รองเจ้าตำหนักนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หลิ่วอี้ฮวนร้อนใจ กระโดดร้องดังขึ้นว่า “ไม่ได้! ข้าไม่เห็นด้วย! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ซือเฟิ่ง! เจ้าอย่าโง่! แดนปรภพใช่ที่ที่จะบุกเข้าไปเล่นๆ ได้หรือ?!”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า น้ำเสียงนิ่งเรียบกล่าวว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว พี่ใหญ่”
“ซือเฟิ่ง! อวี่ซือเฟิ่ง!” หลิ่วอี้ฮวนโมโหจนทำเอากระบี่ศิลาแผดคำรามตาม “เจ้ามีสติหน่อย! เจ้าเหมือนกับข้า ไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย! เจ้าอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องบ้าบอวุ่นวายพวกนี้ของตำหนักหลีเจ๋อ!”
อวี่ซือเฟิ่งไม่พูดกับเขาอีก หันกลับไปเอาแต่จ้องมองรองเจ้าตำหนัก รอคำตอบเขา เป็นนานกว่ารองเจ้าตำหนักจะหัวเราะกล่าวเบาๆ ว่า “ความกล้าหาญของซือเฟิ่งทำให้ข้าเลื่อมใสมาก แต่เจ้าอายุยังน้อย เรื่องห่วงฟ้าเทียนจวินมอบให้เจ้า ข้าจะวางใจได้อย่างไร เกิดเจ้าทำไม่สำเร็จ จะทำเช่นไร”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ในเมื่อข้ารับปากแล้ว นอกจากข้าตาย ไม่เช่นนั้นต้องนำห่วงฟ้าเทียนจวินกลับมาแน่!”
รองเจ้าตำหนักท่าทางราวซาบซึ้งกินใจ กล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าเด็กนี่…อย่าเอาแต่พูดว่าตาย เจ้าก็โตแล้ว เรื่องงานในตำหนักหลีเจ๋อก็ควรให้เจ้ารับผิดชอบ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นเรื่องห่วงฟ้าเทียนจวินมอบให้เจ้าไปจัดการก็ดี ข้ากับท่านพ่อเจ้าอยู่ตำหนักหลีเจ๋อรอเจ้ากลับมา”
กล่าวจบ เขาก็ก้มลงคิดประคองเจ้าตำหนักใหญ่ ผู้ใดจะรู้ว่าอวี่ซือเฟิ่งยกมือกั้นไว้ เขามองอย่างสงสัย อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด เอาแต่จ้องมองดวงตาเขา รองเจ้าตำหนักนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “ตกลง ข้ารับปากเจ้า นอกจากข้าตาย ไม่เช่นนั้นผู้ใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพตอนนี้ของตำหนักหลีเจ๋อ ท่านพ่อเจ้ายังคงเป็นเจ้าตำหนักใหญ่ ข้าจะไม่แตะต้องเขาแม้แต่เส้นผม รอเจ้ากลับมา”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “สาบานสิ” กล่าวจบ เขาพลันทำท่าทางประหลาด มือหนึ่งวางบนหน้าผาก อีกมือวางบนหน้าอกก่อนจะหลับตาลง ท่าทางนี้ทำเอารองเจ้าตำหนักสั่นเทาไปทั้งตัว นี่คือวิธีกล่าวคำสาบานเฉพาะของตำหนักหลีเจ๋อ สาบานต่อสวรรค์ว่าจะไม่ผิดต่อคำสาบานตนเอง ไม่เช่นนั้นก็จะเลือดไหลออกจากร่างจนเหือดแห้งตาย พิธีสาบานโบราณนี้น่ากลัวมาก เพราะพิธีนี้เหมือนมีพลังลึกลับบางอย่างที่ไม่อาจรู้ได้ เหมือนพลังแห่งศรัทธา ผู้ใดก็ไม่กล้าละเมิด อวี่ซือเฟิ่งใช้วิธีนี้ เห็นชัดว่าไม่เชื่อใจเขา
รองเจ้าตำหนักมองเขาเป็นนานก่อนจะยกมือทำท่าตาม กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ฟ้าเบื้องบน ดินเบื้องล่าง หากผิดคำสาบานวันนี้ ขอให้ข้าเลือดออกจนเหือดแห้งตาย!”
เขาปล่อยมือลง ยิ้มกล่าวว่า “อย่างไร วางใจแล้วใช่ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งไม่ตอบ เพียงยื่นมือมาทางเขา “เอาลูกกุญแจกับแหวนห่วงเหล็กให้ข้า”
รองเจ้าตำหนักมอบทั้งสองอย่างใส่มือเขา ก่อนจะก้มลงประคองเอวเจ้าตำหนักใหญ่ขึ้นมา เจ้าตำหนักใหญ่โงนเงนไปมาราวกับกำลังจะได้สติ ส่งเสียงเรียกเบาๆ ขึ้นว่า “ซือเฟิ่ง…เจ้าไปเถอะ” รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “พี่ใหญ่วางใจได้ เขาจะรีบไปในตอนนี้เลย” เจ้าตำหนักใหญ่โมโหตวาดขึ้น “เจ้า…เจ้าปล่อยมือ! จะทำอะไรเขา?!” รองเจ้าตำหนักกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่ ท่านต้องคำสาปคู่รักอยู่ อย่าใจร้อน กลับไปพักก่อน”
เจ้าตำหนักใหญ่ทั้งร้อนใจทั้งโมโหจนแทบจะหมดสติไปอีกรอบ พลันมีมือหนึ่งเอื้อมมาคล้องใต้วงแขนเขาไว้ พอหันไปมอง เห็นเป็นอวี่ซือเฟิ่ง สีหน้าเขาซีดขาว หากบนใบหน้ามีรอยยิ้ม กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพ่อ ข้าพาท่านกลับไป”
เขาพาเจ้าตำหนักใหญ่กลับตำหนักจินกุ้ยกงทันที รองเจ้าตำหนักตามมาจนถึงหอตันหยา จึงได้กล่าวว่า “ซือเฟิ่ง ข้าเป็นท่านอาที่ใช้ไม่ได้เลย ในเมื่อแต่ไรมาไม่เคยทำหน้าที่ แต่ไม่อาจขาดเรื่องสุดท้ายนี้ ข้าหวังว่า ไม่ว่าเจ้าจะได้ห่วงฟ้าเทียนจวินมาหรือไม่ ก็อย่าได้กลับมาตำหนักหลีเจ๋ออีก ไม่ใช่ว่ามีแม่นางกำลังรอเจ้าอยู่หรือ เหอะๆ เป็นคนใช่ว่าอิสระเสรีกว่าปีศาจหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งไป ไม่กล่าวอันใด ประคองเจ้าตำหนักใหญ่เดินออกไปไกล พอกลับถึงห้องนอน อวี่ซือเฟิ่งประคองเจ้าตำหนักใหญ่ลงบนเตียง ก้มลงกล่าวเบาๆ ว่า “ท่านพ่อ ยาถอนคำสาปคู่รัก ท่านยังมีไหม” เจ้าตำหนักใหญ่ไม่กล่าวอันใด บางทีเขาอาจเปล่งเสียงพูดไม่ออก เขาได้แต่น้ำตาคลอเบ้าคว้ามืออวี่ซือเฟิ่งไว้แน่น
อวี่ซือเฟิ่งแกะนิ้วมือเขาออก หันไปค้นรอบห้อง ในเมื่อตอนเช้าเขาเตรียมยาถอนคำสาปคู่รักมา เช่นนั้นตำรับกับตัวยาก็ควรจะยังเหลืออยู่ ห้องเจ้าตำหนักใหญ่มีของมากอยู่สักหน่อย ของมากมายกองกันอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เขาหาอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็หาเศษกระดาษเก่าๆ ใบหนึ่งเจอ บนกระดาษเขียนชัดเจนว่ายาถอนคำสาปคู่รัก
ด้านหลังห้องนอนมีอีกห้องอยู่ด้านใน ในนั้นมียาล้ำค่าหลากชนิด ตัวยาที่เขียนไว้ในตำรับยาล้วนไม่ใช่สมุนไพรธรรมดา อย่างเช่น เขากิเลน หนวดหทัยมังกร ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ แต่ดีที่เจ้าตำหนักใหญ่ได้ปรุงให้เขาไว้ก่อนแล้ว สมุนไพรจึงมีเตรียมไว้ครบและยังเหลืออยู่
เขาติดเตาในห้อง ปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา ต้มยาอย่างตั้งใจ ไม่นานกลิ่นยาหอมหวานเข้มข้นก็เริ่มตลบอบอวล เป็นกลิ่นยาเมื่อเช้าชามนั้น ยามนี้อวี่ซือเฟิ่งจึงได้โล่งใจ หันกลับไปมองเจ้าตำหนักใหญ่ ไม่รู้ว่าเขาลุกขึ้นนั่งตอนไหน สองตาส่องประกายจ้องมองเขาไม่กะพริบ
อวี่ซือเฟิ่งไม่รู้ควรกล่าวอันใด สบตากับเขาแล้วก็รู้สึกเพียงแค่คำว่า ท่านพ่อ คำนี้เหมือนจะเรียกไม่ออก
เป็นนาน เจ้าตำหนักใหญ่จึงได้ถอนหายใจยาว กล่าวเบาๆ ว่า “เพราะความรักเพียงครั้งเดียว ทำลายชีวิตข้าไปครึ่งชีวิต ซือเฟิ่ง เรื่องความรักเป็นเรื่องไม่จำเป็นสำหรับพวกเรา ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่แตะต้องเป็นดี พอแตะต้องเข้าก็ย่อมต้องแหลกสลาย”
ริมฝีปากอวี่ซือเฟิ่งขยับเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คนที่มารแทรกคือท่าน”
บิดามักกล่าวว่าเขามารแทรก ตลอดชีวิตจะพินาศด้วยมือเสวียนจี ตอนนี้นึกถึงขึ้นมาทีไร เขาถึงกับได้แต่ตำหนิตนเอง เจ้าตำหนักใหญ่เงียบไป สุดท้ายยิ้มขมขื่น ล้มตัวลงนอนพลางกล่าวเบาๆ ว่า “เฟิ่งหวงบินทะยาน…เฮ่าเฟิ่ง เฮ่าเฟิ่ง …”
ในที่สุดยาถอนคำสาปก็ต้มเสร็จ อวี่ซือเฟิ่งยกไปให้เจ้าตำหนักใหญ่ กล่าวว่า “ท่านพ่อ ดื่มยานี่ลงไป ข้าเอาแต่ใจตนเองมาจนถึงตอนนี้ ท่านก็ปล่อยให้ข้าได้เอาแต่ใจครั้งสุดท้าย ให้ข้าได้ทำอะไรบ้าง”
เจ้าตำหนักใหญ่หลุบตาลง ขนตากระเพื่อมไหว น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ดื่มลงไป…อะไรก็ลืมหมดสิ้น แม้แต่เจ้าก็จำไม่ได้…”
ริมฝีปากอวี่ซือเฟิ่งขยับเล็กน้อย กล่าวเบาๆ ว่า “จำไม่ได้ก็จำไม่ได้ อาจารย์”
ไม่ว่าความทรงจำงดงามที่หลอกตนเองหรือความโหดร้ายทารุณแห่งความเป็นจริง ลืมไปได้เป็นดี เริ่มจากศูนย์ เขากับนางแต่ไรมาก็มิได้เคยเริ่มต้น แท้จริงนางเคยรักเขาบ้างไหม เกลียดชังเขาเท่าไร คำถามรกสมองพวกนี้ล้วนมลายหายไปสิ้น
ใช่ ความรักเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับพวกเขา หวานล้ำก็ไม่อาจได้มา ทุกข์ทนก็ทนรับไม่ไหว เช่นนั้นก็ลืมเสียเถอะ เป็นมนุษย์เดิมก็ลำบากมากแล้ว ต้องผนึกปีก ต้องยืดกายตรง พูดจาเหมือนใช่ แต่จริงๆ นั้นไม่ใช่ หน้ากากเปลี่ยนอันแล้วอันเล่า อย่างไรก็ลืมเสียเถอะ
ลืมให้หมดสิ้น ท่านพ่อที่เพิ่งได้รับรู้ ความปรารถนาเต็มเปี่ยมยังไม่ทันได้อบอุ่นใจก็กลายเป็นน้ำแข็งเย็นเยียบ ถือเสียว่าเขาไม่เคยมีบิดามารดา ไม่เคยคิดถึง
หลิ่วอี้ฮวนรออยู่ที่หาดทรายเป็นนาน ในที่สุดก็เห็นร่างในชุดครามสูงสง่าเดินออกมาจากประตูตำหนัก ค่อยๆ เดินมาทางด้านหน้าเขา
“เอาละ พี่ใหญ่เป็นเพื่อนเจ้าไปแดนปรภพ” เขากล่าวน้ำเสียงนิ่ง “พี่ใหญ่ไม่อาจทิ้งเจ้าไว้คนเดียวโดยไม่สนใจได้!”
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้าเงียบๆ
หลิ่วอี้ฮวนขยี้ศีรษะเขาเต็มแรง กล่าวอ่อนโยนว่า “ขึ้นมา เด็กโง่ อย่าร้องไห้!”
น้ำตาหลายหยดร่วงรดใบหน้าอวี่ซือเฟิ่ง บางทีอาจเป็นน้ำฝน สุดท้ายก็เหมือนหยดลงทะเลทรายหายไปไร้สำเนียง เขากระโดดขึ้นกระบี่ศิลา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไปกันเถอะ พี่ใหญ่”
******
เสวียนจีพามกรค่อยๆ เดินทางมาถึงตำหนักหลีเจ๋ออย่างสบายใจ อวี่ซือเฟิ่งจากไปได้ครึ่งเดือนแล้ว แต่นางไม่รู้ ยังจมจ่อมอยู่กับภาพจินตนาการที่ว่าเมื่อเจอเขาจะพูดอะไร ตั้งแต่แยกจากเขามา จริงๆ แล้วก็ไม่ได้นาน แต่ในใจเสวียนจี เหมือนแยกจากกันมาช่วงชีวิตหนึ่ง
เขาจะเปลี่ยนไปไหม ผอมไหม สูงไหม จะยอมพบนางไหม พบนางแล้วจะเย็นชาไม่สนใจนางไหม เสวียนจีคิดจนหัวพองโต สุดท้ายตัดสินใจได้ว่า ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนไปเช่นไร อย่างไรสิ่งแรกที่นางจะทำตอนได้พบเขาก็คือกอดเขาไว้ให้แน่น ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ
มกรเห็นสีหน้านางดูจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม อดรู้สึกจักจี้ในใจไม่ได้ กล่าวน้ำเสียงตะบึงตะบอนว่า “ถึงแล้ว! ยังมัวเหม่อคิดอะไรอีก! จะหน้าบานราวฤดูใบไม้ผลิก็ควรรอให้พบเขาก่อนค่อยออกอาการได้ไหม”
เสวียนจีอารมณ์ดี ขี้เกียจพูดกับเขามาก ลดตัวลงจากเมฆลงตรงหาดทรายหน้าตำหนักหลีเจ๋อ เหนือคาด ตอนนางมาครั้งก่อนมีศิษย์อายุน้อยมากมายเล่นน้ำกันอยู่ที่นี่
เสวียนจีมองไปรอบทิศอย่างงงงวย ไม่มีคนสักคน ประตูตำหนักปิดแน่น อากาศอึมครึม ฝนตกปรอยๆ กระทบโดนตัวจนรู้สึกเย็นชื้น นางได้แต่ไปเคาะห่วงทองแดงหน้าประตูบานใหญ่ยักษ์ของตำหนัก เคาะไปสิบกว่าที ประตูจึงได้แง้มออก ศิษย์อายุน้อยผู้หนึ่งยื่นหน้าออกมา พอเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าคือเสวียนจี เขายังจำได้ว่าครั้งก่อนนางมาก่อเรื่องที่ตำหนักหลีเจ๋อ ตกใจจนหัวหด ยกมือปิดจะประตูใส่
เสวียนจีใช้กระบี่เปิงอวี้เสียบคาไว้ ร้องดังขึ้นว่า “อย่าหนี! ข้าไม่ได้มาหาเรื่องทะเลาะต่อยตี!”
ศิษย์ผู้นั้นคว้าประตูไว้แน่น กล่าวติดๆ กันว่า “แม่นาง หากแม่นางมาหาอวี่ซือเฟิ่ง…เขา เขาไม่อยู่ตำหนักนานแล้ว! เชิญกลับไปเถอะ!”
เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เขาไปไหน…เจ้าหลอกข้า!”
คนผู้นั้นตกใจหน้าซีด ร้อนใจกล่าวว่า “เปล่า ไม่ได้หลอกเจ้า! เขาไม่ได้อยู่ในตำหนักจริงๆ!”
“ข้าเข้าไปดูเอง!” นางผลักประตูเต็มแรง คนผู้นั้นทานไม่อยู่ ล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ตะกายขึ้นมาได้ก็หันหลังวิ่งหนีทันที พลางตะโกนร้องดังลั่นว่า “มีคนบุกรุก! คนนอกบุกรุกเข้ามาแล้ว!”
เสวียนจีเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว เห็นเพียงรอบๆ พริบตาก็มีศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อมากมายกรูกันออกมา แต่ละคนถือกระบี่ขวางนางไว้เงียบๆ ครั้งนี้เสวียนจีตั้งใจแล้วว่าจะไม่ลงมือ จึงเก็บกระบี่เปิงอวี้ กล่าวเสียงดังกังวานว่า “ข้าเพียงแค่มาหาอวี่ซือเฟิ่ง! เชิญเขาออกมาพูดกับข้าหน่อย!”
ทุกคนเงียบงัน เป็นนานก่อนจะมีคนกล่าวว่า “เมื่อครึ่งเดือนก่อน อวี่ซือเฟิ่งไปจากตำหนักหลีเจ๋อแล้ว สองเจ้าตำหนักยังมีคำสั่ง จากนี้เขาไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อ เชิญแม่นางไปหาที่อื่น”
เสวียนจีตกใจยิ่ง ร้อนใจกล่าวว่า “เขาจากไปแล้วจริงหรือ! แต่เขายังไม่ได้ถอนคำสาปคู่รัก!…ไม่ได้ ข้าจะเข้าไปหาเอง!”
นางเพิ่งกล่าวจบก็โมโหฮึดฮัด ทุกคนชี้คมกระบี่ใส่นาง ท่าทางเหมือนจะสู้ตายกับนาง เสวียนจีร้อนใจกระทืบเท้า “ข้าไม่ได้มาหาเรื่องต่อยตี!”
ด้านหลังฝูงคนพลันมีเสียงหัวเราะอ่อนโยนดังแว่วมา ตามมาเสียงคนผู้นั้นกล่าวว่า “เสวียนจีน้อย เจ้าถึงกับมาจริงด้วย”
เสวียนจีจ้องเขม็ง ด้านหลังกลุ่มคนมีชายชุดครามยืนถือพัดขนนกในมือ โบกพัดท่าทางสบายอารมณ์ เป็นรองเจ้าตำหนักท่าทางชั่วร้ายผู้นั้น นางรู้สึกรังเกียจคนผู้นี้ยิ่ง จึงขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้าจะพบอวี่ซือเฟิ่ง! ไม่คิดมีเรื่อง พวกเจ้าอย่าบีบให้ข้าต้องลงมือ!”
รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “แม้เจ้าเสียสติสังหารคนตำหนักหลีเจ๋อหมดก็หาเขาไม่เจอ เขาไปแล้วจริงๆ ไปได้ครึ่งเดือนแล้ว”
เสวียนจียังเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง รองเจ้าตำหนักโบกพัดขนนก ทุกคนแหวกทางเดินให้นาง เขายิ้มกล่าวว่า “ไม่เชื่อ เจ้าเข้าไปหาเอง หากหาเจอ ตำหนักหลีเจ๋อยกให้เจ้า หากหาไม่เจอ ขอโทษ เรื่องนี้ข้าต้องไปเรียกร้องความยุติธรรมกับเจ้าสำนักเส้าหยาง”
เสวียนจีได้ยินเขาเอ่ยถึงท่านพ่อนาง ความโมโหในใจพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ใช่แล้ว นางออกมาก่อเรื่อง คนอื่นทำอะไรนางไม่ได้ คนโชคร้ายก็มีแต่สำนักเส้าหยาง นางเป็นบุตรสาวเจ้าสำนัก ไม่อาจออกมาก่อเรื่องทำลายชื่อเสียงสำนัก
นางพึมพำกล่าวว่า “เขาไปได้อย่างไร เขาไปไหน ถอนคำสาปคู่รักแล้วหรือยัง”
รองเจ้าตำหนักกล่าวอ่อนโยนว่า “คนเขาโตแล้วก็ต้องไป เขาได้เกณฑ์อายุจากไปแล้ว วันหน้าเรื่องของเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับตำหนักหลีเจ๋อ ขอเจ้าไปหาเขาที่อื่น สำหรับคำสาปคู่รัก เจ้าควรไปถอนให้เขาเอง เอาแต่ใช้กำลังย่อมไม่ใช่หนทาง”
เสวียนจีเงียบงันเป็นนาน ค่อยๆ ประสานมือคำนับ “ขออภัย รบกวนความสงบพวกท่านแล้ว…ขอรองเจ้าตำหนักชี้แนะ อวี่ซือเฟิ่งไปที่ใดกันแน่”
รองเจ้าตำหนักเห็นชัดว่าพอใจท่าทีมีมารยาทของนางตอนนี้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เรื่องนี้อย่าได้เก็บมาใส่ใจ ซือเฟิ่งแท้จริงไปที่ใด ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่วันนั้นเขาจากไปพร้อมกับหลิ่วอี้ฮวน เจ้าไม่สู้ลองหาหลิ่วอี้ฮวนมาถามให้กระจ่าง”
เสวียนจีอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ หันหลังจากไป มกรมองนางอย่างสงสัย ถามไม่หยุดว่า “เอ๋? ไม่สู้แล้วหรือ ไม่สู้จริงสิ” นางส่ายหน้า “ไม่…ข้าไปหาซือเฟิ่ง ข้าต้องหาเขาให้พบ!”
แต่เขาอยู่ที่ใด ในวินาทีนั้นเสวียนจีเพิ่งจะรู้สึกว่าโลกนี้กว้างใหญ่ยิ่งนัก ยามวาสนาสองคนพันผูก ไม่รู้สึกสักนิด พอแยกจากกัน หนทางข้างหน้าเลือนราง นางถึงกับหาร่องรอยเขาไม่พบ
เหตุใดตอนนั้นไม่รู้จักทะนุถนอมไว้
นางถามตนเองซ้ำไปซ้ำมา แต่แม้รู้คำตอบแล้วอย่างไร หลายครั้งที่เสียไปแล้วจึงได้รู้ค่าของสิ่งที่เสียไป คนโชคดีหันกลับไปยังหาเจอ คนโชคร้ายก็ได้แต่ทอดถอนใจไปชั่วชีวิต
นางพามกรออกจากตำหนักหลีเจ๋อ เที่ยวตามหาไปทั่วทุกหนแห่ง
การตามหาครั้งนี้ ทีเดียวก็ปีกว่า