ฤดูหนาวจากไป ฤดูใบไม้ผลิก็มา ยามนี้เป็นเดือนห้า ช่วงขีดสุดของฤดูใบไม้ผลิ สองข้างทางมีป่าต้นเฟิ่งหวง[1] ดอกสีแดงสดราวเปลวเพลิงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ราวกับบานไปจรดขอบฟ้า แม้แค่เดือนห้า แต่ปีนี้เหมือนร้อนเร็วขึ้น แสงแดดร้อนแรงเหนือศีรษะ แผดเผาจนเหมือนว่าถึงหน้าร้อนที่ร้อนที่สุดแล้ว พ่อค้าและคนเดินทางไปมาบนเส้นทางล้วนเหงื่อออกท่วมตัวราวกับสายฝน แทบอยากจะมีปีกงอกใต้วงแขน จะได้บินไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่ไกลออกไป
สองข้างทางมีแค่คนสองคนที่สบายอารมณ์ คนหนึ่งขี่ลาไปข้างหน้าอย่างช้าๆ กลางแสงแดดเจิดจ้าไม่รีบไม่ร้อน ทั้งสองสวมหมวกสานบนศีรษะ มองไม่เห็นใบหน้าชัด คนหนึ่งเอวบางร่างน้อย พกกระบี่สองเล่มติดตัว นิ้วมือทั้งสิบที่กำบังเหียนเรียวยาวขาวผ่องราวหยก เป็นดรุณีน้อย
นี่ก็คือเสวียนจีกับมกร ปีกว่ามานี้ ทั้งสองแทบจะขึ้นเหนือล่องใต้ผ่านเมืองเล็กเมืองใหญ่มากมาย แค่เมืองชิ่งหยางก็ไปไม่ต่ำกว่าสิบรอบ แต่อวี่ซือเฟิ่งกับหลิ่วอี้ฮวนทั้งสองคนเหมือนระเหิดหายไปจากโลกมนุษย์ ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย
เส้นทางยาวนานเช่นนี้ลำบากมากจริงๆ แต่ดีที่ทั้งสองล้วนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา หน้าหนาวไม่กลัวหนาว หน้าร้อนไม่กลัวร้อน ดังนั้นจึงเดินทางไปได้ทุกที่ อาหารแต่ละพื้นที่สำหรับมกรแล้วก็ล้วนเป็นสิ่งล่อลวงใจอย่างที่สุด ผ่านไปปีกว่าเขาก็ไม่บ่นสักคำ ขึ้นเหนือล่องใต้ไปกับนางทุกหนแห่ง มีความสุขยิ่ง
เนื่องจากในภาคกลางหาอวี่ซือเฟิ่งไม่เจอ เสวียนจีจึงเดาว่าเขาจะออกไปโพ้นทะเลแล้วหรือไม่ มักได้ยินคนกล่าวถึงมารปีศาจอาละวาดโพ้นทะเล ที่นั่นมีวัฒนธรรมประหลาด ประเพณี คน และสภาพพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน แม้นางต้องการหาอวี่ซือเฟิ่งเป็นหลัก แต่ปีกว่ามานี้เดินทางคนเดียวขึ้นเขาลงห้วย ทำให้ความคิดมุมมองไม่เหมือนเมื่อก่อน รู้สึกสนใจใคร่รู้เรื่องลึกลับโพ้นทะเลมาก อดอยากไปทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งไม่ได้
ดังนั้นทั้งสองคนจึงมาถึงยังหมู่บ้านในเมืองซีกู่เขตชายแดน ได้ยินว่าที่นี่มีท่าเรือออกสู่มหาสมุทรได้ ไปยังพื้นที่โพ้นทะเล สองฝั่งทะเลมีการค้าไปมา ล้วนเริ่มจากตรงนี้ ตลอดทางมาแม้ว่าไม่เห็นคนแปลกโพ้นทะเลอะไร แต่ตลอดทางก็มีพ่อค้าหาบเร่ขายของที่เสวียนจีไม่เคยเห็นมาก่อน ว่ากันว่าเป็นของที่นำเข้ามาจากโพ้นทะเล
เสวียนจีฟังบรรดาพ่อค้าเร่ขี้โม้คุยเรื่องประเพณีวัฒนธรรมโพ้นทะเลไปก็เร่งลาให้เดินไปข้างหน้า ไม่นานก็มาถึงโรงเตี๊ยมเขตชายแดน โรงเตี๊ยมย่อมซอมซ่อมาก เป็นแค่อาคารสองชั้นเล็กๆ เท่านั้น ห้องด้านในน่าจะใช้สิบนิ้วมือนับก็พอ ปีกว่ามานี้ไปมาหลายแห่ง เสวียนจีรู้ว่าโรงเตี๊ยมยิ่งเก่าซอมซ่อก็ยิ่งราคาสูง สูงจนไร้เหตุผล คนส่วนใหญ่อยู่ไม่ไหว อย่างไรพื้นที่แถบนี้ก็มีแค่โรงเตี๊ยมที่คนอยู่ได้เพียงแค่ที่นี่แห่งเดียว มีแค่ไม่กี่ห้อง เจ้าอยากอยู่หรือไม่ก็แล้วแต่ มีคนมากมายยอมทนนอนตากลมก็ไม่ยอมจ่ายเงินหน้าโง่เข้าพักโรงเตี๊ยมแบบนี้
เสวียนจีโดดขึ้นหลังลา ลูบห่อเงินที่เอวดังกรุ๋งกริ๋ง เกรงว่าน่าจะเหลือไม่กี่ตำลึงแล้ว ดูท่านางคงต้องหางานปราบปีศาจขจัดภูตผีมาเลี้ยงชีพแล้ว ไม่เช่นนั้นเงินแค่นี้ไม่พอให้มกรกินสามวันแน่
พอมกรพอลงสู่พื้นก็เอาแต่ร้องว่าหิว เดินบุกไปถึงหน้าโรงเตี๊ยม ผู้ใดจะรู้ว่าด้านนอกโรงเตี๊ยมมีคนมากมายยืนชี้มือชี้ไม้อะไรกันสักอย่าง ประตูโรงเตี๊ยมปิดแน่น เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไร ได้แต่ใช้แรงดันเบียดตัวเข้าไปด้านใน แหวกทางผลักคนสองข้างจนเซไปหมด
พอเบียดตัวมาถึงหน้าประตู ก็เห็นด้านบนมีประกาศสีแดงสดแผ่นใหญ่เขียนว่า ‘ร้านเราระยะนี้มีผีอาละวาด จำต้องปิดกิจการ ขอเรียนเชิญท่านผู้สามารถมาปราบผี’ เขาอ่านจบก็ร้องดังขึ้นทันทีว่า “เสวียนจี! เจ้ามาดูนี่! มีการค้ามาถึงที่แล้ว! เสวียนจี! รีบมาเร็ว!”
หนึ่ง ทุกคนเห็นเขาแรงเยอะ สอง เห็นผมสีเงินของเขาแลบออกมานอกหมวกสานก็แปลกใจ พากันหลีกทางให้ ไม่กล้าเข้าใกล้เขา ขณะกำลังโหวกเหวกนั่นเอง ก็พลันได้ยินเสียงอ่อนหวานด้านหลังถามว่า “การค้าอะไร เจ้าชอบเอาแต่โหวกเหวกโวยวายนะ” กล่าวจบเห็นเพียงร่างอรชรอ้อนแอ้นเดินเข้ามาด้านหน้า ยกหมวกสานขึ้น ทำเอาทุกคนสองตาส่องประกาย ที่แท้เป็นดรุณีน้อยงดงาม สวมชุดเขียวมรกต ผิวขาวราวกับโปร่งแสง คิ้วและตาดำขลับ อวัยวะบนใบหน้าทั้งห้ามีพลังงามประหลาดบอกไม่ถูก บวกกับรอยยิ้มนั่น ทำเอาทุกคนราวกับรู้สึกสดชื่นดุจดั่งอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ
พอนางเดินเข้าไปใกล้ ฝูงชนก็พากันฮือแหวกทางให้ เว้นทางให้นางเดิน เสวียนจียิ้มขอโทษทุกคน ท่าทางไม่ได้เขินอายแม้แต่น้อย หากเดินเข้าไปอ่านประกาศอย่างมั่นใจ พออ่านคำว่า ‘ปราบผี’ สองคำนี้ ดวงตานางในยามนั้นพลันส่องประกายวาบ ยกมือฉีกประกาศ ดีใจกล่าวว่า “เงินมาแล้ว!”
ทุกคนเห็นนางฉีกประกาศไปก็พากันส่งเสียงฮือฮา มีคนมีน้ำใจกล่าวว่า “แม่นางอย่าดูถูกเรื่องนี้ โรงเตี๊ยมนี่มีผีอาละวาดมาห้าหกวันแล้ว ขอให้ผู้มีความสามารถมาจัดการมากมาย แต่ก็ได้แต่เข้าไปไม่กลับมา เจ้าอายุยังน้อย ร่างกายก็ดูบอบบางไม่อาจต้านลม จะมีความสามารถปราบผีได้หรือ”
เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร มอบให้ข้าจัดการก็พอ” นางโบกมือพลางหันไปเคาะประตูโรงเตี๊ยม คนรอบๆ ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าไปมาทุกที่ และยังมีชาวบ้านทำนา คนขายแผงลอยอย่างชาแก้ร้อนในหรือพวกเสื้อผ้า เห็นนางเป็นดรุณีน้อยอ้อนแอ้นถึงกับจะปราบผี ก็อดหยุดรอชมไม่ได้ ยังมีคนวิ่งไปตามคนรู้จักมามุงดูด้วยกัน ฉับพลันหน้าโรงเตี๊ยมก็ออแน่นไปด้วยผู้คน แต่ละคนชะเง้อดูไม่หยุด
ไม่นาน ประตูโรงเตี๊ยมก็แง้มออก มีศีรษะหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมา เปียยาวทิ้งตัว เป็นดรุณีน้อย น่าจะอายุราวสิบหกสิบเจ็ด หน้าตาสะอาดหมดจด แต่อารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าเหมือนรำคาญมาก มองสำรวจเสวียนจีอย่างไม่เกรงใจ กล่าวกระแทกตรงๆ ว่า “ไม่เห็นประกาศด้านนอกหรือ ปิดกิจการแล้ว!”
เสวียนจีไม่โมโห ยิ้มแจ้งความประสงค์ว่า “ข้ารู้ ดังนั้นข้าจึงมาปราบผี”
ดรุณีน้อยนั่นแทบไม่อยากจะเชื่อ ส่ายหน้ากล่าวว่า “อย่าล้อเล่น เจ้าคิดว่าปราบผีเป็นเรื่องล้อเล่น? รีบไปเร็ว รีบไปเร็ว!” กล่าวจบก็จะปิดประตู เสวียนจีดันประตูไว้เบาๆ ดรุณีน้อยนั่นผลักอย่างไรก็ปิดไม่ได้ อดเงยหน้าจ้องมองนางอย่างแปลกใจไม่ได้ เสวียนจีกล่าวอ่อนโยนว่า “ข้ามาปราบผีจริงๆ ให้ข้าเข้าไปดูหน่อย”
ดรุณีน้อยลังเลครู่หนึ่ง พลันได้ยินด้านในมีคนตะโกนดังขึ้นว่า “หลันหลัน! เจ้าทำอะไร บอกให้เจ้าอย่าเปิดประตูไม่ใช่หรือ”
หลันหลันกำลังจะตอบ เสวียนจีพลันตะโกนดังไปด้านในว่า “สวัสดี! ข้าเห็นประกาศแล้ว มาปราบผี! ให้ข้าเข้าไปได้ไหม”
ในโรงเตี๊ยมมีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา ตามมาด้วยสตรีวัยกลางคนเดินเข้ามา ส่งสายตาสงสัยมองสำรวจเสวียนจีเช่นกัน แต่นางยังพยักหน้าสุภาพว่า “คือว่า…หากแม่นางปราบผีได้ พวกเราจะซาบซึ้งใจอย่างที่สุด”
ดรุณีน้อยที่ชื่อหลันหลันไม่คิดอยากปล่อยให้เสวียนจีเข้ามา ปิดประตูดังปังเต็มแรง
นางตั้งใจปิดใส่นางหรือ เสวียนจีไม่เข้าใจจึงหันไปมองนาง หรือว่าตนเองทำอะไรให้นางไม่พอใจ หลันหลันหันไปทางสตรีวัยกลางคนบ่นกล่าวว่า “ท่านแม่! ไม่ได้ตกลงกันดิบดีแล้วหรือว่ารอคุณชายอี้มาปราบผี ทำไมทนไม่ไหวเช่นนี้ล่ะ! ทำเขาโมโหขึ้นมาจะทำอย่างไร”
คุณชายอี้[2]? เสวียนจียิ่งงงเข้าไปอีก ได้ยินเสียงสตรีวัยกลางคนถอนใจกล่าวว่า “คุณชายอี้ไปมาไร้ร่องรอย ผู้ใดจะรู้ว่าวันนี้เขาจะมาไหม อย่างไรพวกเราก็ไม่อาจปิดประตูไม่ทำการค้ารอเขามา! กี่วันแล้วที่ไม่ได้ทำการค้า จากนี้ไปจะคงได้กินลมแทนข้าว”
หลันหลันยู่ปากกล่าวว่า “เมื่อวานเห็นๆ ว่าเขาได้รับจดหมายพวกเราแล้ว บอกว่าบ่ายวันนี้จะมาอย่างไร!”
“โอย บรรพชนข้า! ตอนนี้ใกล้ยามเซินแล้วนะ! แม่รู้เจ้าหวังอยากให้เขามา แต่คนเช่นเขา ท่าทางลึกลับ ไม่เคยยิ้มแย้มกับผู้ใด พวกเราไม่อาจวาดหวังฝ่ายเดียวโดยไม่สนใจว่าเขาจะยินยอมหรือไม่!”
พูดจนหลันหลันกระทืบเท้าโมโห วิ่งออกไปด้านหลัง สตรีวัยกลางคนผู้นั้นถอนหายใจหลายที ก่อนจะเห็นเสวียนจีอึ้งมองตนเองอยู่ อดยิ้มเก้อเขินไม่ได้ กล่าวว่า “ลูกสาวข้าถูกตามใจจนเสียคน เอาแต่ใจมาก แม่นางอย่าเก็บมาใส่ใจ”
เสวียนจีส่ายหน้า มองไปรอบๆ โรงเตี๊ยม ดังคาด เก่าเหมือนที่นางนึกภาพ แต่ยังนับว่าสะอาดสะอ้าน ทั้งหมดสองชั้น ชั้นล่างเป็นโถง วางโต๊ะเก้าอี้หลายตัว ด้านบนเป็นห้องพัก ที่น่าแปลกก็คือ ห้องพักทั้งหมดนี้เงียบกริบ มีเพียงห้องเดียวที่มีแสงเทียนส่องสว่าง
นางถามว่า “ทำไม ผีอาละวาดยังมีคนอยู่หรือ”
สตรีวัยกลางคนสีหน้าแปรเปลี่ยน กระชากแขนเสื้อนาง กระซิบว่า “เบาหน่อย! ห้องนั้นนั่นแหละ! ปกติจุดเทียนสว่าง พอคนเข้าไปใกล้ก็มีเสียงผีร้องไห้ ตกกลางคืนก็ราวกับมีคนขว้างปาสิ่งของดังปึงปัง เมื่อก่อนไม่รู้ ยังให้แขกเข้าพักห้องนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าแขกที่พักห้องนั้นหายตัวไปไร้ร่องรอย ต่อมาค่อยๆ ลามขยายวงกว้าง แขกที่มาพักห้องอื่นๆ ก็หายตัวไปเช่นกัน ข้าจึงได้รู้ว่าไม่อาจมีเรื่องกับของสกปรกนั่น หลายวันนี้เชิญนักพรตมีฝีมือมาปราบหลายครั้ง ล้วนมีแต่ไปไม่มีกลับ แม่นางเจ้าอายุยังน้อย ข้าเตือนเจ้าสักคำ อย่าเสี่ยงดีกว่า!”
เสวียนจีพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ มีกลิ่นอายปีศาจดังคาด กลิ่นยังแรงมาก ดูท่าน่าจะบำเพ็ญเพียรมา นางมองมกรแวบหนึ่ง เขาหาวอย่างเบื่อหน่าย เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ เสวียนจีถามว่า “โรงเตี๊ยมมีแต่พวกท่านแม่ลูก? เหตุใดพวกท่านอยู่ได้ไม่เป็นไร”
หญิงเถ้าแก่ร้านถอนใจกล่าวว่า “สามีข้าป่วยตายไปนานหลายปีแล้ว ทิ้งพวกเราหญิงหม้ายเด็กกำพร้าไว้ แม้มีผี พวกเราจะไปไหนได้ ที่นี่คือบ้านพวกเรา ดีที่ขอเพียงไม่เข้าใกล้ห้องนั้นก็ไม่เป็นไร พวกเราพักอยู่พื้นที่เรือนด้านหลังนั่น”
เสวียนจีมองตามไป เห็นหลันหลันพิงตัวแนบกับประตูด้านหลังจ้องมองนาง สายตานั้นเห็นชัดว่าอยากให้นางรีบไปเสีย อย่าอยู่ขัดขวางที่นี่ นางได้แต่นึกขำในใจ หลุดถามว่า “ขอถามหน่อยว่าคุณชายอี้คือใคร”
พอเอ่ยถึงชื่อนี้ แววตาทั้งแม่และลูกก็สว่างวาบ หญิงเถ้าแก่ร้านเล่าอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “พูดแล้วก็ยาว! คุณชายอี้ท่านนั้นมาที่นี่ได้ปีกว่าแล้ว อายุยังน้อย หน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ที่เก่งกาจที่สุดก็คือวิชามนตร์คาถาของเขา ปราบผีขจัดมารร้ายอะไรพวกนั้น พริบตาเดียว แค่ยกมือก็เรียบร้อย! ปกติเขายังช่วยรักษาโรคให้คนอื่นด้วย มีความสามารถทำให้คนตายฟื้นได้จริงๆ! ล้วนว่าเขาคือเทพเซียน พวกเราที่นี่บ้านไหนมีบุตรสาว ผู้ใดจะไม่คิดแต่งให้เขา แต่แม้คนผู้นี้จะร้ายกาจ หากอารมณ์แสนประหลาด แต่ไรมาไม่เข้าใกล้ใคร เย็นชายิ่งนัก ยังมักจะออกไปข้างนอก ไปทีก็สองสามวัน หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้พวกเรามีเรื่องผีอาละวาดตอนคุณชายอี้ไม่อยู่บ้านพอดี ตอนนี้คงจัดการปราบเรียบร้อยไปแล้ว! เมื่อวานหลันหลันลองไปหาเขา ผู้ใดจะคิด เขากลับมาแล้ว และรับปากว่าจะมาบ่ายวันนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่มา ในเมื่อแม่นางมีวิชา รบกวนแม่นางก็เหมือนกัน เพียงแต่ต้องระวัง ผีนั่นกินคน!”
หลันหลันได้ยินเช่นนี้ ก็ส่งเสียงร้อนใจขึ้นด้านหลังว่า “ท่านแม่! เขาบอกว่าจะมาก็ต้องมา! รอไปก็พอ ไยต้องให้แม่นางนี่ไปตายด้วย!”
เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “วางใจ ข้าจะรีบจัดการ” นางชักกระบี่เปิงอวี้ ก้าวพรวดๆ ขึ้นชั้นบน ผลักประตูห้องที่มีแสงเทียนสว่างออก ได้ยินเสียงร้องไห้ประหลาดดังมาจากด้านใน น่ากลัวจนขนลุก เสวียนจีปิดประตูลง เสียงร้องไห้อยู่ๆ พลันหยุดไป
สองแม่ลูกด้านล่างรอกันอย่างอกสั่นขวัญแขวน หวังว่าจะมีเสียงต่อสู้ดังมา จะได้รู้ว่าเสวียนจีไม่เป็นไร แต่ในห้องกลับไม่มีเสียงอะไรเลย มีแต่เสียงเป่าเทียนดับ ด้านในมืดเงียบกริบไปหมด หญิงเถ้าแก่ร้านรอจนใจเริ่มร้อนดังไฟเผา หันกลับไปเห็นมกรนั่งหาวอยู่บนเก้าอี้ อดยิ้มไม่ได้กล่าวว่า “นายท่านท่านนี้ แม่นางนั่น…ไปนานแล้ว คงไม่ได้ถูกกินไปแล้ว?”
มกรร้องเชอะขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวอารมณ์ไม่ดีนักว่า “รอดูไปเหอะ! ผู้ใดกินผู้ใดยังไม่แน่!”
ทันทีที่กล่าวจบ ประตูห้องก็เปิดออก สองแม่ลูกตกใจหันไปมอง เห็นเสวียนจีเดินออกมาสีหน้าสบายใจ ในมือยังมีสัตว์มีขนตัวหนึ่ง ถูกนางแกว่งไปมาราวกับกระดิ่งลม
“แม่นาง…” หญิงเถ้าแก่ร้านรีบเข้าไปรับนาง เห็นนางส่งของในมือให้ ยิ้มกล่าวว่า “เป็นเจ้านี่เอง ไม่ใช่ผี เป็นเพียงพอนที่ใกล้กลายเป็นปีศาจ” หญิงเถ้าแก่ร้านเห็นเพียงพอนนั่นทั้งอ้วนทั้งตัวโตกว่าปกติทั่วไปสองสามเท่าได้ ถูกเสวียนจีแทงไปหลายรู เลือดยังหยดลงพื้น อดรู้สึกหน้ามืดไม่ได้ รีบผงะถอยไปหลายก้าว น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ขะ…ขอบคุณแม่นาง! เป็นเจ้านี่…เจ้านี่ก่อเรื่องจริงหรือ”
เสวียนจีพยักหน้ากล่าวว่า “จริงสิ มันมาแก้แค้น บอกว่าสามปีก่อนพวกเจ้าใช้น้ำมันราดมัน ดังนั้นมันจึงมาก่อกวน แต่มันกินคนบริสุทธิ์ไปมากมาย ไม่อาจไว้ชีวิต ท่านเอาศพมันไหม”
หญิงเถ้าแก่ร้านรีบส่ายหน้า “ไม่เอาๆ! แม่นางเจ้าเอาไปเลย!…จะว่าไป สามปีก่อนก็เหมือนมีอะไรสักอย่างอยู่ในครัว แอบขโมยกินไก่ในลาน ข้าไม่รู้ว่าคืออะไรเลยเอาน้ำมันร้อนสาดไป ที่แท้มันนี่เอง…”
เสวียนจีโยนเพียงพอนอวบอ้วนตัวนั้นให้มกร สั่งว่า “เจ้าหิวก็เอาไปย่างกินสิ! เหลือหนังไว้ ทำให้สะอาดหน่อยแล้วมาทำผ้าพันคอ” มกรรับคำอย่างดีใจทันที รีบวิ่งไปห้องครัวจัดการอาหารกลางวันมื้อนี้
หลันหลันเห็นสิ่งที่พวกเขาจะกิน อดสะอิดสะเอียนไม่ได้ รีบไล่ตามไป จะบอกให้มกรอย่าเอามันไปทำในครัว พลันได้ยินเสียงคนเคาะประตู น้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ข้าคือคุณชายอี้ ขอโทษที่มาสาย”