เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “วาจาพกลมปลิ้นปล้อน! เรื่องข้า เจ้ารู้ความจริงอะไรอีก!”
รองเจ้าตำหนักท่าทางสบายๆ กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่ อย่าเพิ่งรีบด่าข้า หลายปีมานี้ท่านควรด่าข้าพอแล้ว เพื่อดูแลท่าน ข้ายอมฟังคำสั่งอดีตเจ้าตำหนัก เป็นดังพวกถูกใส่ความมาหลายปี แบกรับชื่อเสียที่ทรยศพี่ชายอย่างไม่ได้ทำอะไร จริงๆ แล้วเรื่องเรื่องนี้ง่ายมาก เจ้าเห็นซือเฟิ่งก็เข้าใจได้ หน้ากากเขาถูกคนปลด เหตุใดเขาจึงต้องคำสาปคู่รัก เจ้าไม่เป็น? คำสาปคู่รักนี่ แต่ไรมาก็ไม่เคยละเว้นผู้ใด”
เจ้าตำหนักใหญ่ยิ้มเยียบเย็น ไม่พอใจวาจาเขายิ่งนัก หลิ่วอี้ฮวนกลับกล่าวว่า “ในเมื่อเขารักกับแม่ซือเฟิ่ง จะต้องคำสาปคู่รักจากไหน! วาจาเจ้าโง่เง่าจริง!”
รองเจ้าตำหนักไม่โมโห กลับโบกมือยิ้มกล่าวว่า “ไม่เลว! สองใจรักกัน! เพียงแต่สองใจรักกัน ไม่แยกจากกัน คำสาปคู่รักจึงถอนได้ พี่ใหญ่ คำสาปคู่รักท่านถอนได้จริงหรือ”
คำถามเขายิ่งโง่ไปอีก แม้แต่หลิ่วอี้ฮวนยังหัวเราะเยียบเย็น ขี้เกียจจะสนใจเขา แต่อวี่ซือเฟิ่งกลับเหมือนฟังอะไรออก กล่าวเบาๆ ว่า “รองเจ้าตำหนัก ความหมายท่าน หรือว่าคำสาปคู่รัก…ไม่ได้ถอน?”
รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “อย่างไรเจ้าก็ฉลาดนี่นะ พี่ใหญ่ข้าแค่ดูเหมือนฉลาด คิดไม่ถึงลูกเขากลับเป็นคนฉลาดแท้จริง! ไม่เลว จริงๆ แล้วคำสาปคู่รักยังไม่ได้ถอน เพียงแต่เขาคิดว่าถอนแล้ว ไม่เช่นนั้นลองให้ข้าเล่าเรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อนแท้จริงให้ฟังแล้วกัน”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ดี! ข้าก็อยากจะฟังปากสุนัขเจ้าจะคายงาช้างอะไรออกมา! เจ้าว่ามา!”
รองเจ้าตำหนักกล่าวว่า “พี่ใหญ่ อย่าเพิ่งโมโห ตอนนั้นทุกอย่างล้วนเป็นคำสั่งอดีตเจ้าตำหนัก ข้าก็แค่ทำตาม ทุกอย่างล้วนเพื่อตำหนักหลีเจ๋อ ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะยอมให้ท่านเอาแต่ใจได้ เรื่องที่ท่านเล่ามาเมื่อครู่ล้วนเป็นเรื่องชายเก่งกล้าหญิงงดงาม วีรบุรุษช่วยสาวงามตามบทละครบ้านๆ ความจริงท่านไม่ใช่ชายเก่งกล้า อวี๋เฮ่าเฟิ่งนั่นก็ไม่ใช่สาวงาม เจ้าออกจากตำหนักไปฝึกฝนตน ไปพบอวี๋เฮ่าเฟิ่งนั่นจริง เรื่องปิ่นนั่นก็เป็นเรื่องจริง แต่ที่ข้ารู้ละเอียดมาเหมือนจะคนละเรื่อง”
“จริงๆ แล้วก่อนท่านออกจากตำหนักไป อดีตเจ้าตำหนักก็สั่งการให้ข้าสะกดรอยท่าน เขาประเมินว่าท่านฉลาดหลงตัวเอง ใจร้อนวู่วาม ปกติท่านไม่เคยเห็นผู้ใดในสายตา อาศัยที่มีสิบสองก้านปีก คนในตำหนักก็เอาแต่ยอมให้ท่าน คนเช่นท่านนี้เคยต้องตาผู้ใดเข้าย่อมเป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง ไม่ได้มาก็ย่อมไม่ยอมแพ้ อวี๋เฮ่าเฟิ่งน่าสงสารนั้นเป็นแม่นางใสบริสุทธิ์ ถูกตาต้องใจท่าน วันๆ ท่านคอยตามแต่นาง คนเขาเหินกระบี่ เจ้าก็เหินกระบี่ คนเขากินข้าว เจ้าก็กินข้าว คนเขานอน เจ้าก็เฝ้าหน้าประตู ทำเอานางตกกลัวจนใจล้มป่วย”
เขายังกล่าวไม่จบ เจ้าตำหนักใหญ่ก็น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เหลวไหล! ข้าเตือนเจ้านะ อย่าพูดจาเหลวไหล!”
รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “ข้าเหลวไหลหรือ ก็ถือว่าข้าเหลวไหลแล้วกัน เจ้าฟังข้าให้จบ อวี๋เฮ่าเฟิ่งก็ออกมาฝึกฝนตน โชคไม่ดีพลัดหลงกับศิษย์ร่วมสำนัก เดินเตร็ดเตร่รอศิษย์พี่ศิษย์น้องนางอยู่แถวนั้นคนเดียว ปรากฏเจ้าเอาแต่หยอกนางไม่เลิก นางตกใจหนีไปทั่ว จากเก๋อเอ่อร์มู่ไปจนถึงเชาหลงโหว อย่างไรก็สลัดเจ้าไม่พ้น คนเขาสู้เจ้าไม่ได้ ด่าเจ้า เจ้าก็กลับมีความสุข เห็นชัดๆ ว่าดังโจรราคะ สุดท้ายนางโมโห สู้ตายกับเจ้า น่าจะด่าได้ยากรับฟัง เจ้าจึงไม่มีมารยาทต่อนางอีก ลงมือรุนแรงทำนางบาดเจ็บจนขยับไม่ได้ อาศัยอ้างว่าดูแลนางที่บาดเจ็บ กักขังนางไว้ที่หมู่บ้านเล็กๆ ในแถบเขาหลงโฮ่ว”
“อวี๋เฮ่าเฟิ่งเป็นสตรีใจเด็ดเดี่ยว พอฟื้นขึ้นมาเจอท่านก็คิดฆ่าตัวตาย ปรากฏทำไม่สำเร็จ กลับถูกท่านย่ำยี พี่ใหญ่ ข้ารู้ท่านรักแม่นางนั่นมาก ไม่ว่าเป็นอย่างไรก็จะรัก นางหลบท่าน ด่าท่าน ท่านก็จะเสียใจมาก แต่ท่านไม่รู้จักยอมถอย กลับยิ่งทรมานนาง เช่นนี้ได้แต่ทำให้นางยิ่งเกลียดท่าน ในช่วงเวลาที่นางถูกท่านย่ำยี อยากจะตายก็ตายไม่ได้ นางเป็นเพียงเด็กหญิงอายุสิบหก ถูกท่านบีบให้ยิ้มก็ต้องยิ้ม นางได้แต่หาโอกาสหนี ผู้ใดจะรู้ว่าท่านเฝ้านางไม่วางตา แม้แต่อาบน้ำก็ไม่อนุญาตให้นางอยู่คนเดียว พี่ใหญ่ ต่อนางแล้ว ท่านเหมือนคนบ้าจริงๆ ท่านว่านางจะรักคนบ้าเช่นท่านหรือ คนที่ไม่รู้ว่าจะรักคนอื่นอย่างไร ปิ่นนั่นก็ไม่ใช่ของแทนรักอะไร แม้ว่าท่านมอบให้นาง สุดท้ายก่อนตายนางก็ยังดึงมาคืนท่าน เหอะๆ พี่ใหญ่ แต่ไรมานางไม่เคยรักท่าน ท่านกลับปักใจกับนาง ยังให้นางปลดหน้ากากท่าน คำสาปคู่รักนั่นจะไม่ส่งผลได้อย่างไร”
“วันนั้นคำสาปคู่รักท่านกำเริบจนขยับไม่ได้ นางจึงฉวยโอกาสหนี ท่านลืมแล้วหรือ วันนั้นข้ากับอดีตเจ้าตำหนักไปหาท่านที่หมู่บ้าน ท่านร้องไห้เสียใจอย่างที่สุด ราวกับคนบ้าคลั่งในรัก อดีตเจ้าตำหนักกลัวท่านเกิดเหตุ จึงสั่งให้ข้าเฝ้าท่านไว้ ส่วนตัวเขาไปไล่ตามนาง หวังว่านางจะร่ำลากับท่านให้เรียบร้อยก่อนไป เพราะที่ท่านบอกพวกเราก็คือเรื่องที่ท่านปรุงแต่งขึ้นมาเอง อดีตเจ้าตำหนักรักเอ็นดูตามใจท่าน ไม่อาจทนดูท่านเสียใจ พอไล่ตามนางไปพานางกลับมา นางร้องไห้ขอร้องอดีตเจ้าตำหนักให้ปล่อยนางไป เล่าเรื่องที่เจ้าได้พบกับนางให้ท่านฟัง ท่านลองนึกภาพว่าตอนนั้นอดีตเจ้าตำหนักโมโหเพียงใด! แต่เขายังพาอวี๋เฮ่าเฟิ่งกลับมาให้คุยกับท่านต่อหน้า ข้าเห็นด้วยตา พี่ใหญ่! อวี๋เฮ่าเฟิ่งพอเห็นท่านก็ตกใจจนตัวสั่น เอาแต่หลบมุมห้อง ไม่กล้าขยับ ท่าทางท่านราวกับจะสังหารนาง ปรากฏนางตกใจจนเป็นลม ข้ากับอดีตเจ้าตำหนักจึงได้เข้าใจความจริงทั้งหมด หารือพาท่านกลับตำหนักหลีเจ๋อ ผู้ใดจะรู้ว่าอวี๋เฮ่าเฟิ่งถูกท่านทำตกใจจนตกเลือด พวกเราจึงได้รู้ว่านางตั้งครรภ์ รีบตามหมอตำแยมาดูนาง ดูแลอยู่พักหนึ่ง”
“อารมณ์อดีตเจ้าตำหนักท่านก็รู้ เขาไม่อาจอนุญาตให้เด็กนั่นเกิดมา แต่ตอนนั้นท่านราวกับคนเสียสติ หากจะคิดเห็นขัดแย้งอาจทำให้ท่านยิ่งเสียสติวู่วาม อดีตเจ้าตำหนักมีงานค้าง ไม่อาจอยู่ต่อนาน จึงให้ข้าอยู่ดูแลพวกท่าน ส่วนตัวท่านเองก็กลับตำหนักหลีเจ๋อไปก่อน ข้าดูแลพวกท่านได้ราวครึ่งปีกว่าได้ อวี๋เฮ่าเฟิ่งก็คลอดซือเฟิ่ง วันนั้นอดีตเจ้าตำหนักนำคนมา เห็นซือเฟิ่งมีเลือดแท้สิบสองก้านปีกก็คิดเปลี่ยนใจ ตัดใจสังหารเขาไม่ลง แต่เขาไม่อาจไม่สังหารอวี๋เฮ่าเฟิ่ง นางไม่เลี้ยงซือเฟิ่ง เด็กนี่คลอดออกมาก็หิวจนเอาแต่ร้องไม่หยุด อดีตเจ้าตำหนักได้แต่นำตัวซือเฟิ่งไปนอกเขตทะเล มอบซือเฟิ่งให้คู่สามีภรรยาครุฑดูแลชั่วคราว ข้าเดาว่าอดีตเจ้าตำหนักกลับมาครั้งนี้ต้องตัดสินใจสังหารอวี๋เฮ่าเฟิ่งแน่ นางร้องไห้ทั้งวัน ไม่ก็นั่งเหม่อ ข้าเห็นแล้วก็ทนไม่ได้ ดังนั้นจึงฉวยโอกาสที่พี่ใหญ่หลับ แอบปล่อยนางหนี เรื่องต่อมาข้าก็คิดไม่ถึง นางกลับถึงสำนักตนเอง ก็น่าจะเจอกับเสียงว่าร้ายนินทา สุดท้ายทนความกดดันไม่ไหวปลิดชีพตนเอง ท่านได้ข่าวแล้วก็เร่งเดินทางไปหุบเขาเตี่ยนจิงในคืนนั้น สังหารพวกเขาไปหลายร้อย ชิงศพอวี๋เฮ่าเฟิ่งกลับมาฝังที่เชิงเขาหลงโฮ่ว อดีตเจ้าตำหนักเร่งรุดมาถึง คำสาปคู่รักท่านก็กำเริบแล้ว ลมหายใจรวยรินแล้ว”
“เรื่องต่อมา ก็เหมือนที่ท่านว่า หากยังปล่อยท่านที่ยังไม่อาจรับความจริงตอนนั้นไว้ ท่านคงต้องตายด้วยคำสาปคู่รัก ท่านมีสถานะสิบสองก้านปีก เป็นเจ้าตำหนักหลีเจ๋อคนต่อไป เอาแต่ใจตนเองเช่นนี้ อดีตเจ้าตำหนักผิดหวังในตัวท่านอย่างมาก เขาจึงได้ลงคาถาท่าน ทำให้ท่านคิดว่าที่ตนเองคิดนั้นเป็นเรื่องจริง เช่นนี้คำสาปคู่รักจึงไม่ได้กำเริบอีก ชีวิตของท่านจึงต่อมาได้ เหอะๆ ท่านเอาแต่คิดว่าอดีตเจ้าตำหนักโกรธแค้นที่ท่านละเมิดกฎ จึงได้แยกอำนาจเจ้าตำหนักออกเป็นสอง จริงๆ แล้วเป็นท่านเองที่ทำให้ท่านผิดหวัง เป็นถึงเจ้าตำหนัก เอาแต่ใจเช่นนี้ เขาจะวางใจยกตำหนักหลีเจ๋อใส่มือเจ้าได้อย่างไร ความลับนี้เก็บอยู่ในใจข้ามาสิบกว่าปี ตอนนี้ซือเฟิ่งก็โตแล้ว ถึงเวลาบอกความจริงเขาแล้ว ท่านอย่าได้หลอกตัวเองอีกต่อไปเลย นิสัยท่านเองเป็นอย่างไร ท่านย่อมรู้ดีที่สุด คิดให้ดีๆ แท้จริงผู้ใดพูดความจริง”
วาจายืดยาวกล่าวจบ หาดทรายพลันเงียบกริบ ไม่มีเสียงผู้ใด มีแต่เสียงคลื่นพัดขึ้นหาดทราย ฝนพรำค่อยๆ ตกหนัก เสียงดังเปาะแปะลงพื้น ทำเอาทรายลึกเป็นรูหลายรู อวี่ซือเฟิ่งเปียกไปทั้งตัว ผมยาวแนบใบหน้า สีหน้าเขาซีดขาวราวคนตาย อยู่ๆ สองตาก็ส่องประกายวาว ท่าทางน่าประหลาด เขาขยับริมฝีปากราวกับจะพูด สุดท้ายก็ไม่พูดออกมา ได้แต่หัวเราะเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง เสียงหัวเราะขมขื่นยิ่ง
เจ้าตำหนักใหญ่ถึงกับหัวเราะดังลั่น หัวเราะจนแทบหายใจไม่ทัน ชี้หน้ารองเจ้าตำหนัก มือสั่นเทา
“โกหก! เจ้าคนชั่วมากเล่ห์! ข้ารู้แผนการร้ายนี้ของเจ้านานแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีวาจาเหลวไหลเช่นนี้! เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ ข้าเชื่อเจ้า ไม่สู้เชื่อตัวข้าเอง?”
เขาหอบหายใจแรง สองตาแดงก่ำ หน้าตาบิดเบี้ยว
รองเจ้าตำหนักกล่าวอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่ก็คิดเสียว่าข้าหลอกท่านก็แล้วกัน ท่านอย่าโมโหจนทำร้ายสุขภาพตัวเอง เรื่องใหญ่ยังไม่สำเร็จ”
เจ้าตำหนักใหญ่จ้องมองเขาเขม็ง พึมพำกล่าวว่า “ใช่ เจ้าหลอกข้า เจ้ากำลังหลอกข้า…ล้วนโกหก…” สีหน้าเขาบัดเดี๋ยวขาวบัดเดี๋ยวเขียว เห็นชัดว่าอารมณ์เริ่มผิดปกติอย่างที่สุด ในใจหลิ่วอี้ฮวนตกใจมา ตะโกนดังว่า “นี่! นี่! ตั้งสติหน่อย! คนเช่นเขากล่าววาจาเหลวไหลเจ้าเชื่อได้อย่างไร! เขาจงใจทำให้เจ้าโมโห! ข้าอยู่ตำหนักหลีเจ๋อมาตั้งนาน แต่ไรมาไม่เคยได้ยินว่ามีคาถาเปลี่ยนความทรงจำได้!”
รองเจ้าตำหนักหัวเราะเบาๆ กล่าวอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่ ข้าหลอกท่านเล่น ท่านว่ามาถูกหมด เฟิ่งหวงบินทะยาน เหล่าวิหคอิจฉา ท่านกับอวี๋เฮ่าเฟิ่งรักกันจริงใจ เห็นพวกท่านแล้วก็น่าอิจฉา จริงๆ แล้วนางยังไม่ตาย ท่านหันไปมองสิ นางยืนอยู่หลังท่าน กำลังยิ้มให้ท่าน…” วาจาเขาอ่อนโยนละมุน แต่กลับฟังดูน่าขนลุก หลิ่วอี้ฮวนกล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “เจ้าพูดพอหรือยัง?! หุบปาก!”
เจ้าตำหนักใหญ่ราวกับไม่ได้ยิน เอาแต่ยืนอึ้งกับที่ เป็นนานก่อนจะเรียกเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง “เฮ่าเฟิ่ง!” เลือดค่อยๆ ไหลเป็นทางออกจากมุมปากซีดเซียวของเขา สองแขนเขาทิ้งตัว เฟิ่งหวงบินทะยาน เหล่าวิหคอิจฉา…จริงๆ แล้วเขาคิดไปเองหรือ เป็นเช่นนี้จริงหรือ เบื้องหน้าราวกับมีภาพดรุณีน้อยงดงามลอยวนเวียนกำลังส่งยิ้มบางให้เขา รอยยิ้มนั่นพลันกลายเป็นแค้นฝังลึก ถลึงตาดุร้ายใส่เขา เลือดไหลจากเหนือศีรษะนางรดสองแก้มขาวราวหยกขาว นางกัดฟันกล่าวว่า “ข้ายอมตายก็ไม่อยู่กับเจ้า!”
ในใจเขาพลันปวดปลาบ พลันกระอักเลือดออกมา ร่างกายโงนเงน ล้มฟาดลงกับพื้นอย่างแรง อวี่ซือเฟิ่งรีบเข้าไปประคองเขา ร้อนใจกล่าวว่า “ท่านพ่อ!” เขาลืมตา มองอวี่ซือเฟิ่งเลื่อนลอย ยกมือลูบใบหน้าเขาเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่ง เจ้ารีบไปเร็ว ไปให้ไกลเท่าไรยิ่งดี อย่าอยู่ต่อ พ่อไม่อาจปกป้องเจ้าแล้ว”
อวี่ซือเฟิ่งรีบจับชีพจรเขาดู ในใจพลันตกใจ ชีพจรเขาเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า เดี๋ยวราวกลองรัว เดี๋ยวราวเส้นไหมเด้งไปมา เห็นชัดว่าเป็นสัญญาณอันตรายยิ่ง เขารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจอย่างมาก เห็นชัดว่าคำสาปคู่รักกำเริบ! ในใจเขาเศร้ามาก น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ท่านพ่อ! ท่าน ท่านจริงหรือ…”
เจ้าตำหนักใหญ่สูดลมหายใจลึก นิ้วมือพลันใช้แรงกำข้อมือเขาไว้แน่น อวี่ซือเฟิ่งเจ็บแต่ไม่กล้าสะบัดทิ้ง ได้แต่ฟังเขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เฮ่าเฟิ่ง! เฮ่าเฟิ่ง! เจ้าจะไปไหน” อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกเพียงแค่ในลำคอขื่นขม คิดเอ่ยปลอบโยน แต่พูดไม่ออกสักคำ
ชาติกำเนิดเขาที่แท้เป็นเช่นนี้ ท่านแม่เขา ท่านพ่อเขา ที่แท้เป็นเช่นนี้ ถึงกับเป็นเช่นนี้
ด้านหลังอยู่ๆ มีเสียงฝีเท้าถี่ อวี่ซือเฟิ่งพลันลุกขึ้น หันกลับไปมองเย็นเยียบ เห็นรองเจ้าตำหนักอยู่ข้างกาย สายตาคมปลาบทะลุหน้ากากบาดจ้องหน้าเขา เป็นนาน เขาจึงได้กล่าวว่า “ยังไม่รีบประคองท่านพ่อเจ้าขึ้นมา เข้าไปรักษาในตำหนัก ยังจะให้เขาไปแดนปรภพเอาห่วงฟ้าเทียนจวินอีกหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าจงใจกล่าววาจาเช่นนี้ ยามนี้มาทำเป็นคนดี ต้องการอะไร อย่าบอกคิดว่าข้าไม่รู้ เจ้าจงใจทำให้ท่านพ่อข้าวุ่นวายใจ คำสาปคู่รักกำเริบ เช่นนี้จะได้รับมือข้าได้”
รองเจ้าตำหนักอย่างตกใจยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่ พูดเหลวไหลอะไร!”
อวี่ซือเฟิ่งไม่สนเขา หันไปกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้ใจไป อย่าคิดว่าตำหนักหลีเจ๋อนอกจากท่านพ่อข้า ก็จะเป็นโลกของเจ้าคนเดียว พวกอาวุโสยังอยู่ดูหลังประตูอยู่ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะช่วยข้า หรือช่วยเจ้าที่เป็นครุฑหกปีกธรรมดา?”
รองเจ้าตำหนักไม่พูดอันใดอีก บางทีเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าจะแข็งกร้าวยากรับมือเช่นนี้ ไม่อาจรอให้เขาเติบโตแล้ว หากโตอีก ก็ยิ่งร้ายกาจยิ่งกว่าพ่อเขา หากเป็นไปได้ ก็คิดจะกำจัดเขาเสียแต่ตอนนี้ เขากำลังคิดลงมือ ก็ได้ยินอวี่ซือเฟิ่งน้ำเสียงเย็นเยียบกล่าวว่า “เจ้าคิดสังหารข้าตอนนี้อย่างนั้นสิ ข้าจะได้ไม่เป็นปรปักษ์กับเจ้าในวันหน้า ใช่ไหม”
ความในใจเขาถูกเปิดโปง ได้แต่หัวเราะชั่วร้าย ไม่อาจลงมือได้ อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าเป็นคนฉลาด ควรรู้ว่าสังหารข้าตอนนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่สู้เอาอย่างนี้ พวกเราแลกเปลี่ยนกัน เจ้ารับปากดูแลท่านพ่อข้าให้ดี ทุกอย่างตำหนักหลีเจ๋อก็คงสภาพเดิม เจ้าก็เป็นรองเจ้าตำหนักเจ้าไป ท่านพ่อข้าก็เป็นเจ้าตำหนักใหญ่ไป แล้วข้าจะไปแดนปรภพนำห่วงฟ้าเทียนจวินกลับมาเอง อีกเรื่องที่ข้าจะรับปาก จะไม่กลับตำหนักหลีเจ๋ออีกตลอดไป เจ้าว่าอย่างไร”