ม่อจิ่งหลีรับรู้ถึงความผิดปกติของเจิ้นหนานอ๋องตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้ม่อจิ่งหลีจะโง่เพียงใด เขาก็ยังจำได้ว่าเจียงหนานเป็นเมืองหลวงที่แท้จริงสำหรับการปักหลักของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ม่อจิ่งหลีไม่ได้เป็นคนโง่จริงๆ เพียงแต่เขาไม่ฉลาดพอเมื่อเทียบกับคนเหล่านี้เท่านั้น ดังนั้นพอเขารับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเจิ้นหนานอ๋อง ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ม่อจิ่งหลีจึงสั่งให้มู่หรงเซิ่นซึ่งเป็นผู้นำกองทัพไปทางเหนือ ป้องกันไม่ให้เจิ้นหนานอ๋องไปทางใต้อย่างสุดความสามารถ มู่หรงเซิ่นนำทัพไปทางเหนือเพราะทหารทางเหนือถูกกองทัพเจิ้นหนานอ๋องโจมตีจนไม่เหลือชิ้นดี เดิมทีเขามาหาเหลยเจิ้นถิงเพื่อมาคิดบัญชี ย่อมไม่สนใจว่าจะคิดบัญชีกับเขาที่ใดอยู่แล้ว หลังจากได้รับคำสั่งของม่อจิ่งหลี ในตอนแรกจะนำกองทัพมุ่งตรงไปทางเหนือ จึงเปลี่ยนไปทางตะวันออกเฉียงใต้แทนในทันใด เพื่อพยายามปิดล้อมหน้ากองทัพซีหลิงเอาไว้
หลังจากทำตามแผนเหล่านี้แล้ว ม่อจิ่งหลีก็ยังคงไม่สบายใจ เขาแอบสั่งให้คนสนิทเตรียมการย้ายเมืองหลวงไปทางใต้ โดยไม่คิดถึงทหารที่ยังสู้รบกับเป่ยจิ้งและเป่ยหรงเลยว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่การกระทำของม่อจิ่งหลีปิดบังทุกคนไม่ได้ ในไม่ช้าก็มีสาส์นลับฉบับหนึ่งไปถึงด่านจื่อจิงที่ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของฉู่จิง
ด้านบนด่านจื่อจิง นับวันสงครามจะยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ ชั่วเวลาเพียงหนึ่งเดือนกว่าๆ เหลิ่งหวายก็แก่ตัวและผอมโซไปไม่น้อย กองทัพฝ่ายเหนือดูเหมือนจะรู้ว่าต้าฉู่เปรียบเสมือนม้าตีนปลาย นับตั้งแต่เป่ยหรงเข้ามาโจมตีภายในด่าน ความบ้าคลั่งก็มากขึ้นเรื่อยๆ เหลิ่งหวายมีเหตุผลที่จะเชื่อว่า เป่ยหรงและเป่ยจิ้งเป็นพันธมิตรอย่างลับๆ กันมานานแล้ว ทว่าเสบียงที่ฉู่จิ่งส่งไปให้ด่านจื่อจิงกลับมีน้อยลงทุกวัน ตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ เสบียงของเดือนนี้ล่าช้าไปสิบวันแล้ว หากไม่มีอาหารมาเพิ่มในอีกสิบวันข้างหน้า ต้าฉู่ไม่จำเป็นต้องให้เป่ยจิ้งเข้ามาโจมตี ก็คงจะพ่ายแพ้ไปเองโดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้เป็นแน่
“ท่านพ่อ มีธุระอะไรกับข้าหรือ” เหลิ่งเฮ่าอวี่ที่ถูกเรียกตัวอย่างกะทันหันให้มายังห้องหนังสือ มองใบหน้าที่คิ้วคมขมวดมุ่นของท่านพ่อด้วยความฉงน ราวกับไม่เข้าใจว่าความกังวลของท่านพ่อมาจากที่ใด การปรากฏตัวด้วยความสบายใจของเขาทำให้เกิดไฟลุกโชนในใจของเหลิ่งหวาย ไม่รู้ว่าเมื่อไร ลูกชายตรงหน้าเขากลายเป็นคนไม่รู้สึกรู้สา แม้ว่าฟ้าจะถล่มดินจะทลายก็ไม่สนใจอะไรเลย ถึงเขาจะรู้ว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่ไม่ใช่คนรักสำราญเช่นนั้นจริงๆ ทว่าเหลิ่งหวายก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเคืองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขา
“ยิ้มหน้าบานเหมือนตัวอะไรก็ไม่รู้!” เหลิ่งหวายเอ่ยเสียงเข้ม
เหลิ่งเฮ่าอวี่เม้มปาก หรืออยากให้ทำหน้าเหมือนเหลิ่งใหญ่ ที่หน้าเหมือนคนอื่นยืมเงินเขาไปหลายล้านตำลึงแล้วไม่ยอมคืนอย่างนั้นหรือ ถึงจะดูเป็นผู้เป็นคน เหลิ่งเฮ่าอวี่กรอกตา ก่อนจะเอ่ย “ท่านพ่อ มีเรื่องอะไรกันแน่ ข้ายังต้องไปเล่นเป็นเพื่อนถิงเอ๋อร์อยู่นะ” คิ้วคมบนหน้าผากเหลิ่งหวายกระตุก “เล่นหรือ ตอนนี้มันเวลาอะไร เจ้ายังมีเวลามาเล่นเป็นเพื่อนภรรยาเจ้าอีกหรือ ภรรยาเจ้าเป็นอะไรไป เจ้าไม่เป็นผู้เป็นคน นางยังจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกหรือ เอาแต่เล่นได้ทั้งวัน!”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ไม่รู้สึกอะไรหากตนเองจะโดนด่าคำสองคำ ทว่าหากจะเอ่ยถึงภรรยาของตนนั้นย่อมไม่ได้ เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ภรรยาข้าทำไมหรือ ดูแลบ้านก็ได้ มีลูกให้ได้ ทำการค้ากับข้าก็ได้ แถมยังเข้าสู่สนามรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าได้อีก ต่อให้จะไม่เทียมเทียบพระชายาติ้งอ๋อง ทว่าก็ไม่แย่เท่าไรกระมัง ภรรยาท่านพ่อเล่าทำได้ไหม ภรรยาของลูกชายคนโตท่านพ่อเล่า ทำได้หรือไม่” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เหลิ่งเฮ่าอวี่ก็ค่อยๆ ภูมิใจขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับรู้สึกว่าภรรยาของตนเองนั้นไม่เลวจริงๆ
ครั้นเหลิ่งหวายถูกเขาย้อนกลับเช่นนี้ มุมปากก็กระตุกอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยอย่างจนปัญญา “ที่ข้าเรียกเจ้ามา ไม่ได้จะมาฟังเจ้าคุยโม้โอ้อวดเรื่องภรรยาเจ้า!”
“ข้าคุยโม้โอ้อวดหรือ ข้าพูดความจริงต่างหาก” เหลิ่งเฮ่าอวี่บ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ ก่อนจะคิดในใจ ก็ท่านเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนไม่ใช่หรือ เข้าเรื่องตั้งแต่แรกก็จบแล้ว “มีธุระอะไร ท่านพ่อพูดมาตามตรงได้เลย”
เหลิ่งหวายขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงทุ้ม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ที่เมืองหลวง อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ ข้ารู้ว่าเจ้ามีแหล่งข่าวอีกที่” เหลิ่งเฮ่าอวี่อดยิ้มให้เขาไม่ได้ เงยหน้าถามเขา “เช่นนั้นท่านพ่อรู้ไหมว่าแหล่งข่าวของข้ามาจากที่ใด ท่านจะใช้จริงๆ หรือ ใช้แล้วจะตอบแทนด้วยสิ่งใด”
“เจ้า…” เหลิ่งหวยพูดไม่ออก แม้ว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่จะไม่เคยพูดอะไรก็ตาม แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเหลิ่งเฮ่าอวี่ก็ไม่ได้ตั้งใจปิดบังเขา เขายังคงพอเดาได้ว่าลูกชายทำอะไรมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะหวาดหวั่นและโกรธเคืองกับความบ้าบิ่นและความเอาแต่ใจของลูกชาย แต่ในทางกลับกันในฐานะพ่อเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจและโล่งใจที่ลูกชายมีความสามารถและความสำเร็จเช่นนี้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากครอบครัว เหลิ่งเฮ่าอวี่ไม่รีบร้อน ยิ้มตาหยีรอให้พ่อของเขาตัดสินใจ
เหลิ่งหวายถลึงตามองเขาด้วยความโกรธอยู่นาน ก่อนจะเอ่ย “เจ้าเป็นลูกชายของข้า ข้าในฐานะพ่อ จะขอข้อมูลจากเจ้า ยังต้องมีอะไรตอบแทนอีกหรือ”
เหลิ่งเฮ่าอวี่เลิกคิ้วและมองเขาด้วยความหยอกล้อ ยักไหล่ ก่อนจะพูดว่า “อันที่จริงก็ไม่มีอะไร เจิ้นหนานอ๋องถูกติ้งอ๋องตัดเส้นทางกลับไปยังซีหลิง ตัดสินใจที่จะละทิ้งบ้านเกิดและไปเจียงหนาน เพื่อแย่งชิงอาณาเขตของหลีอ๋องแล้ว แน่นอนว่าหลีอ๋องย่อมไม่สละดินแดนของตนให้กับเขาโดยง่ายอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเตรียมการที่จะกลับไปยังเจียงหนานอย่างลับๆ หากต้องการกลับไปเจียงหนานจริงๆ ก็ต้องนำสิ่งของมากมายและแม้แต่กองกำลังทหารกลับไปที่เจียงหนานด้วย จะมีเวลามาสนใจด่านจื่อจิงเล็กๆ ของท่านพ่อนี้ได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม หลีอ๋องไม่ใช่ฮ่องเต้ หากไม่มีเมืองหลวง เขาก็ยังมีสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองของเจียงหนานอยู่ สำหรับเขาแล้วไม่มีสูญเสียอะไรเลย”
“ว่าอย่างไรนะ” คำพูดอันเรียบง่ายของเหลิ่งเฮ่าอวี่ แต่เหลิ่งหวายกลับฟังด้วยสีหน้าคล้ำเครียด “เป็นไปได้อย่างไร หรือว่าหลีอ๋องไม่รู้ว่า หากเมืองหลวงไร้กองกำลังรักษาการณ์ ต้าฉู่ก็ถือว่าจบสิ้นไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง!”
เหลิ่งเฮ่าอวี่เลิกคิ้ว “ไม่เชื่อแล้วยังจะถามข้าอีกหรือ ต่อให้หลีอ๋องไม่ปล่อยแล้วอย่างไร เป่ยหรงเข้ามาถึงในด่านแล้ว อีกไม่นานก็จะตีไปถึงฉู่จิงได้เช่นกัน ถึงตอนนั้นด่านจื่อจิงของท่านยังรับมือไหวหรือไม่ ถ้าถอนตัวในเวลานั้น เกรงว่าม่อจิ่งหลีคงไม่สามารถรักษาดินแดนเจียงหนานไว้ได้แล้ว แน่นอนว่าเขาต้องรีบไปก่อน เมื่อไปถึงเจียงหนาน เขาไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อฮ่องเต้องค์น้อยถูกปลิดชีพโดยเป่ยหรงหรือเป่ยจิ้ง เขาก็จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ทันที”
เหลิ่งหวายพูดไม่ออก แม้ว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่จะพูดอย่างหยาบคายและไร้มารยาท แต่ก็พูดตรงประเด็นสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาเต็มใจที่จะสละด่านจื่อจิงที่รักษาการณ์มานานได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่เขารู้ผลของการยอมแพ้เช่นนี้ จะให้เขาเต็มใจได้อย่างไร
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ การที่ติ้งอ๋องให้เจ้ามาย่อมมีเหตุผลใช่หรือไม่ หรือติ้งอ๋องต้องการเห็นต้าฉู่ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา” เรื่องมาถึงตรงนี้ เหลิ่งหวายไม่หลบเลี่ยงตัวตนกับเหลิ่งเฮ่าอวี่อีกต่อไป
สีหน้าของเหลิ่งเฮ่าอวี่ย่ำแย่โดยพลัน ก่อนจะยิ้มเยาะพลางเอ่ย “เหตุใดข้าถึงมาน่ะหรือ ใครใช้ให้ท่านพ่ออายุขนาดนี้แล้ว ยังวิ่งเข้าสู่สนามรบโดยไม่สนความเป็นความตายเล่า ข้าต้องมาดูสิว่าจะเก็บศพท่านหรือเหลิ่งฉิงอวี่กันแน่ ส่วนติ้งอ๋อง ท่านล้มเลิกความคิดเสียเถิด ยามนี้ติ้งอ๋องอยู่ที่ซีหลิงโน้น ต่อให้เขาจะเปลี่ยนใจ ก็ไม่อาจงอกปีก แล้วบินกลับมาได้หรอก” ไม่ว่าม่อซิวเหยาจะคิดอย่างไร แต่การที่เหลิ่งเฮ่าอวี่ปรากฏกายอยู่ที่นี่ จริงๆ แล้วเป็นเพราะเขากังวลว่าพ่อคนนี้จะเผลอเล่นงานตัวเองจนตายในสนามรบ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่ซาบซึ้งแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดกับสีหน้าอันย่ำแย่ของเหลิ่งเฮ่าอวี่ด้วย
เหลิ่งหวายยังพอรู้ว่าตนเองนั้นพูดเรื่องนี้ด้วยความใจร้อนเกินไป จึงไม่ได้สนใจที่เหลิ่งเฮ่าอวี่พูดจาไม่น่าฟัง มองลูกชายที่สีหน้าดูไม่ได้ตรงหน้า ก่อนจะอดถอนหายใจไม่ได้ เอ่ย “ช่างเถิด อีกสองสามวัน เจ้าพาถิงเอ๋อร์กลับไปเมืองหลวงเถิด” เหลิ่งเฮ่าอวี่เลิกคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร”