ภาค 3 บทที่ 187 มือยกขึ้นมีดาบร่วงหล่น

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ตั้งแต่หลังชาวจินบุกมา ไช่โถวรู้สึกว่าชีวิตฉับพลันสบายขึ้นมา 

 

 

ก่อนหน้านี้เขาขายแรงงานอยู่ในเมือง ใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัข เมื่อแดนเหนืออยู่ในภาวะฉุกเฉิน ประชาชนบ้างถอยหลบไปในเมือง บ้างหนีลงใต้ มองดูคนที่สูงส่งเหนือกว่าเหล่านี้กลายเป็นหวาดหวั่นวิตก ในใจไช่โถวพลันเบิกบานยิ่ง 

 

 

เขาหนีออกนอกเมือง ก่อนอื่นแย่งชิงสัมภาระของชาวบ้านหลายคนระหว่างทางเป็นระยะ ชาวบ้านไม่กล้าขัดขืน ส่วนทางการก็ไม่สนใจ เขาจึงฉุกคิดได้ว่าวันเวลาดีๆ ของตนเองมาแล้ว 

 

 

เขารวบรวมสมัครพรรคพวก เริ่มปล้นชิงตามรายทาง ชาวบ้านที่หนีตายหัวใจหวาดหวั่นเทียบกับวันวานยิ่งรังแกง่าย ส่วนทางการก็ยุ่งอยู่กับการการระวังชาวจิน คร้านจะสนใจพวกเขาโจรขโมยเหล่านี้ 

 

 

ไม่ปล้นไม่รู้ ที่แท้ชาวบ้านแดนเหนือพวกนี้รวยขนาดนี้ ครึ่งเดือนมานี้พวกเขาใช้ชีวิตกินเนื้อทุกวันเป็นเจ้าบ่าวทุกคืน 

 

 

แน่นอนไม่ใช่ไม่มีคนขัดขืน แต่ที่ผ่านมาก่อนปล้นพวกเขาล้วนเลือกก่อน คนรวยที่มีผู้คุ้มกันพวกนั้นพวกเขาย่อมไม่ไปก่อกวน จัดการแต่คนที่ดูแล้วเป็นคนชนบทที่หลงอยู่เดี่ยวๆ หรือมือเปล่าไร้อาวุธเหล่านั้นเท่านั้น 

 

 

ทุกวันนี้แกะอ้วนเช่นนี้ยิ่งหายากขึ้นทุกทีแล้ว ที่หนีได้ล้วนหนีไปหมดแล้ว พวกเขาไม่ได้เปิดกิจการมาสองวันแล้ว 

 

 

คิดไม่ถึงยามพลบค่ำมาเยือนถึงกับพบคนกลุ่มนี้ 

 

 

บุรุษสี่ห้าคน สวมเสื้อผ้าธรรมดา สีหน้าเต็มไปด้วยความบ้านๆ มองปุบก็เป็นชาวเขาที่ทั้งปีอยู่ในสถานที่ห่างไกลไม่ออกมา 

 

 

จำนวนคนไม่มาก นอกจากนี้บนหลังม้ายังขนสัมภาระอยู่ นอกจากนี้ยังมีเด็กสาวอายุน้อยคนหนึ่งเดินทางมาด้วย 

 

 

นี่เป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่จริงๆ 

 

 

ไช่โถวกระโดดออกมา เตรียมตัวเอ่ยทางเส้นนี้ข้าบุกเบิกต้นไม้นี้ข้าโค่นประโยคนั้น แต่เขายังไม่ทันอ้าปาก ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงอ่อนโยนโพล่งประโยคเช่นนี้ออกมาประโยคหนึ่ง 

 

 

ฆ่าพวกเขา? 

 

 

ฆ่าใคร? หมายความว่ายังไง? 

 

 

ไช่โถวตะลึงอยู่บ้างก็เห็นบุรุษที่ใบหน้าบ้านๆ โง่งมหลายคนนั้นพลิกกายลงจากม้าพลางชักใต้ท้องม้าทีหนึ่ง ก้าวเท้ากระโจนทีหนึ่งพร้อมกัน คล้ายกับพริบตาเดียวคนก็พุ่งมาถึงตรงหน้าเขา 

 

 

ที่ตามคนมาด้วยยังมีดาบ 

 

 

ดาบ…วาววับ 

 

 

ดาบ! 

 

 

ไช่โถวเบิกตาโต 

 

 

คนพวกนี้ก็เป็นโจรด้วยหรือ? 

 

 

เขาอ้าปากจะร้องตะโกน พลันรู้สึกว่าฟ้าดินพลิกกลับ คนในสายตากลายเป็นพร่ามัวต่ำเตี้ย 

 

 

เกิดอะไรขึ้น? 

 

 

ทำไมเขาลอยขึ้นมา? 

 

 

นี่คือความคิดสุดท้ายของไช่โถว 

 

 

ศีรษะของไช่โถวร่วงลงพื้นกลิ้งหลุนๆ พวกผู้ชายที่ติดตามเขาตอนนี้ถึงได้สติกลับมา พวกเขาส่งเสียงร้องตกใจทีหนึ่ง ยกดาบเข้าสู้สะเปะสะปะ 

 

 

แต่บุรุษหลายคนนั้นเรียงแถวพุ่งมาถึงหน้าร่างแล้ว ดาบฟันลงมาพรึบพร้อมเพรียง ดูไปแล้วธรรมดาไม่แปลกประหลาด แต่พวกเขากลับไม่อาจรับมือได้ 

 

 

นี่คือเจอเพื่อนร่วมสายงานรึ? นอกจากนี้ยังเป็นเพื่อนร่วมสายงานที่ร้ายกาจยิ่งด้วย? 

 

 

“เข้าใจผิด .. ผู้กล้า…ไว้…” 

 

 

เสียงตะโกนเพิ่งออกจากปากก็พลันหยุดไป ดาบหลายเล่มแทงเข้าไปในหน้าอกของบุรุษหลายคนนี้อย่างแม่นยำ ชักออกมาอีกครั้งเลือดสาดกระเซ็น คนโถมคว่ำไปกับพื้นชักกระตุกพักหนึ่งก็นิ่งไม่ขยับแล้ว 

 

 

ตั้งแต่บุรุษเจ็ดคนนี้กระโดดออกมาจนถึงตายบนพื้น เป็นเวลาเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น 

 

 

เหลยจงเหลียนถึงกับทันแค่ลงจากม้า ดาบในมือยังไม่ทันชักออกมา 

 

 

รุนแรงเหลือเกิน 

 

 

มองพวกหยางจิ่งห้าคนที่เก็บดาบยืนตัวตรง เหลยจงเหลียนในใจมีเพียงความคิดนี้ 

 

 

นี่คือครั้งแรกที่เห็นพวกเขาฆ่าคน 

 

 

ก่อนหน้านี้อยู่ในนาเห็นพวกเขาแกว่งเครื่องมือเพาะปลูกไม่รู้สึกอะไร ที่แท้วางเครื่องมือเพาะปลูกลงเปลี่ยนเป็นดาบน่าตะลึงปานนี้ 

 

 

ที่ทำให้คนตะลึงยิ่งกว่าก็คือความเร็วปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อพวกเขาได้ยินคำสั่ง 

 

 

คุณหนูจวินไม่ได้ตกตะลึง คล้ายนี่เป็นสิ่งสมควร 

 

 

“บ้านเมืองมีภัย คนเหล่านี้ไม่ไปสังหารชาวจิน เอาแต่รังแกคนของตนเอง” นางกวาดมองศพบนพื้นท่าทางเย็นชาอยู่บ้าง “พวกสวะเดรัจฉานจริงๆ” 

 

 

พูดจบก็มองป่าข้างทางทีหนึ่ง 

 

 

“แขวนพวกเขาไว้บนถนน เป็นการเตือน” 

 

 

ครั้งนี้เหลยจงเหลียนไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกแล้ว ติดตามพวกหยางจิ่งแขวนบุรุษหลายคนนี้ไว้บนต้นไม้ข้างทางอย่างฉับไว ศีรษะที่กลิ้งอยู่ของไช่โถวก็ถูกเก็บขึ้นมาโยนไว้บนต้นไม้ด้วย 

 

 

คุณหนูจวินมองก็ไม่มองศพเหล่านี้อีกสักที ควบม้าไปข้างหน้า คนทั้งคณะหายไปท่ามกลางแสงอัสดงอย่างรวดเร็วยิ่งนัก 

 

 

ความมืดครอบทับทางเส้นนี้ยิ่งไม่มีคนเดินทาง จนกระทั่งฟ้าสว่างแจ้งวันรุ่งขึ้น บนทางถึงปรากฏคนเดินทาง 

 

 

นี่เป็นบุรุษสตรีผู้เฒ่าเด็กน้อยสิบเจ็ดสิบแปดคนกลุ่มหนึ่ง สะพายสัมภาระห่อใหญ่ห่อน้อยไว้ เห็นชัดยิ่งว่ากำลังมุ่งไปที่เมือง 

 

 

แววตาของพวกเขาหวาดกลัว สอดส่องมองซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง 

 

 

“ได้ยินว่าโจรกลุ่มนั้นเคลื่อนไหวอยู่บนทางเส้นนี้นี่แหละ” สตรีคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา จูงเด็กน้อยข้างตัวไว้แน่น 

 

 

“ไม่เป็นไร พวกเราคนมาก” ผู้เฒ่าอายุมากคนหนึ่งเอ่ย แม้พูดอย่างสบายใจ แต่ในดวงตากลับวิตกอยู่บ้าง 

 

 

คนมากอีกเท่าใดก็เป็นเพียงผู้เฒ่าเด็กน้อยสตรี ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของบุรุษเยาว์วัยเรี่ยวแรงมากเหล่านั้นได้ 

 

 

“ชักช้าไม่ได้อีกแล้ว” บุรุษอีกคนเอ่ยเสียงเบา “คนรอบด้านล้วนไปหมดแล้ว พวกเราไม่ไปอีก รอสถานการณ์ตึงเครียดกว่านี้ก็ไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้เสี่ยงดวงเถอะ” 

 

 

“ถูกต้อง ข้าได้ยินว่าไช่โถวคนกลุ่มนี้เมื่อวานไปทางฝั่งตะวันออกของเมือง วันนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเรารีบเดินทางหน่อย ถึงถนนใหญ่ก็ปลอดภัยแล้ว” มีคนรีบพยักหน้าเอ่ยตาม 

 

 

ทุกคนก็แค่ปลอบกันและกันเท่านั้น ทางควรเดินก็ต้องเดิน 

 

 

โชคดีที่เดินมาตลอดทางไม่พบคนกระโดดออกมาจริงๆ 

 

 

อย่ามีคนเลยนะ อย่ามีคนเลยนะ ยิ่งเข้าใกล้สถานที่ซึ่งลือกันว่าโจรปรากฏตัว ในใจผู้คนยิ่งเร่งภาวนา 

 

 

ฉับพลันเด็กน้อยคนหนึ่งก็ร้องขึ้น 

 

 

“มีคน” 

 

 

เสียงนี้ทำทุกคนขวัญกระเจิง สตรีสองคนยิ่งแข้งขาอ่อนทรุดนั่งกับพื้น พวกบุรุษที่เดินอยู่สองด้านหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงไว้ได้ อดกลั้นความตระหนกมองไปรอบด้าน 

 

 

บนถนนว่างเปล่าไม่มีคนสักนิด 

 

 

“ร้องส่งเดชอะไร? เจ้าเห็นผีรึ มีคนที่ไหน” พวกผู้ชายโล่งอก ด่าเด็กตรงกลางอย่างโมโห 

 

 

เด็กน้อยคนนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา ยื่นมือชี้ต้นไม้ใหญ่ข้างทาง 

 

 

“บนต้นไม้” เขาเอ่ยเสียงสั่น 

 

 

บนต้นไม้? 

 

 

ทุกคนสนแต่เพียงหน้าหลังสองด้าน กลับไม่ได้สนใจข้างบน 

 

 

หรือว่าโจรเหล่านี้เริ่มซ่อนบนต้นไม้แล้ว? 

 

 

ทุกคนใจผวาขวัญสะท้านเงยหน้ามองไป จากนั้นเบิกตาโตทันที พวกผู้หญิงยิ่งส่งเสียงร้องผวา 

 

 

บนต้นไม้ถึงกับแขวนศพอยู่เจ็ดร่าง มีศพหนึ่งร่างยังแยกออกจากกัน 

 

 

น่ากลัวเกินไปแล้ว! 

 

 

โกลาหลถึงขั้นนี้แล้วหรือ? 

 

 

“นั่นคือพวกไช่โถว” บุรุษคนหนึ่งพลันตะโกน 

 

 

โจรกลุ่มนั้น? 

 

 

ประโยคนี้ทำให้ทุกคนพากันมองไปด้านหน้า ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านี่ก็คือโจรที่ไม่มีความชั่วใดไม่กระทำพวกนั้น ก็พลันยินดีกันถ้วนหน้า 

 

 

“ขอบคุณสวรรค์” มีผู้เฒ่าหลายคนคุกเข่าโขกศีรษะ “จัดการภัยเดรัจฉานพวกนี้” 

 

 

“นี่เกี่ยวอะไรกับสวรรค์ ต้องเป็นทางการทำแน่” มีพวกผู้ชายโต้แย้งทันที สีหน้าผ่อนคลายทั้งยังดีใจ “มีทางการเช่นนี้อยู่ พวกเราไม่มีสิ่งใดน่ากังวล แดนเหนือต้องปลอดภัยแน่” 

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไม่ผิดไม่ผิด” 

 

 

“ทุกคนรีบหน่อยไปในเมือง” 

 

 

คนกลุ่มหนึ่งดีอกดีใจประคองกันก้าวไวๆ เดินไปข้างหน้า 

 

 

ส่วนในเวลานี้เมืองไคเต๋อที่ค่อนไปทางใต้ยิ่งกว่าเมืองชิ่งหยวน ชาวบ้านทั้งหลายกลับไม่ได้ยินดีเช่นนี้ รอบด้านไม่ค่อยเห็นร่องรอยคน กวาดสายตามองไกลออกไป หมู่บ้านพังเสียหาย มีควันดำที่ยังไหม้ไม่หมดลอยขึ้นมา เป็นภาพที่วังเวงภาพหนึ่ง 

 

 

จากทิศทางที่ควันดำลอยขึ้นมาด้านนั้น ควันนับไม่ถ้วนยังลอยวนอยู่ ควบคู่กับเสียงร้องประหลาดเสียงแล้วเสียงเล่า คนที่สวมเกราะเต็มยศสิบกว่าคนขี่ม้าควบทะยานมา พวกเขาแต่งตัวแตกต่างจากทหารต้าโจวอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้บนหลังม้าของพวกเขายังเต็มไปด้วยถุงเต็มแน่น รวมถึงเด็กสาวเยาว์วัยสี่ห้าคน 

 

 

พวกเขาควบทะยานบนถนนใหญ่ ประหนึ่งเข้าสู่เขตไม่มีคน เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วยิ่ง 

 

 

ควันค่อยๆ สงบลง หญ้าแห้งในคูน้ำข้างทางพลันสั่นไหว คนผู้หนึ่งโผล่หัวออกมา 

 

 

บนหน้าบนร่างเขาล้วนมอมแมมประหนึ่งกลิ้งบนดินมารอบหนึ่ง และก็เพราะหมอบอยู่ในพงหญ้าเสมือนเป็นร่างเดียวกันเช่นนี้ถึงไม่ถูกค้นพบ 

 

 

“ถุย” เขาถ่มหญ้าแห้งในปากออกมา ดวงตางามคู่หนึ่งทอประกายเย็นเยียบมองทหารม้าที่เคลื่อนห่างไป “เป็นฟืนที่ดีท่อนหนึ่งจริงๆ”