง ดังนั้นเขาจึงโยนปิ่นปักผมคืนนาง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่ต้อง ข้าเพียงแต่…” เพียงแต่อะไร เขากลับพูดไม่ออก อัดอั้นในใจ สะบัดหน้าจากไปเสียอย่างนั้น
แม่นางนั่นหัวเราะแว่วมาด้านหลังกล่าวว่า “เอาไปให้นางในดวงใจเจ้าสิ เอาน่า เอาไปเหอะ! ชายชาตรีควรใจกว้างสักหน่อย!”
เขาหันกลับไป เห็นรอยยิ้มราวบุฝผาของนางสะท้อนแสงโคมไฟทั่วเมือง งดงามกระจ่างใส อดหลุดปากออกไปไม่ได้ว่า “สตรีก็ขี่ม้าเร็ว ทำไมเจ้าไม่ขี่ม้า มาบินอยู่กลางอากาศใช่ว่าแข็งกระด้างไร้ความอ่อนโยนหรือ”
ในยามนั้นนางโมโหแล้ว โยนปิ่นปักผมลงพื้น เหินออกไปอย่างรวดเร็วจนมองไม่เห็นแม้เงาอีก เขาจะไล่ตามไป หนึ่ง ฟ้ามืดแล้ว สอง ไม่มีเหตุผล ได้แต่เก็บปิ่นปักผมขึ้นมาห่ออย่างดี หาทางกลับโรงเตี๊ยม
ผ่านไปสองวัน อยู่ๆ อาจารย์ก็ปรากฏตัวขึ้น ด่าพวกเขายกใหญ่ว่าพวกเขาไม่ฝึกฝนตน เอาแต่หลงใหลในโลกมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาไม่กล้าเสียเวลาอีก ได้ยินว่าหุบเขาเตี่ยนจิงทางเหนือมีข่าวโซ่หมุดทะเล จึงได้เร่งเดินทางไป
ผู้ใดจะรู้ว่าจะได้พบกับแม่นางผู้นั้นที่เชิงเขาหลงโฮ่ว ไม่รู้นางกำลังสู้กับผู้ใด บาดเจ็บล้มอยู่บนถนน เขาช่วยนางไว้ ดูแลอาการบาดเจ็บนาง ปลอบใจนางอย่างอบอุ่นอ่อนโยน ต่อมานางจำเขาได้ว่าเป็นชายหนุ่มคืนนั้น ตอนนั้นกำลังทำแผลให้นาง นางเจ็บจนต้องกัดฟัน เขาบอกให้นางทนเจ็บ นางกลับล้อเล่น “มองหน้าเจ้า จากเจ็บก็ไม่เจ็บแล้ว ลืมตาเห็นเจ้า ข้ายังคิดตนเองตายไปแล้ว ได้พบกับยมทูตแดนปรภพ!”
ในช่วงเวลาที่เขาดูแลนางเช่นนี้ ทำให้ความเข้าใจผิดก่อนหน้าสลายสิ้นไป วันหนึ่งนางเห็นปิ่นที่เก็บซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเขา ก็ล้อเขาเล่นว่า “ยังไม่ได้มอบปิ่นให้นางในดวงใจเจ้าอีกหรือ”
เขาไม่ตอบ ได้แต่ปล่อยผมนางลง เกล้าผมให้ใหม่ บรรจงปักปิ่นนั้นให้นาง จากนั้นทั้งสองก็มองหน้ากันเงียบ นางหน้าแดงหัวเราะเบาๆ พลันยกมือไปดึงปิ่นลงมาวางไว้ในมือชื่นชมอย่างละเอียด แม้ว่าเป็นของรางวัลที่ได้จากการตอบปัญหาโคมไฟ แต่เป็นของที่ประณีตชิ้นหนึ่ง บนปลายปิ่นแกะสลักนกเฟิ่งหวงราวกับมีชีวิต สยายปีกกำลังจะโบยบิน
นางยิ้มกล่าวว่า “เฟิ่งหวงงดงามจริง”
เขาบรรจงเกล้าผมให้นางใหม่ ก่อนจะปักปิ่นลงไปอีกครั้ง กล่าวเบาๆ ว่า “นั่นไม่ใช่เฟิ่งหวง เป็นครุฑ”
ปลายนิ้วสัมผัสลำคอนาง รู้สึกเพียงแค่ร้อนผ่าว ลำคอเขาตีบตัน อดยกแขนขึ้นโอบกอดนางไม่ได้ ก้มหน้าลงคิดจุมพิตนาง แต่น่าแค้นใจ หน้ากากกางกั้น ขณะที่เขาลังเลอยู่นั้น นางกลับปลดหน้ากากเขาออก เกี่ยวคอเขาไว้ ส่งมอบริมฝีปากดุจดอกท้อให้กับเขาด้วยตัวนางเอง
ความรักทั้งหลายล้วนมีสาเหตุเริ่มต้น แม้ว่าเป็นเรื่องวีรบุรุษช่วยสาวงามแบบเดิมๆ ก็ผลิบานเป็นดอกไม้แห่งรักได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในที่สุดนางก็ถอดหน้ากากเขาออก วินาทีนั้นเขาไม่อาจหลบหนีได้อีก ตัดสินใจจะไปจากตำหนักหลีเจ๋อ ไปใช้ชีวิตร่วมกับนาง
นางชื่อเฮ่าเฟิ่ง คืนร่วมหอกับเขาที่เป็นปีศาจครุฑสิบสองก้านปีก บทงิ้วก็เรียกว่า เฟิ่งหวงบินทะยานเหล่าวิหคอิจฉา[2] หวังว่าพวกเขาจะรวมใจเป็นหนึ่งเดียว ชีวิตนี้ไม่แยกจากกัน
“เรื่องข้าอยู่ร่วมกับแม่เจ้านั้น ตอนแรกก็เป็นความลับดี ผู้ใดก็ไม่รู้ พวกเราอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในหมู่บ้านละแวกเขาหลงโฮ่ว นางไม่ชอบที่นี่นัก เพราะใกล้สำนักนางมากไป แต่ตอนนั้นนางตั้งครรภ์แล้ว ใกล้คลอดแล้ว ไม่อาจเดินทางไกลได้ ได้แต่อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ นั่นไปก่อนชั่วคราว ข้ากับแม่เจ้ามีช่วงชีวิตที่งดงามที่สุดร่วมกัน แต่ก่อนนางคลอดหนึ่งวัน ทุกอย่างก็สูญสิ้น น้องชายข้าบอกเรื่องของข้ากับอดีตเจ้าตำหนัก เขาโมโหหนักมาก เดินทางรอนแรมพันลี้พร้อมกับเหล่าอาวุโสมาหาถึงที่ น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าไม่อยู่บ้าน แม่เจ้ากำลังจะคลอดแต่คลอดไม่ออก ข้าออกไปหาหมอตำแยทำคลอด ตอนกลับมา ลูกก็คลอดแล้ว นั่นก็คือเจ้า อดีตเจ้าตำหนักเดิมคิดสังหารเจ้าในทันที แต่พอได้เห็นว่าบนหลังเจ้ามีสิบสองก้านปีก ก็เปลี่ยนใจทันที เขารับปากไว้ชีวิตเจ้ากับแม่เจ้า บีบให้ข้ากลับตำหนักหลีเจ๋อ บังคับข้าห้ามพบนางอีกตลอดชีวิต ข้าคุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะ หนาวเหน็บจนตัวแข็ง ขอร้องอย่างสุดชีวิต สุดท้ายแม้แต่พวกผู้อาวุโสก็เห็นใจ ไปขออดีตเจ้าตำหนักให้ข้า สุดท้ายเขาก็ฝืนใจรับปากให้ข้าอยู่ดูแลพวกเจ้าแม่ลูกอีกหลายปี”
พูดกันถึงตรงนี้ เจ้าตำหนักใหญ่พลันยิ้มออกมา อวี่ซือเฟิ่งยิ่งฟังก็กลับยิ่งตกใจ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ในเมื่อ…อดีตเจ้าตำหนักเห็นด้วย ทำไม…ทำไม…”
อย่าว่าแต่เขา แม้แต่หลิ่วอี้ฮวนก็ตกใจไม่น้อย ตอนเขาเกิดเรื่อง อดีตเจ้าตำหนักไม่ได้เมตตาขนาดนี้! ถึงกับยอมให้เขาอยู่ดูแลพวกเขาแม่ลูกต่อ!
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวเบาๆ ว่า “ใช่ ซือเฟิ่ง พวกเราในสายตาพวกสำนักบำเพ็ญเซียนก็คือมารปีศาจ พวกเขาดูแคลนพวกเรา คิดว่าพวกเราโหดเหี้ยมชอบฆ่าฟัน ไร้ใจ ไร้คุณธรรม แต่อดีตเจ้าตำหนักกลับยอมให้พวกเราได้อยู่ด้วยกัน เจ้าว่าโหดเหี้ยมชอบฆ่าฟันหรือ ข้ากับแม่เจ้าผูกพันกันลึกซึ้ง จะไร้ใจ ไร้คุณธรรมได้อย่างไร จริงๆ แล้วคนที่ไร้ใจโหดเหี้ยมล้วนเป็นพวกผู้บำเพ็ญเซียนนั่น วางตนเองไว้สูงส่ง ตัดสินใจความผิดคนอื่นง่ายดาย ตัดสินใจความเป็นความตายคนอื่นง่ายดาย พอพวกอดีตเจ้าตำหนักจากไป แม่เจ้าก็รู้สถานะจริงของข้า แต่นางไม่ได้ตำหนิข้าแม้แต่น้อย พวกเราหารือกันถึงชีวิตวันหน้า เต็มไปด้วยความหวัง แต่วันรุ่งขึ้นคนสำนักบำเพ็ญเซียนก็มา ที่แท้ในคืนที่แม่เจ้าคลอดเจ้าคืนนั้น คลอดเอาทารกน้อยมีปีกออกมา เรื่องนี้หมอตำแยทำคลอดเป็นคนแพร่งพรายออกไป คืนนั้นก็แพร่ไปทั่ว คิดว่านางคือปีศาจ หุบเขาเตี่ยนจิงใกล้เพียงนั้น พวกเขารีบตามคนมากำจัดปีศาจ ที่ว่าปีศาจก็คือแม่เจ้า ยังเห็นเจ้าที่เป็นทารกแบเบาะ พวกเขาบีบให้นางบอกว่าใครคือพ่อของเด็ก เพื่อปกป้องเจ้ากับข้า แม่เจ้าถูกอาจารย์นางแทงตาย”
“ข้าไม่มีวันลืมวันนั้นที่กลับถึงบ้าน พื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือด หุบเขาเตี่ยนจิง สำนักเส้าหยาง เกาะฝูอวี้…หลายคนรออยู่ในห้อง หลายคนกำลังรอสิ่งที่เรียกว่าปีศาจ จะได้สังหารตัดรากถอนโคน ข้าตาแดงก่ำ รีบบุกเข้าไปสังหารพวกเขาทุกคนทันที แต่สังหารหมดก็ไร้ประโยชน์ แม่เจ้าก็ตายไปแล้ว กระบี่ทะลุหัวใจ ก่อนตายยังกอดเจ้าไว้แน่น ปกป้องเจ้า ไม่ให้โดนคนชั่วพวกนั้นทำร้าย ลูกเอ๋ย เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม พวกที่เรียกตนว่าสำนักบำเพ็ญเซียน จริงๆ แล้วล้วนเป็นพวกหลงตัวเองว่ายิ่งใหญ่ แท้จริงแล้วสุนัขสุกรก็ไม่ปาน ข้าสังหารพวกเขา ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรแม้แต่น้อย ตอนนี้เจ้าเข้าใจพ่อแล้วใช่ไหม เจ้าว่าพวกเขาควรตายไหม”
อวี่ซือเฟิ่งตัวสั่นเทา ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ กล่าวไม่ออกสักคำ
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “เจ้าพูด! พวกเขาควรตายไหม!”
ทันทีที่กล่าวจบ ก็มีเสียงหัวเราะชั่วร้ายดังแว่วมาจากทางประตูตำหนัก กล่าวว่า “ไม่ควร!” ทั้งสามต่างตกใจ หันกลับไปพร้อมกัน เห็นประตูตำหนักค่อยๆ เปิดออก รองเจ้าตำหนักก้าวออกมาจากทางนั้น สองมือซุกในแขนเสื้อ เดินส่ายอาดๆ มาทางเจ้าตำหนักใหญ่หัวเราะเยาะขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “พี่ใหญ่ หลายปีผ่านไป พี่ยังคงฝันหวานอยู่เหมือนเดิม ความจริงเป็นเช่นไร ท่านไม่กล้าจะยอมรับ”
เจ้าตำหนักใหญ่ถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้าย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “ข้าหมายความว่าท่านกับศิษย์หญิงอวี๋เฮ่าเฟิ่งนั่น ไม่ได้เป็นดังที่ท่านเล่ามาเลย ท่านควรเลิกหลอกตัวเองได้แล้ว”
[1] การละเล่นทายปัญหาโคมไฟมักเล่นอักษรคู่ ในประโยคว่า สตรีก็ม้าห้อเร็ว นี้จะมีอักษรที่แยกออกมาเป็นอักษรผู้หญิงสองอักษร อักษรม้าสองอักษร และอักษรลูกสองอักษร รวมเป็นสามคู่อักษร ดังนั้นคำตอบก็คืออักษรคู่
[2] หมายถึงคู่รักครองคู่สมหวัง