เล่ม 11 เล่มที่ 11 ตอนที่ 329 ท่านอ๋อง พี่เขย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“สมุนไพรของหุบเขาเทพโอสถจะให้ผู้ใดหรือไม่ให้ผู้ใด เกรงว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดของท่านกระมัง? ” ซูจิ่นซีพูด

“ซูจิ่นซี เจ้าต้องการเป็นปรปักษ์กับสำนักใช่หรือไม่? ” ดวงตาอันงดงามของหนานกงหว่านเอ๋อร์หรี่ลงจนเป็นเส้นตรง

“แม่นางพิษน้อย เจ้ามาเยี่ยมพี่จุนแล้วหรือ? เหตุใดไม่บอกพี่จุนล่วงหน้าสักคำเล่า? พี่จุนคิดถึงเจ้า! หากรู้ว่าเจ้ามา พี่จุนจะออกไปต้อนรับทันที” จู่ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากทางด้านนอก

หลังสิ้นเสียงนั้น ร่างเงาสีแดงพลันปรากฏขึ้น นั่นคือจอมวายร้ายไป๋เฉ่าในชุดสีแดงอันทรงเสน่ห์นั่นเอง เขาเหาะลงมาจากหลังคา เส้นผมและเสื้อผ้าพลิ้วไหวตามสายลม งดงามจนผู้คนไม่อาจละสายตาได้ แม้บนใบหน้าจะมีหน้ากากอันเย็นชาปกปิดอยู่ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าซูจิ่นซี เขากลับยกยิ้มมุมปากอย่างมีเสน่ห์ให้นาง

“ซูจิ่นซี เจ้าช่างไร้ยางอายเสียจริง ไม่พูดถึงเรื่องแย่งคู่หมั้นของผู้อื่น ทว่าแต่งงานแล้วยังยั่วยวนชายอื่นอีก พี่เขย ศักดิ์ศรีของท่านอยู่ที่ใด? ” หนานกงหว่านเอ๋อร์พูด

“พี่เขย? ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองเยี่ยโยวเหยา แน่นอน นางรู้ว่าตนเองไม่มีทางมีน้องสาวอย่างหนานกงหว่านเอ๋อร์ผู้นี้แน่

อย่างไรก็ตาม คำที่เรียกว่า ‘พี่เขย’ มาได้อย่างไร?

“ถูกต้อง! ” หนานกงหว่านเอ๋อร์เห็นใบหน้าสงสัยของซูจิ่นซี ก็รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาต้องปิดบังเรื่องบางอย่างกับซูจิ่นซีเป็นแน่ จึงแสดงท่าทางลำพองใจมากขึ้นไปอีก “ท่านอ๋องกับพี่สาวของข้า หนานกงลั่วอวิ๋นได้หมั้นหมายกันมานานแล้ว พวกเขาเป็นคนรักในวัยเด็ก เรื่องนี้พี่เขยของข้าไม่ได้บอกเจ้าหรือ! ”

ในที่สุดซูจิ่นซีก็นึกออก!

หนานกงลั่วอวิ๋นที่เคยปรากฏตัวในวังหลวงแคว้นจงหนิง ต่อมาแม่นางหนานกงยังเดินเที่ยวเล่นกับเยี่ยโยวเหยาอีก

แม่นางหนานกงจากไปแล้ว ตอนนี้ยังมีแม่นางน้อยผู้นี้เพิ่มขึ้นมาอีกคน สตรีข้างกายเยี่ยโยวเหยามีมากมายเสียจริง

เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ สตรีใดจะสบายใจได้?

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วพลางมองเยี่ยโยวเหยาโดยไม่พูดอันใด ทว่า ‘ศัตรู’ อยู่ตรงหน้า ตอนนี้นางไม่อาจแสดงความอ่อนแอได้ ยิ่งไม่อาจเสียหน้าได้ รอให้จัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อย แล้วค่อยคิดบัญชีอีกครั้งก็ยังไม่สาย

“โอ้! ข้าว่า! แม่นางหนานกงหรือ? ข้าจำได้! นางเคยไปที่เมืองหลวงแคว้นจงหนิงนี่! ทว่า… ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “หากข้าจำไม่ผิด พี่สาวของท่านกับสามีข้า ยังไม่ได้เข้าพิธีสมรสกระมัง? ในเมื่อยังไม่ได้เข้าพิธีสมรส ก็เป็นเพียงการหมั้นหมาย เรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่แน่! ท่านอย่าได้เที่ยวเรียกบุรุษอื่นว่าพี่เขย ผู้อื่นจะมองว่าพี่สาวของท่านหน้าตาอัปลักษณ์ ถึงได้แต่งไม่ออก”

เดิมทีเยี่ยโยวเหยาจะเอ่ยปากตำหนิหนานกงหว่านเอ๋อร์ จากนั้นค่อยอธิบายให้ซูจิ่นซีเข้าใจ ทว่าเมื่อเห็นซูจิ่นซีพูดออกมาเช่นนี้แล้ว เขาจึงไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงยืนกอดอกอยู่ด้านข้าง มองซูจิ่นซีอย่างสนใจว่านางจะตอบโต้อย่างไร

สตรีผู้นี้ มักใช้วิธีการเดียวกันในการรับมือกับผู้ที่นางคิดว่าเป็นปรปักษ์เสมอ!

“พี่สาวของข้าหน้าตาอัปลักษณ์? แต่งไม่ออก? ซูจิ่นซี ข้าว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นคงเป็นตัวเจ้าเองเสียมากกว่ากระมัง? ไม่ทราบว่าผู้ใดที่ถูกร่ำลือว่าหน้าตาอัปลักษณ์และโง่เขลากัน? เจ้าหรือจะคู่ควรกับพี่เขยของข้า ใครๆ ต่างก็รู้! พี่สาวข้าและพี่เขยได้หมั้นหมายตามคำของบิดามารดา แม้เจ้าจะแต่งงานกับพี่เขยก่อน ทว่าหลังจากพี่สาวข้าแต่งงานเข้าเรือนไป นางก็จะเป็นพระชายาเอก เจ้าเป็นได้เพียงอนุเท่านั้น”

หมั้นหมายตามคำของบิดามารดา

เยี่ยโยวเหยาไม่ได้บอกเรื่องเหล่านี้กับนาง

เรื่องนี้ ซูจิ่นซีไม่สามารถเถียงชนะอีกฝ่ายได้แน่นอน

เมื่อเห็นซูจิ่นซีชะงักไปครู่หนึ่งและไม่พูดอันใด หนานกงหว่านเอ๋อร์ก็ยิ่งได้ใจ คิดว่าตนพูดทิ่มแทงให้ซูจิ่นซีเจ็บปวด จึงเปิดเผยเรื่องราวน่าอับอายของซูจิ่นซีต่อ

“ยังมีอีก! ข้าได้ยินมาว่า ตอนที่เจ้าแต่งงานกับพี่เขยของข้านั้น พี่เขยไม่มีแม้แต่งานเลี้ยงหรือพิธีสมรสอันใด! ยิ่งไม่มีการเตรียมขบวนต้อนรับ กระทั่งขบวนต้อนรับและขบวนส่งตัว จวนสกุลซูของเจ้าก็เป็นฝ่ายออกเงินและหาคนมาจัดการทั้งหมด ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” หนานกงหว่านเอ๋อร์พูดพลางหัวเราะพลาง “อัฐยายซื้อขนมยาย! ซูจิ่นซี เจ้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก เรื่องเช่นนี้ จวนสกุลซูของพวกเจ้ายังทำไปได้ ช่าง… เป็นคนชั้นต่ำเสียจริง”

เรื่องเหล่านี้เป็นความจริง และเป็นเรื่องที่ซูจิ่นซีรู้สึกเจ็บปวดใจและไม่อาจปิดบังได้ แม้นางไม่เคยเห็นว่าเรื่องนี้เป็นปมด้อย ทว่าวันนี้กลับถูกหนานกงหว่านเอ๋อร์เปิดเผยออกมาต่อหน้าผู้คน ทั้งยังเปิดเผยต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาอีกด้วย ราวกับนางกรีดบาดแผลในใจของซูจิ่นซีอีกครั้ง เท่านั้นไม่พอ นางยังเอาเกลือโรยลงบนบาดแผลอีก

ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าตอนนี้เยี่ยโยวเหยาคิดอย่างไร ยิ่งไม่กล้าหันศีรษะไปมองเขา

แม้แต่คำมั่นสัญญาว่าชอบเพียงคำเดียว เยี่ยโยวเหยายังไม่ยอมพูดออกมา ยิ่งไปกว่านั้น หนานกงหว่านเอ๋อร์ยังเรียกเขาว่าพี่เขยอีก ทั้งนางยังพูดถึงหนานกงลั่วอวิ๋น ทว่าเยี่ยโยวเหยาก็ไม่เอ่ยปากพูดแก้ตัวแม้แต่น้อย แม่นางหนานกงลั่วอวิ๋นผู้นั้น คงมีความสำคัญยิ่งกว่านางกระมัง? แม้เยี่ยโยวเหยาจะเคยพูดคำมั่นสัญญากับนางเพียงครั้งเดียวในชีวิต ทว่านางกลับมองไม่เห็นความหวัง มองไม่เห็นความรัก มองไม่เห็นคำสัญญาจากใจจริง ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่ไม่อาจจับต้อง ไม่มีวันเป็นจริง

ซูจิ่นซีกลัวว่าหากนางหันศีรษะไป สิ่งที่มองเห็นจะทำให้นางต้องรู้สึกผิดหวัง

แม้นางจะตัวเล็ก แต่เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นกลับเข้มแข็งมั่นคงไม่ด้อยไปกว่าฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังเหนือกว่าหนานกงหว่านเอ๋อร์ถึงหนึ่งระดับด้วยซ้ำ

“หนานกงหว่านเอ๋อร์ พวกเรามาเดิมพันกันเป็นเช่นไร? ”

“เดิมพัน? ”

หนานกงหว่านเอ๋อร์ยกยิ้มมุมปากเยาะเย้ย

“ในเมื่อก่อนหน้านี้ผู้ดูแลบอกไว้ว่า เชียนเหนียนเจี้ยน สือชีจ่ง และหลิวจี้หนู สมุนไพรทั้งสามชนิดนี้อยู่ที่หุบเขาเทพโอสถ เช่นนั้นพวกเราก็มาแข่งกัน หากผู้ใดเก็บยาสมุนไพรทั้งสามชนิดนี้ได้ก่อน สมุนไพรทั้งสามชนิดก็จะตกเป็นของคนผู้นั้น เป็นเช่นไร? ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” หนานกงหว่านเอ๋อร์ยืนเอามือเท้าเอวหัวเราะเยาะเย้ย ทว่าน้ำเสียงกลับไร้พลัง “ศิษย์น้องเล็กจิ่นซีของข้า ศิษย์พี่หญิงคงฟังไม่ผิดไปใช่หรือไม่? เจ้าจะแข่งเก็บยาสมุนไพรกับข้า เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า ตอนที่ต่อสู้จัดอันดับในสำนักแพทย์เทียนอีเหมิน เจ้าพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเพียงใด? ตอนนั้นเพียงสมุนไพรซานชีและจื่อหู เจ้ายังแยกไม่ออกเลย! เจ้าแน่ใจหรือว่าจะแข่งกับข้าจริงๆ ? ศิษย์พี่หญิงได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันจัดอันดับของสำนักแพทย์เทียนอีเหมินเชียวนะ”

เมื่อก่อนเป็นเช่นไร ซูจิ่นซีจำไม่ได้จริงๆ ทว่าฟังจากคำพูดของหนานกงหว่านเอ๋อร์ ความสามารถของนางในสำนักแพทย์เทียนอีเหมินดูไม่เลวเลยทีเดียว

“พูดอันใดตั้งมากมาย? จะแข่งหรือไม่? ”

ซูจิ่นซีมองหนานกงหว่านเอ๋อร์ด้วยสีหน้ายั่วยุ

“แข่ง! เหตุใดจะไม่แข่งเล่า? เพื่อให้ศิษย์น้องยินยอมทั้งใจและกาย วันนี้ศิษย์พี่หญิงต้องคว้าสมุนไพรทั้งสามชนิดให้ได้ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนศิษย์พี่อย่างข้ารังแกเจ้า ทว่าความสามารถทางวิชาแพทย์และการแยกแยะตัวยาของเจ้าแย่ยิ่งนัก หากแพ้แล้ว เจ้าก็อย่ากลับไปฟ้องเจ้าสำนักว่าศิษย์พี่หญิงรังแกเจ้าก็แล้วกัน”

ซูจิ่นซียกยิ้มอย่างมีเลศนัย ทว่าไม่ได้พูดอันใด

“จอมวายร้าย มีเวลาหนึ่งชั่วยาม จุดธูปได้” ซูจิ่นซีพูดกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าที่ยืนอยู่ด้านข้าง

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าหัวเราะแหะๆ “แม่นางพิษน้อย ความจริงแม้พวกเจ้าไม่แข่งขันกัน พี่จุนก็จะมอบสมุนไพรให้เจ้าอยู่แล้ว เจ้าเป็นสุดที่รักของพี่จุน พี่จุนจะเลือกปฏิบัติได้อย่างไร? ”

“พูดจาไร้สาระเพื่ออันใด? หุบเขาเทพโอสถไม่มีธูปหรือ? ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูเจ้าพูดสิ แม้พี่จุนจะยากจนอย่างไร ก็ไม่ขาดในสิ่งที่เจ้าต้องการ! ”

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดพลางขยิบตาให้ผู้ดูแล จากนั้นผู้ดูแลจึงรีบออกไปเตรียมธูป

จากความยาวของธูปที่ผู้ดูแลจัดเตรียมไว้ ทั้งความแข็งและวัสดุ กอปรกับทิศทางลมของวันนี้ คาดคะเนคร่าวๆ ว่าหนึ่งชั่วยามต้องใช้ธูปสี่ดอก

“ศิษย์พี่ใหญ่จงจิงเฉิน ใช่หรือไม่? ” เนื่องจากคนผู้นี้แซ่จง ซูจิ่นซีจึงตั้งใจจดจำชื่อของเขาเอาไว้ “หากท่านกลัวว่าหนานกงหว่านเอ๋อร์จะหายาสมุนไพรไม่พบ หรือกลัวว่าข้าจะหาพบก่อน ท่านก็สามารถร่วมมือกับนางได้”