เหลิ่งหวายเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าบอกเองว่าด่านจื่อจิงนี้ต้านทานต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นแม่ทัพแห่งต้าฉู่ ควรจะตายในสนามรบอยู่แล้ว เจ้าอยากจะมาร่วมสนุกด้วยหรือ รีบถือโอกาสตอนนี้หลบไปก่อนจะดีกว่า ตระกูลเหลิ่ง…หากเจ้ามีความสามารถ ก็ฝากเจ้าดูแลตระกูลเหลิ่งด้วย” ต่อให้เขาภักดีต่อต้าฉู่และราชสำนัก ก็ไม่คิดจะให้ลูกชายทุกคนของตนต้องไปตกระกำลำบากด้วยกัน เดิมทีเหลิ่งเฮ่าอวี่ก็ไม่ใช่ขุนนางของต้าฉู่อยู่แล้ว เหลิ่งหวายย่อมให้เขาหนีไปอย่างไร้ความกดดัน
เหลิ่งเฮ่าอวี่กลับไม่รับความหวังดีนี้ กรอกตา ก่อนจะเอ่ย “ภรรยา ลูกและหลานของท่านก็ดูแลเอาเองสิ” ข้าไม่ได้ขอท่านอ๋องเดินทางมายังด่านจื่อจิงเพื่อมาเก็บศพท่านจริงๆ เสียหน่อย เหลิ่งเฮ่าอวี่แอบสบถในใจ
เหลิ่งหวายคิดเพียงแค่ว่า เขามีเรื่องบาดหมางกับตระกูลเหลิ่ง จึงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ช่างเถิด ทุกคนต่างมีชะตาชีวิตเป็นของตนเอง แล้วแต่เจ้า”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ขมวดคิ้วมองเหลิ่งหวายก่อนจะเอ่ย “หรือท่านพ่อไม่คิดที่จะถอนทัพ ต้องการให้ทหารหลายแสนนายเหล่านี้ตายตามท่านพ่ออยู่ที่ด่านจื่อจิงนี้น่ะหรือ” เหลิ่งหวายหัวเราะอย่างขมขื่น “ถอยทัพหรือ ถอยไปไหน ข้างหลังพวกเราก็คือฉู่จิง ถ้าเราถอย ประชาชนตาดำๆ เหล่านี้จะหนีไปไหนได้อีก ชีวิตนี้ข้าไม่เคยรบในสงครามใหญ่ๆ ที่สะเทือนแผ่นดิน แต่ก็ไม่เคยเป็นเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดองละทิ้งเมืองและหนีไป” เหลิ่งเฮ่าอวี่ได้แต่กลอกตา ก่อนจะโบกมือพลางเอ่ย “ก็ได้ ข้าไม่สนใจท่านพ่อแล้ว ท่านพ่อก็ไม่ต้องมาสนใจข้าด้วย ข้าจะไปเมื่อถึงเวลาที่ต้องไป” เมื่อถึงเวลาสุดวิสัยจริงๆ ค่อยตีหัวตาเฒ่านี่ให้หมดสติ แล้วห่อเขาไปซีเป่ยก็สิ้นเรื่อง แม้ว่าเขาจะไม่ชอบตาเฒ่าคนนี้เท่าไร แต่เขาก็ไม่ได้วางแผนที่จะให้ท่านพ่อของเขาจากไปจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องยังต้องการแม่ทัพที่ต่อสู้ได้ดีอีกนะ อืม…เพิ่งจะอายุห้าสิบต้นๆ ยังไม่ถือว่าแก่มาก ยังพอเป็นทหารได้อีกหลายปี!
เหลิ่งหวายอึดอัดมากกับสายตาแปลกๆ ของลูกชาย แต่เขาเดาไม่ออกว่าลูกชายคิดอะไรอยู่กันแน่ จึงได้แต่โบกมือบอกให้เขากลับออกไป
ทว่าด่านจื่อจิงนี้แห่งนี้ยังมีเหลิ่งหวายคุ้มกันอยู่ ปิดกั้นการรุกของเป่ยจิ้งได้ชั่วคราว ในทางกลับกันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ทหารส่วนใหญ่ของเป่ยหรงเป็นทหารม้า และสภาพอากาศภายนอกด่านนั้นเลวร้ายมาเป็นเวลานาน ไม่ต้องพูดถึงว่าทหารของเป่ยหรงโหดร้ายต้าฉู่มาก แม้แต่ม้าศึกที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นมงกุฎของทุกแว่นแคว้น ก็มีเพียงหน่วยเฮยอวิ๋นฉีของกองทัพตระกูลม่อเท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงได้กับทหารม้าของเป่ยหรง แต่จำนวนคนในหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนั้นน้อยกว่าทหารม้าเป่ยหรงมาก และหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็เก่งในการวิ่งมาลอบโจมตีจากระยะไกล พอโจมตีเสร็จก็จะจากไป ถ้าต้องสู้ตัวต่อตัวจริงๆ เกรงว่าคงไม่สามารถเอาชนะกองทัพเป่ยหรงได้ ดังนั้นจึงสามารถจินตนาการถึงฉากที่ทหารม้าเป่ยหรงหลายแสนนายเข้ามาในด่านได้อย่างชัดเจน
ชาวเป่ยหรงมีความแตกต่างจากชาวเป่ยจิ้งเล็กน้อย แม้ว่าชาวเป่ยจิ้งส่วนใหญ่จะเป็นคนป่าเถื่อน แต่เหรินฉีหนิงหรือหลินย่วนล้วนมาจากจงหยวน และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็คัดเลือกคนที่มีความสามารถมากมายมาจากจงหยวน นอกจากนี้เขายังรู้ว่าตนเองต้องการจะปกครองจงหยวน ไม่ใช่ทำลายจงหยวน ดังนั้นแม้ว่าสถานที่ที่กองทัพเป่ยจิ้งผ่านมานั้นถือว่าเป็นการก่ออาชญากรรม แต่ก็ไม่ถึงกับมีการฆ่าล้างบางใดๆ ทว่าชาวเป่ยหรงนั้นแตกต่างออกไป ชาวเป่ยหรงเป็นคนเร่ร่อนโดยสมบูรณ์ พวกเขาต้องการยึดที่ดินอันอุดมสมบูรณ์และผลผลิตของจงหยวนทั้งหมดมาเป็นของตน ดังนั้นในการครอบครองดินแดนดั้งเดิมของชาวต้าฉู่ ย่อมฆ่าฟันอย่างไร้ความปราณี สถานที่ที่เป่ยหรงผ่านมาทางตอนเหนือนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรม เลือดไหลนองดั่งสายธาร ประชากรล้มหายตายจากไปถึงแปดในสิบส่วน
ทว่าบรรยากาศของตำหนักผู้สำเร็จราชการแทนในฉู่จิงนั้นยังคงทรงเกียรติ ฮว่ากั๋วกงถลึงตาจ้องมองม่อจิ่งหลีที่มีใบหน้าสงบนิ่ง ความคิดที่ฮว่ากั๋วกงต้องการจะออกไปปกป้องชายแดน ไม่เกิดขึ้นในที่สุด ไม่ใช่ว่าม่อจิ่งหลีไม่เชื่อในความสามารถของฮว่ากั๋วกง แต่เขาก็ทำเช่นเดียวกับม่อจิ่งฉีนั่นคือคอยขวางฮว่ากั๋วกงไว้ แม้ว่าผิวเผินจะไม่มีใครพูดอะไร แต่ม่อจิ่งหลีก็รู้ดีว่าฮองเฮาหายไปไหน เขาย่อมมีเหตุผลที่จะเชื่อว่า ฮว่ากั๋วกงได้หาทางถอยไว้แล้ว ทว่าสิ่งที่เขากังวลก็คือฮว่ากั๋วกงจะนำกองทหารของต้าฉู่ไปโจมตีซีเป่ยแทน
“ท่านอ๋อง กองทัพเป่ยหรงได้เข้ามาภายในด่านแล้ว และกองทัพเป่ยจิ้งก็กดดันเข้ามาทุกทีเช่นกัน เหตุใดท่านอ๋องจึงยังไม่ส่งเสบียงให้แม่ทัพเหลิ่งอีกเล่า!” ฮว่ากั๋วกงถามอย่างเกรี้ยวกราด
ดวงตาของม่อจิงหลีฉายแววประหลาดใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ข่าวของท่านกั๋วกงช่างแม่นยำเหลือเกิน”
ฮว่ากั๋วกงส่งเสียง เฮอะ และพูดอย่างใจเย็นว่า “ข้ารบมาครึ่งชีวิต ย่อมมีสหายเก่าอยู่ในกองทัพบ้างอยู่แล้ว” แม้ว่าตระกูลฮว่าและตระกูลเหลิ่งจะไม่ได้ใยดีต่อกันเท่าไร แต่ยามที่เหลิ่งหวายเพิ่งเริ่มเข้าสู่สนามรบ ก็เคยเป็นทหารภายใต้จวนฮว่ากั๋วกงระยะหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ฮว่ากั๋วกงจะถามในเวลานี้
แน่นอนว่า ม่อจิ่งหลีไม่เชื่อในสิ่งที่ฮว่ากั๋วกงพูด แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอะไรออกไป พูดเบาๆ เพียง “ท่านกั๋วกงน่าจะรู้ว่า ตั้งแต่กองทัพตระกูลม่อแตกหักกับต้าฉู่ ทางเหนือ…ไม่ช้าก็เร็วจะต้านทานต่อไปไม่ไหว” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ม่อจิ่งหลีถือว่าก็ยังเสียใจอยู่เช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่เขาก็เป็นผู้ครองอำนาจในต้าฉู่โดยแท้จริง ไม่มีผู้มีอำนาจคนใดต้องการเห็นดินแดนทั้งหมดของตัวเองถูกครอบครองโดยผู้อื่น แต่เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
ฮว่ากั๋วกงยิ้มเยาะพลางเอ่ย “หากปราศจากเสบียง ไร้กองกำลังเสริม ก็ย่อมไม่อาจต้านทาน ข้ารู้ว่ารากฐานของหลีอ๋องอยู่ทางตอนใต้ มีการกล่าวกันว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งซีหลิงจะยกทัพไปทางใต้ จึงร้อนใจขึ้นมาแล้วสินะ”
“ฮว่ากั๋วกง!” ม่อจิงหลีฉายแววความโกรธบนใบหน้าแวบหนึ่งและพูดเสียงเข้ม “ฮว่ากั๋วกงโปรดระวังคำพูดด้วย”
ฮว่ากั๋วกงไม่ยอมถอย “หรือสิ่งที่ข้าพูดไม่ถูกต้อง ท่านอ๋องริดรอนเสบียงของเหลิ่งหวาย ไม่ส่งกองกำลังเสริมไปทางเหนือ หรือเพราะอยากจะลงไปทางตอนใต้จริงๆ” ม่อจิ่งหลีรู้สึกอับอายและพูดอย่างโกรธเคือง “เดิมทีทางใต้สำคัญกว่าทางเหนืออยู่แล้ว ถ้าเหลยเจิ้นถิงยึดครองเจียงหนานได้อีก ถึงเวลานั้น ทางเหนือจะรับมือไม่ไหว เราที่ถูกบีบอยู่ตรงกลางจะทำอย่างไร ทั้งหมดนี้เกิดจากม่อซิวเหยา ถ้าเขาไม่ไปโจมตีซีหลิงและขัดขวางการถอยทัพของเหลยเจิ้นถิง เหลยเจิ้นถิงจะเปลี่ยนทิศทางไปเจียงหนานได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฮว่ากั๋วกงก็มองม่อจิ่งหลีเงียบๆ ราวกับกำลังมองเด็กที่ไม่รู้ประสา ม่อจิ่งหลีก็เข้าใจว่าตนกำลังสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผล และจวนติ้งอ๋องก็บอกชัดเจนว่าได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับต้าฉู่แล้ว ไม่ว่าม่อซิวเหยาจะโจมตีซีหลิงก็ดี หรือตัดเส้นทางการถอยทัพของเหลยเจิ้นถิงก็ดี ล้วนทำเพราะเป็นผลดีต่อตนเองทั้งสิ้น ต่อให้จะไปทำลายผลประโยชน์ของใครเข้าก็ไม่เกี่ยวอะไรกับม่อซิวเหยาอีกแล้ว ด้วยฐานะของผู้ปกครอง ย่อมไม่ถือว่าผลประโยชน์ของผู้อื่นสำคัญกว่าผลประโยชน์ของตนอย่างแน่นอน นอกจากนี้หากต้าฉู่คิดจะสู้จริงๆ ก็สามารถร่วมมือกับตำหนักติ้งอ๋องแล้วปิดทางรอดเหลยเจิ้นถิงได้ บังคับให้เหลยเจิ้นถิงต้องนำทหารลงใต้ไปทางที่มีกำลังพลอันแข็งแกร่งรออยู่ แต่เป็นเขาเองที่ไร้ความสามารถ แต่กระนั้นม่อจิ่งหลีอดไม่ได้ที่จะต้องการระบายความโกรธออกมา หากไม่มีม่อซิวเหยาสักคน ก็คงไม่มีเรื่องมากมายถึงเพียงนี้
ครั้นจัดการอารมณ์ตัวเองได้แล้ว ม่อจิ่งหลีจึงไม่ต้องการที่จะหารือกับฮว่ากั๋วกังอีกต่อไปว่าใครถูกใครผิด ผู้อาวุโสในราชสำนักส่วนใหญ่มักนิยมชมชอบตำหนักติ้งอ๋อง แม้ในตอนนี้ตำหนักติ้งอ๋องจะตัดขาดกับต้าฉู่ และยังนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่ต้าฉู่อีกก็ตาม คนเหล่านี้ก็ยังคงพูดถึงม่อซิวเหยาอยู่ดี สถานการณ์นี้ทำให้ม่อจิ่งหลีทั้งอิจฉา ไม่พอใจและทำอะไรไม่ถูก
“ฮว่ากั๋วกงนานๆ ทีจะมาที่ตำหนักข้า คงไม่ได้มาเพื่อเจรจากับข้าเรื่องนี้หรอกกระมัง” ม่อจิ่งหลีปรับสีหน้าให้สงบลง ก่อนจะถาม