ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 18 รอนแรมตามหานับพันลี้ (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

หลันหลันเกือบหวีดร้องออกมา รีบคว้าประตูเปิดออก ดังคาด เห็นชายหนุ่มสง่างามยืนอยู่หน้าประตู นางดีใจจนใจเต้นโครมคราม หน้าแดงก่ำไปหมด กล่าวติดๆ กันว่า “เชิญ เชิญเข้ามา!” 

 

 

คุณชายอี้เดินเข้ามาสองก้าว พลันชะงักมองไปทางชั้นสองโรงเตี๊ยม กล่าวเบาๆ ว่า “มีคนกำจัดปีศาจแล้ว?” 

 

 

ในใจหลันหลันเองก็ไม่รู้ด่าเสวียนจีไปกี่รอบ เกลียดนางที่แส่มากเรื่อง ร้อนใจกล่าวว่า “ใช่ ใช่แล้ว! เป็นแม่นางน้อยต่างถิ่น พวกเราไม่ค่อยวางใจ! คุณชายอี้ไปดูหน่อยได้ไหม” 

 

 

คุณชายอี้ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่จำเป็น ปีศาจนั่นถูกกำจัดแล้ว” 

 

 

หลันหลันเห็นเขาหันกายจะจากไป มือไม้พลันลนลาน แทบอยากจะปรี่เข้าไปรั้งเขาไว้ แต่ก็กลัวเขาไม่พอใจ บรรดาแม่นางน้อยชายขอบไม่ได้มีท่าทีเอียงอายเหมือนชาวภาคกลาง ชอบพอใครก็จะพูดออกไปทันที แต่ต่อหน้าเขา หลันหลันเหมือนไม่กล้าเผยความในใจอยู่บ้าง บางทีท่าทีเย็นชาของเขาเป็นเหมือนรังสีเปล่งออกมากันคนเข้าใกล้ 

 

 

ดังนั้นนางได้แต่เรียก “คุณชายอี้! คือว่า…อย่างไรก็ไม่อาจให้ท่านมาเสียเที่ยว…หรืออยู่ต่อ กินข้าวสักมื้อ?” 

 

 

ยังกล่าวไม่ทันจบ หญิงเถ้าแก่ร้านก็ส่งเสียงถามมาจากด้านหลังว่า “เจ้าคุยกับใคร” 

 

 

หลันหลันรีบหันกลับไป “คุณชายอี้มาแล้ว!” 

 

 

หญิงเถ้าแก่ร้านมองไปรอบๆ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไหนคุณชายอี้ ข้างนอกไม่มีคน เห็นผีกลางวันแสกๆ?” 

 

 

หลันหลันหันขวับกลับไป วิ่งไล่ตามออกไปทางประตูหลัง ดังคาด บนถนนใหญ่ไม่เห็นแม้เงาคุณชายอี้ เขามากะทันหัน ไปก็กะทันหัน พริบตาก็หายไป นางคอตกกลับถึงโรงเตี๊ยม ได้แต่เอาความไม่พอใจทั้งหมดมาลงที่เสวียนจี เอาแต่ค้อนใส่นาง หญิงเถ้าแก่ร้านเรียกนางหลายคำให้นางขอบคุณ นางก็ทำเป็นไม่ได้ยิน 

 

 

“นังเด็กน่าตาย นับวันยิ่งไร้มารยาท!” หญิงเถ้าแก่ร้านด่าไปหลายคำ ก่อนจะหันกลับไปยิ้มให้เสวียนจีกล่าวว่า “แม่นางใจกว้าง อย่าใส่ใจนังเด็กน่าตายนี่เลย!” 

 

 

เสวียนจีลูบถุงเงินที่พองแน่น ใบหน้ายิ้มเบิกบานนานแล้ว ไหนเลยจะไปสนใจว่าท่าทีคนอื่นจะเป็นอย่างไร พอดีกับที่มกรถลกหนังเพียงพอนกินลงท้องไปแล้ว ลูบท้องยิ้มร่าเดินออกมา ในมือมีขนสัตว์ผืนหนึ่งเปื้อนเลือดสกปรกยิ่ง กล่าวว่า “รสชาติไม่เลว! เอ้า! ขนที่เจ้าจะเอา!” 

 

 

เสวียนจีเห็นสกปรก ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ทำไมเจ้าไม่ล้างหน่อย! อย่ามาให้ข้า สกปรกจะตาย!” 

 

 

มกรถลึงตาใส่นาง “ทำไมเจ้าไม่ล้างเอง! ไม่ใช่ของของข้าเสียหน่อย!” 

 

 

หญิงเถ้าแก่ร้านผู้นั้นรีบยิ้มกล่าวว่า “อันนี้ใช้น้ำล้างไม่ได้ ข้ารู้ว่าหมู่บ้านข้างหน้ามีช่างตัดเสื้อแซ่หลี่ หากแม่นางอยากทำผ้าพันคอก็เอาหนังไปให้เขา สองสามวันก็คงทำเสร็จ” นางหันกลับไปเห็นหลันหลันยังคงทำหน้าเสียอารมณ์อยู่ รู้ว่านางน่าจะวุ่นวายใจด้วยเรื่องของคุณชายอี้ จึงกล่าวอีกว่า “หลันหลัน พอดีแม่นางผู้นี้จะไปหมู่บ้านข้างหน้า เจ้านำทางให้นางแล้วกัน จะได้เอาสุราดอกกุ้ยนี้ไปให้คุณชายอี้ไหหนึ่ง เรื่องนี้แม้ว่าไม่ได้รบกวนเขาลงมือ แต่เขาก็มาแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจให้เขากลับไปมือเปล่า” 

 

 

ใบหน้าหลันหลันยามนั้นส่องประกายขึ้นทันที รับคำอย่างดีใจ รีบลงไปในอุโมงค์ใต้ดินนำสุราดอกกุ้ยที่บ่มไว้ออกมาไหหนึ่ง ตอนนี้เริ่มไม่เห็นว่าเสวียนจีขัดหูขัดตาแล้ว เผยรอยยิ้มบางกล่าวว่า “ไปกันเถอะ แม่นาง ข้านำทางให้เจ้า!” 

 

 

เสวียนจีเห็นนางยิ้มกว้าง เรื่องในใจเขียนไว้บนใบหน้าหมด ก็อดขำไม่ได้ ถามว่า “คุณชายอี้นั่นร้ายกาจมากหรือ เมื่อครู่เหตุใดไม่เข้ามา” 

 

 

หลันหลันกล่าวว่า “เขาย่อมร้ายกาจ เป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดในโลกแล้ว! เมื่อครู่เขาว่ามีคนปราบปีศาจแล้วก็จากไปทันที เฮ้อ เขาดีไปหมดทุกอย่าง เสียแต่นิสัยแปลกประหลาด แต่ไรมาไม่เคยยิ้ม ท่าทางเย็นชาราวกับก้อนหิน” 

 

 

“เขาแปลกอย่างนั้น เหตุใดเจ้ายังชอบเขา” 

 

 

หลันหลันหน้าแดง แต่ก็ไม่ได้เอียงอาย กล่าววาจาเปิดเผยว่า “ที่นี่ไหนเลยมีแม่นางน้อยไม่ชอบเขา ผู้ชายน่ะ ก็ควรเป็นเหมือนเขาเช่นนี้แหละ ท่าทางเป็นการเป็นการ มีความสามารถ ไม่หยอกเย้าไปทั่ว จะว่าไป เขาเย็นชากับคนนอก แต่ใช่ว่าจะเย็นชากับภรรยานี่ ข้าชอบที่เขาเป็นแบบนี้” 

 

 

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เขามีภรรยาแล้ว?” 

 

 

หลันหลันรีบส่ายหน้า “เปล่าๆ! เขาพักที่หมู่บ้านข้างหน้าคนเดียว เปิดร้านยาเล็กๆ ตรวจอาการและจ่ายยาให้คนป่วย” กล่าวจบก็ลังเลครู่หนึ่ง กล่าวอีกว่า “ความหมายข้าก็คือ…อืม บางทีเขาอาจชอบข้าบ้างนิดๆ โอย ข้ารู้เจ้าต้องหัวเราะข้าแน่ แต่ข้าไม่กลัว ข้าชอบเขา อยากเป็นภรรยาเขา ชายยังไม่แต่ง หญิงไร้คู่หมาย ใช่ว่าข้าไม่มีโอกาส!” 

 

 

นางเห็นเสวียนจีจ้องมองนางก็อดน้ำเสียงสลดลงไม่ได้กล่าวว่า “เจ้า…ดูแคลนข้า? เด็กผู้หญิงภาคกลางอย่างพวกเจ้าล้วนวางตัวเรียบร้อย น่าจะรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงเช่นพวกเรามีนิสัยไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจกระมัง…” 

 

 

เสวียนจียิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ใช่ ข้ารู้สึก…เจ้าพูดได้ถูกต้อง ข้าอิจฉาเจ้าที่กล้าเปิดเผยตรงไปตรงมา” 

 

 

หากตอนนั้นนางตรงไปตรงมาเช่นนี้ ผลจะต่างออกไปไหม หากแต่ไรมาโลกนี้ก็ไม่มีคำว่า ‘หาก’ ทุกสิ่งผ่านแล้วก็ผ่านเลย 

 

 

หลันหลันพาเสวียนจีมายังร้านตัดเสื้อช่างแซ่หลี่อย่างกระตือรือร้น บอกกล่าวเล็กน้อยแล้วก็ยกไหสุราออกไปอย่างเริงร่า พอดีที่วันนี้ร้านตัดเสื้อช่างแซ่หลี่ไม่มีการค้า จึงจัดการหนังผืนนั้นให้เสวียนจีได้ทันที ให้นางรออยู่ด้านนอก 

 

 

เสวียนจีรออยู่ด้านนอกเป็นนาน เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมา จึงเปิดประตูเดินไปตามทางเดินเล็กๆ ชมทิวทัศน์หมู่บ้านที่นี่ไปเรื่อยๆ แม้กล่าวว่าเมืองซีกู่เป็นเขตชายแดน แต่อากาศอบอุ่น พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดม ชาวบ้านก็เรียบง่าย หมู่บ้านนี้ล้อมรอบด้วยหมู่ขุนเขา แต่ไม่ใช่ภูเขาสูง มองไปไกลๆ ต้นไม้เขียวขจีทับซ้อน ทิวทัศน์งดงามน่าประหลาด บ้านแถบเชิงเขาอยู่กันกระจัดกระจาย ไม่เกาะกลุ่ม เป็นภาพสบายๆ ไม่แปดเปื้อนแสงสีทางโลก 

 

 

เดินไปได้ครึ่งวัน เบื้องหน้าพลันปรากฎสระน้ำหนึ่ง ในนั้นมีกบส่งเสียงร้องอ๊บๆ มกรวิ่งเข้าไปคว้ากบมาเล่น เสวียนจีเดินไปอีกพักหนึ่ง พลันเห็นด้านหน้ามีรั้วไม้ไผ่ล้อม ภายในรั้วมีบ้านใหญ่หลังคาเขียวสองห้อง ดูแลปัดกวาดสะอาดสอ้าน หลังบ้านมีต้นเฟิ่งหวงมากมายออกดอกแดงสดราวเปลวเพลิงทั้งต้น ทิวทัศน์งดงามอย่างที่สุด แม่นางหลันหลันกำลังถือไหสุราดอกกุ้ยยืนตะโกนเรียกอยู่หน้ารั้ว  

 

 

นางเดินเข้าไปถามอย่างแปลกใจว่า “ที่นี่คือบ้านคุณชายอี้?” 

 

 

หลันหลันตกใจสะดุ้งโหยง หันกลับไปเห็นเป็นนาง ก็ตบหน้าอกกล่าวว่า “โอย เจ้ามาได้อย่างไร” เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “เดินมาเรื่อยๆ ก็มาถึงนี่ เจ้าไม่ต้องไล่ข้า ข้าไปละ” เด็กหญิงใจกล้าย่อมไม่ชอบยามที่ทั้งสองได้อยู่กันลำพังแล้วจะมีอีกคน นางหันหลังจะจากไปอย่างรู้งาน 

 

 

ได้ยินหลันหลันผลักประตูรั้วเข้าไปเคาะประตูหน้าบ้านหลังคากระเบื้องเขียวนั้นเบาๆ ร้องตะโกนขึ้นว่า “คุณชายอี้ คุณชายอี้ ท่านอยู่บ้านไหม ข้าคือหลันหลันจากโรงเตี๊ยม นำสุราดอกกุ้ยมามอบให้ท่านไหหนึ่ง” 

 

 

ตามมาด้วยเสียงแอ๊ด ประตูเปิดออก เสียงผู้ชายพูดขึ้นมาคำหนึ่ง เสวียนจีได้ยินไม่ชัด แต่เสียงนั้นเหมือนระเบิดตูมขึ้นในสมองของนาง เสียงนั่น! เสียงนั่น! นางรีบหันหลังวิ่งกลับไปที่หน้าประตู เห็นประตูบ้านเปิดอยู่ มีชายหนุ่มชุดครามยืนอยู่ตรงนั้น กำลังคุยกับหลันหลัน พอเห็นนางก็ตะลึงงัน อึ้งจ้องมองนาง 

 

 

ผมยาวดำขลับ ใบหน้าซีดขาว ใบหน้าหล่อเหลา ท่าทีไว้ตัว ดวงตาคู่นั้น ริมฝีปากนั้น…เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่นางสั่นไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พริบตานั้นเอง เหมือนว่าความรู้สึกโชคดีปรีดาอย่างที่สุดตะปบนางไว้ แต่ก็เหมือนมีความหวาดหวั่นอย่างที่สุดปะปนอยู่ด้วย นางตามหาเขามาตลอด เอาแต่ตามหาๆ ตามหามาปีกว่า ในใจตั้งแต่เริ่มต้นจนบัดนี้ก็มั่นใจว่าจะหาเขาพบ แต่ตอนนี้พอได้พบเขาจริงๆ นางกลับไม่อาจทำเหมือนที่นึกภาพไว้ โผเข้าหาเขา กอดเขาไว้ แผดเสียงร้องไห้โฮ 

 

 

นางถึงกับได้แต่อึ้งอยู่กับที่ สบตากับเขาเงียบงัน 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งจ้องมองนางครู่หนึ่งก็ได้สติ สีหน้ากลับคืนสู่ความเย็นชาดังเดิม กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้ามาแล้ว” 

 

 

เสวียนจีถึงกับพยักหน้า กล่าวว่า “อืม ข้ามาแล้ว” นางเองก็ไม่เข้าใจ เหตุใดจึงได้สงบใจได้เช่นนั้น ราวกับนางไม่ได้อกหักเสียใจให้กับเขามาปีกว่า ไม่ได้ออกค้นหาเขาอย่างลำบากไปทั่วทุกมุมโลก 

 

 

ในใจนางเริ่มรู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ราวกับมีน้ำแข็งกับน้ำเดือดเทราดไปมาไม่หยุด แม้แต่ปลายนิ้วก็ยังสั่นไหว แต่นางถึงกับนิ่งสงบได้เช่นนี้ ในสมองเหมือนกำลังชาดิก ไม่อาจทนรับความดีใจที่เกิดอย่างกะทันหันนี้ได้ ไม่อาจใช้การสมองคิดได้อีก 

 

 

หลันหลันมองทั้งสองอย่างสงสัย ถามว่า “พวกเจ้า…พวกเจ้ารู้จักกัน?” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งตอบทันทีว่า “อืม…คนรู้จักเก่า อีกเรื่องหนึ่ง สุรานี้รบกวนแม่นางนำกลับไป ไม่ได้สร้างความชอบไม่อาจรับบำเหน็จ ข้าไม่อาจรับไว้” 

 

 

หลันหลันร้อนใจกล่าวว่า “ไม่…ไม่ใช่…บำเหน็จอะไรข้าไม่เข้าใจ เพียงแต่ข้าคิดมอบให้ท่านดื่ม แค่น้ำใจเท่านั้น!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่จำเป็น แม่นางเชิญกลับ” 

 

 

หลันหลันยังคิดจะพูด แต่กระแสที่เปล่งออกมาของเขาเย็นชายิ่ง เต็มไปด้วยการปฏิเสธจะให้นางอยู่ต่อ นางขยับปากจะพูด สุดท้ายได้แต่ก้มหน้าลงอย่างอัดอั้นตันใจ วิ่งออกจากรั้วไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

หน้าบ้านเหลือแค่เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่ง สบตากันเป็นนาน อวี่ซือเฟิ่งผลักประตูเปิดออก กล่าวเบาๆ ว่า “จะเขามานั่งไหม ข้ามีชาใหม่” 

 

 

เสวียนจีพยักหน้าเดินอึ้งๆ เข้าไปในบ้านเขา เห็นเพียงห้องโถงกลางว่างเปล่า เรียบง่ายอย่างยิ่ง มีแต่โต๊ะไม้สีดำ เก้าอี้สองตัว มุมกำแพงมีชั้นวางของ บนนั้นมีแจกันหยาบๆ ทำจากกระเบี้องใบหนึ่ง ในนั้นว่างเปล่า แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่มี กำแพงข้างๆ มีม่านไม้ไผ่ นั่นคือที่พักเขา สำหรับนางแล้ว ราวกับแดนต้องห้ามที่ไม่อาจเข้าใกล้ เมื่อก่อนพวกเขาใกล้ชิดสนิทสนมกันมากเช่นนั้น แต่ตอนนี้สถานที่ส่วนตัวของเขาราวกับปิดประตูใส่นาง ปฏิเสธนางเข้าไป  

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเลิกม่านออกเข้าไปต้มน้ำ นางก็นั่งลง ค่อยๆ ยกมือกดหัวใจไว้ ตรงนั้นเต้นโครมครามรุนแรง แทบจะหายใจไม่ทัน ที่หูราวกับไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก มีแต่เสียงใจเต้น ตึง ตึง ตึง ตึง แทบจะเต้นกระโดดออกจากลำคอเสียให้ได้ 

 

 

ทำไงดี ได้พบเขาแล้ว ได้พบเขาแล้ว! นางจะพูดอย่างไร ทำอย่างไร คำถามเหล่านี้นางเคยคิดไตร่ตรองอยู่ในค่ำคืนนับไม่ถ้วน แต่พอได้พบเขาเข้าจริงๆ ความคิดทั้งหมดอยู่ๆ พลันแตกเป็นเสี่ยง นางรู้สึกว่างเปล่าไปหมด 

 

 

บางทีเพราะความเย็นชาของเขาทำให้นางรู้สึกผิดหวังเสียใจ หากเขาจะปิดประตูใส่นาง ไม่ยอมพบหน้า หรือเหมือนตอนจากไปที่กล่าววาจาไร้ใจทำร้ายจิตใจนาง ก็คงดีกว่าตอนนี้ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร นาง…นางจะทำอย่างไรดี เป็นครั้งแรกที่เสวียนจีรู้สึกสิ้นหนทาง ในใจบัดเดี๋ยวก็รู้สึกขื่นขม บัดเดี๋ยวก็รู้สึกหวานล้ำ ถึงกับบอกรสชาติไม่ถูก 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเลิกม่านออกมาในเวลาไม่นาน ยกถาดน้ำชาออกมา บนนั้นมีกาดินม่วงใบหนึ่ง แก้วอีกสองใบ กลิ่นชาหอมแตะจมูก นางเอ่ยขึ้นทันทีอย่างไม่ทันได้คิดอะไร “หอมจริง เป็นชาปี้เจิน?” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย “เจ้ายังจำได้ นี่คือชามีชื่อเมืองชิ่งหยาง” 

 

 

เสวียนจีรับคำอย่างแปลกใจ “ใช่ ชาชนิดนี้เมื่อก่อนท่านพ่อข้าเคยดื่ม ท่านว่าได้ยินว่าข้างนอกขายชานี้น้ำหนักหนึ่งตำลึงเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง แพงมาก” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้า กล่าวว่า “ไม่เลว แต่นี่ไม่นับว่าเป็นใบชาแพงที่สุด ไว้ข้าให้เจ้าชิมชาดีที่ข้าเก็บไว้” 

 

 

เสวียนจีพยักหน้า ในใจยินดีแทบคลั่ง เหตุใดพวกเขาจึงสนทนาเรื่องไร้สาระเช่นนี้?! หรือว่าระหว่างนางและเขาถึงขั้นที่ต้องกล่าวทักทายกันตามมารยาท?! แต่เหตุใดนางรู้สึกว่าผิดปกติ แต่กลับไม่อาจหยุดโพล่งวาจาเหลวไหลของตนเองออกไปได้ 

 

 

แต่หากไม่กล่าวอันใด บรรยากาศก็คงต้องตกในสภาวะเงียบงันอึดอัดยิ่ง อึดอัดจนทำให้นางนั่งไม่ติด คิดหนีไปจากที่นี่ นางยกชาขึ้นลังเลอยู่นานจึงได้กล่าวว่า “คือว่า… เจ้าถอนคำสาปคู่รักแล้วหรือยัง ตอนนี้ดีขึ้นบ้างไหม” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเงียบงันไปนานก่อนจะกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เปล่า เพียงแต่ไม่มีผลอะไรมากนัก แค่เจ้าอย่าปรากฎตัวต่อหน้าข้าก็พอ” 

 

 

ในใจเสวียนจีสะดุ้งวาบ แก้วชาในมืออยู่ๆ พลันถือไม่อยู่ ลื่นหก น้ำชาร้อนในนั้นหกรดขานาง นางถึงกับไม่รู้สึกสักนิด มีเพียงสีหน้าซีดขาวมองจ้องเขา เขารีบสะอึกกายเข้ามา ดึงแก้วชาจากมือนางไป จากนั้นเสียงเข้มดุดันว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? โดนลวกไหม?!” 

 

 

เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่นางถูกผลักออกไปที่แสนไกลทั้งร่างในพริบตา ปฏิกิริยาต่อทุกสิ่งในห้องเริ่มช้าลง อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางไม่กล่าวอันใด เอาแต่ตัวสั่นไม่หยุด ก็คิดว่านางคงเจ็บมาก ในใจร้อนใจยิ่ง รีบถอดรองเท้านางออก จะพับขากางเกงนางขึ้น 

 

 

พลันเหมือนมีน้ำหยดใส่มือ ท่าทางเคลื่อนเขาช้าลงทันที ค่อยๆ เงยหน้ามอง เห็นน้ำตานางนองหน้า น้ำตานั้นราวกับไหลอย่างไม่สิ้นสุด ไหลร่วงลงมาราวกับทะลัก หากนางไม่ส่งเสียงสักนิด