“น่าขัน ซูจิ่นซี เจ้าพูดว่าข้าจะถูกเจ้าแย่งไปก่อนอย่างนั้นหรือ? เจ้ากับจอมวายร้ายไป๋เฉ่ามีความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้ มิสู้เจ้าแอบถามเขาก่อนก็ได้ว่ายาสมุนไพรอยู่ที่ใด! ”
หลังสิ้นเสียงพูดของหนานกงหว่านเอ๋อร์ จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพลันหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “อันที่จริงก็เป็นความคิดที่ดี แม่นางพิษน้อย… ”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่ายังไม่ทันพูดจบ ซูจิ่นซีก็ดึงชายเสื้อของเขาขึ้นมาอุดปากเขาเอาไว้
“ในเมื่อข้าเป็นผู้เสนอการแข่งขันครั้งนี้ ย่อมต้องแข่งขันกันอย่างยุติธรรม ข้าจะโกงได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึง… ” ซูจิ่นซีมองไปทางจอมวายร้ายไป๋เฉ่าด้วยสายตารังเกียจ “ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและเขา ไม่ได้สนิทสนมกันอย่างที่เจ้าคิด”
“ช่างไร้ยางอาย! ”
ไม่รู้ว่าหนานกงหว่านเอ๋อร์หมายถึงจอมวายร้ายไป๋เฉ่าหรือซูจิ่นซีกันแน่ ถึงได้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสบถสี่คำนี้ออกมา
“ศิษย์น้องเล็กวางใจได้ ในเมื่อเป็นการแข่งขันระหว่างสตรีทั้งสอง ศิษย์พี่อย่างข้าจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ศิษย์พี่จะคอยดูการแข่งขัน ให้โยวอ๋องกับเจ้าหุบเขาเป็นกรรมการ”
หากเป็นเช่นนี้ก็ดีมาก
ความจริงแล้ว เมื่อครู่ซูจิ่นซีจงใจพูดกระตุ้นจงจิงเฉิน นางรอคำพูดประโยคนี้ของจงจิงเฉินอยู่ เพียงจงจิงเฉินไม่เข้ามายุ่งในการแข่งขัน ถึงเวลานั้นหนานกงหว่านเอ๋อร์ต้องตกที่นั่งลำบากแน่นอน
“ศิษย์น้องเล็ก หากศิษย์พี่หญิงอย่างข้าจำไม่ผิด เจ้าไม่มีวรยุทธ์ หุบเขาเทพโอสถกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่ายาสมุนไพรทั้งสามชนิดอยู่ที่เขาลูกใด นอกจากนั้นเจ้ายังไม่มีวิชาตัวเบา ต้องเปลืองแรงและกำลังอย่างมาก เช่นนั้นศิษย์พี่หญิงให้เวลาเจ้าเริ่มก่อนหนึ่งก้านธูป ดีหรือไม่? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก “ไม่จำเป็น หากข้าแพ้ ข้าก็ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี เจ้าก็คงเหมือนกันใช่หรือไม่? ”
หนานกงหว่านเอ๋อร์มั่นใจอย่างมากว่าตนเองไม่มีทางพ่ายแพ้ต่อซูจิ่นซี จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอน! ”
“เยี่ยม เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มพร้อมกัน หลังจากนับหนึ่งถึงสามแล้วก็ออกเดินทาง ดีหรือไม่? ”
“ตกลง! ”
จากนั้นซูจิ่นซีและหนานกงหว่านเอ๋อร์ก็เดินไปที่หน้าประตูพร้อมกันเพื่อเตรียมพร้อม
“รบกวนพี่เขยและทุกคนเป็นพยาน พี่เขย แม้ศิษย์น้องเล็กจะแต่งงานกับท่าน ทว่าพี่สาวข้าได้หมั้นหมายกับท่านไว้แล้ว ถึงตอนที่พระชายาของท่านพ่ายแพ้ ท่านก็อย่าเลือกปฏิบัติเล่า! ” หนานกงหว่านเอ๋อร์ลำพองใจอย่างมาก
ใบหน้าเยี่ยโยวเหยาเคร่งขรึม ไม่ได้พูดอันใด
“หนึ่ง! ”
“สอง! ”
“สาม! ”
ซูจิ่นซีและหนานกงหว่านเอ๋อร์นับพร้อมกัน เมื่อนับถึงสาม หนานกงหว่านเอ๋อร์ก็ใช้วิชาตัวเบา เพียงชั่วพริบตา นางก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ทว่า…
ซูจิ่นซียังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังใช้มือบังแสงแดด มองไปทางหนานกงหว่านเอ๋อร์ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายร่างของหนานกงหว่านเอ๋อร์ก็กลายเป็นจุดสีขาวและเลือนหายไป ซูจิ่นซีส่ายศีรษะอย่างเชื่องช้าพลันสูดหายเข้าลึกๆ
“ศิษย์น้องเล็ก แม้วิชาตัวเบาของศิษย์พี่เจ้าจะไม่เลว ทว่าเจ้าอย่าได้ท้อแท้หมดกำลังใจ! ดังคำกล่าวที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ใดความสำเร็จอยู่ที่นั่น เจ้าออกไปตอนนี้อาจไล่ตามทัน” จงจิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดปลอบใจซูจิ่นซีศิษย์ร่วมสำนักอย่างจริงใจ
น่าเสียดายที่ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจเขา
“แม่นางพิษน้อย หุบเขาเทพโอสถเป็นของพี่จุน พี่จุนคุ้นเคยสถานที่แห่งนี้ดีที่สุด เจ้าจะไปหาที่แห่งใด พี่จุนจะแบกเจ้าไปเอง! วิชาตัวเบาของพี่จุนนั้นยอดเยี่ยมมาก เจ้าก็เคยเห็นมาแล้ว”
ซูจิ่นซีไม่สนใจจอมวายร้ายไป๋เฉ่าเช่นกัน นางหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง
“ผู้ดูแล เจ้าชงชาได้หรือไม่? หลายวันมานี้ข้ารีบเร่งออกเดินทาง ทำให้เหน็ดเหนื่อยและกระหายน้ำอยู่บ้าง”
ผู้ดูแลมองจอมวายร้ายไป๋เฉ่า
ใบหน้าของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าปรากฏความอึดอัด ทว่ายังคงส่งเสียงหัวเราะ “ไป! ไปเอาชาเข็มเงินจวินซานที่ข้าชอบที่สุดมาเดี๋ยวนี้” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดพลางหันไปมองซูจิ่นซี “แม่นางพิษน้อย เจ้าคงไม่รู้ ชาเข็มเงินจวินซานนี้ พี่จุนเพิ่งคิดค้นขึ้นมาเมื่อหลายวันก่อน มีคุณสมบัติทำให้ผิวพรรณงดงาม! หลังจากดื่มไปแล้ว ไม่เพียงทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลเท่านั้น ยังทำให้นอนหลับสบายอีกด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า ร่างกายของเขาก็กระเด็นลอยออกไปตกลงด้านนอกเรือน
สีหน้าเยี่ยโยวเหยายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาดึงฝ่ามือกลับมา
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดจาแทะโลม ทำตัวสนิทสนมกับซูจิ่นซีเช่นนี้ เยี่ยโยวเหยารู้สึกขุ่นเคืองตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ง่ายเลยที่เขาจะอดกลั้นมาถึงตอนนี้ เมื่อครู่จอมวายร้ายไป๋เฉ่ายังกล้าพูดจาทำตัวใกล้ชิดกับซูจิ่นซีอีก หากไม่โดนซัดสักทีถึงจะแปลก
“บัดซบ! เยี่ยโยวเหยา เจ้าลงมือกับข้าอีกแล้ว ข้าไปทำอันใดให้เจ้าโกรธเคืองหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยายืนอย่างมั่นคง ยกสองมือไพล่หลังด้วยสีหน้าเย็นชาและไม่พูดอันใด
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าลุกขึ้นจากพื้น เดินขากะเผลกเข้าไปในห้อง ปากยังพูดพึมพำ “เจ้ามีภรรยาสามอนุสี่ ข้างนอกยังมีคณิกาแต่งตัวฉูดฉาด ทว่าไม่ยอมให้แม่นางพิษน้อยบ้าง จริงๆ เลย… กดขี่ข่มเหงทำตามอำเภอใจตนเอง แต่ไม่ยอมให้ผู้อื่นมีสิทธิ์”
“ไปเอาชาหลงจิ่งซีหูก่อนฝนพรำมา และต้องเป็นชาใหม่ของปีนี้”
เยี่ยโยวเหยาต้องการชาคุณภาพสูง เขาหันหลังเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ในห้องและพูดกับผู้ดูแล
ใบหน้าซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความโกรธเคือง นางหันหลังเดินเข้าไปในห้องและนั่งลงบนเก้าอี้เช่นกัน “ข้าจะดื่มชาเข็มเงินจวินซาน”
ผู้ดูแลมึนงงเล็กน้อย ไม่รู้จะฟังผู้ใด จึงมองจอมวายร้ายไป๋เฉ่าด้วยใบหน้าโง่เขลา
จอมวายร้ายไป๋เฉ่ามองซูจิ่นซีอย่างคาดไม่ถึง เมื่อเห็นแววตาซักถามของผู้ดูแล จึงตะโกนไปคำหนึ่งว่า “รีบไป! ไปชงชาเข็มเงินจวินซานมา ยืนเหม่อทำอันใดอยู่อีก? ”
“ขอรับ ขอรับ! ”
ผู้ดูแลรีบหันหลังเดินไป จอมวายร้ายไป๋เฉ่ายังพูดเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “นำชาหลงจิ่งซีหูก่อนฝนพรำมาให้โยวอ๋องด้วยหนึ่งกา”
จากนั้นก็มองเยี่ยโยวเหยาด้วยใบหน้าสาแก่ใจ
แน่นอนว่าเยี่ยโยวเหยาไม่มีทางโต้เถียงเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า
เขามองซูจิ่นซีด้วยแววตาลึกซึ้ง ระหว่างที่ซูจิ่นซีกำลังแข่งขันกับหนานกงหว่านเอ๋อร์ เขาต้องระงับอารมณ์บางอย่างที่ซับซ้อนเอาไว้
เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูปแล้ว ซูจิ่นซียังคงดื่มน้ำชา ผ่านไปอีกครึ่งก้านธูป ผู้ดูแลต่อก้านธูปดอกต่อไป ซูจิ่นซีก็ยังดื่มชาอยู่เช่นเดิม
เยี่ยโยวเหยาไม่เข้าใจว่าซูจิ่นซีคิดทำอันใดกันแน่
แม้แต่จงจิงเฉินยังอดเป็นห่วงซูจิ่นซีไม่ได้ “ศิษย์น้องเล็ก ความจริงแล้ว แม้วรยุทธ์และวิชาแพทย์ของศิษย์พี่เจ้าจะสูงกว่าเจ้า แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัว! หากเจ้ากลัวว่าตนเองจะกลับมามือเปล่า เจ้าสามารถยอมแพ้ต่อศิษย์พี่หญิงได้ อย่ามองว่าศิษย์พี่หญิงปากคอเราะร้าย นางหาได้เป็นคนใจร้ายไม่ หากเจ้ายอมแพ้ แม้นางไม่ยอมแบ่งสมุนไพรให้เจ้า ทว่าเจ้าต้องการเท่าไร ศิษย์พี่จะแบ่งให้เจ้าส่วนหนึ่ง”
“ผู้ใดบอกว่าข้ากลัวหรือ? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย มองจงจิงเฉินด้วยสีหน้าราวกับผู้บริสุทธิ์
จงจิงเฉินมีท่าทีอึดอัดใจ ว่าไปแล้ว เขาไม่เห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าซูจิ่นซีแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ในใจของเขาแอบคิดว่าซูจิ่นซีต้องแสร้งทำแน่นอน ต้องใช่แน่ๆ
ทว่าจอมวายร้ายไป๋เฉ่าไม่ได้คิดเช่นนั้น
เมื่อเวลาผ่านไปแต่ละนาที แต่ละวินาที สีหน้าซูจิ่นซียิ่งสงบนิ่งมากขึ้น จอมวายร้ายไป๋เฉ่าเริ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ตามความเข้าใจของเขาที่มีต่อซูจิ่นซี สตรีนางนี้มักมีวิธีการที่น่าทึ่ง นางไม่ยอมเสียเปรียบอย่างแน่นอน หนานกงหว่านเอ๋อร์ สตรีไร้สมองนางนั้นออกไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว เวลานี้นางคงกำลังค้นหาสมุนไพรอยู่บนภูเขา ทว่าสตรีนางนี้กลับนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปที่แห่งใดเลย นางคงไม่ได้ล่วงรู้อันใดเข้ากระมัง?
เวลาผ่านไปอีกครึ่งก้านธูป ซูจิ่นซียังคงไม่ขยับเขยื้อน
นางกำลังคิดอันใดอยู่?
การอยู่เฉยสามารถเอาชนะหนานกงหว่านเอ๋อร์ได้หรือ?
หนานกงหว่านเอ๋อร์มีวิชาแพทย์เป็นเลิศ วรยุทธ์ก็ยอดเยี่ยม ทั้งยังขยันพากเพียรอีกด้วย นางใช้ความพยายามในการตามหาสมุนไพรบนภูเขาเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปครึ่งแล้ว!