ตอนที่ 333 ฝนธนู

หยางโปไม่รู้ว่าตัวเองนั้นหลับไปนานแค่ไหน แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างฉับพลัน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ เมื่อหมุนตัวกลับไปกลับพบว่าลัวย่าวหัวนั่งอยู่บนตัวของตาอ้วนหลิว

ตาอ้วนหลิวใช้มือข้างหนึ่งผลักลัวย่าวหัวออกไป พร้อมกับเตะซ้ำไปอีกครั้งหนึ่ง ” นายจะทับฉันจนตายเลยรึไง ? “

เมื่อลัวย่าวหัวถูกผลักจนล้มลงไปกับพื้น เขาก็ทำได้เพียงแค่หัวเราะคิดคะออกมา ” ฉันไม่ได้ตั้งใจ ! “

เมื่อพูดจบ ลัวย่าวหัวก็เห็นหยางโป เขาจึงรีบพูดขึ้นด้วยความดีใจทันที ” หยางโป นายอยู่ที่นี่จริงๆด้วย ! “

หยางโปเดินออกไป แล้วดึงลัวย่าวหัวด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วค่อยช่วยดึงตาอ้วนหลิวขึ้นมา

อวี่เหวินหยิบไฟฉายขึ้นมา จากนั้นก็ทำการส่องสำรวจออกไปรอบทิศทาง

 

” ที่นี่ที่ไหน ? ” ลัวย่าวหัวอดที่จะเดินออกไปด้วยความอยากรู้ไม่ได้ แล้วก็พบว่าข้างหน้าเป็นประตูสีทองขนาดใหญ่บานหนึ่ง ซึ่งประตูบานใหญ่นี้มีความสูงประมาณ 4-5 เมตร สีดำทมิฬราวกับหมึกดำ

ลัวย่าวหัวเดินเข้าไป ทำการสัมผัสมันเบาๆ จากนั้นก็เคาะ จนประตูเกิดเสียง ” ก๊อกก๊อก ” สะท้อนกลับมา

หยางโปหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องออกไป แล้วก็เห็นว่าบนประตูบานนี้ถูกแกะสลักเป็นรูปลายผานฉางและลายกลุ่มหญ้าที่เลื้อยคดเคี้ยวไปมา !

” ที่นี่น่าจะเป็นสุสานจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หยวน ! ” อวี่เหวินสังเกตดูสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น

” ไหนนายบอกว่าเป็นหลุมฝังศพของเจงกีสข่านไม่ใช่เหรอ ? ” ลัวย่าวหัวออกแรงดึงห่วงประตู จากนั้นก็ออกแรงผลักออกไปอีกสองสามครั้ง แต่ประตูบานนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อน !

 

อวี่เหวินเดินเข้าไป ” ทำไปก็เสียแรงเปล่า นายเปิดไม่ออกหรอก ! “

เมื่อพูดจบ อวี่เหวินก็ทำการติดตั้งระเบิดตรงตำแหน่งส่วนล่างของประตู

ทั้งสามคนหยิบพลั่วออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็ทำการขุดพื้นดินที่ตัวเองพอจะรอดออกไปได้ ไม่นาน

อวี่เหวินก็ติดตั้งระเบิดเสร็จ และไปหลบซ่อนตัว !

” บึ้ม ” เสียงระเบิดดังขึ้น ประตูใหญ่ได้ระเบิดออกจนเกิดเป็นช่องว่างขึ้น !

ช่องว่างที่เกิดจากการระเบิดนั้นไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่เมื่อปีนเข้าไปกลับมีพื้นที่เหลือเฟือมากทีเดียว

หยางโปและคนอื่นๆต่างมองหน้ากัน เมื่อรออยู่ข้างนอกสักพัก เพื่อให้อากาศที่ไม่สะอาดมลายหายไป แล้วก็ใช้ไฟฉายส่องดูเล็กน้อย ถึงจะสามารถเข้าไปได้

 

ซิงเยว่ชิ้งกำลังนั่งใส่หูฟังอยู่บนที่นั่งคนขับ เท้าทั้งสองข้างพาดเอาไว้บนด้านหน้ารถ พร้อมทั้งกระดิกอยู่ตลอดเวลา ท่าทางสบายอารมณ์เลยทีเดียว เขาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน เขาจึงได้รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มองซ้ายแลขวา แต่ก็ไม่เจอสิ่งผิดปกติอะไร

ซิงเยว่ชิ้งหมุนตัวแล้วมองไปยังเบาะหลัง แล้วก็พบว่าหยางจื๋อกำลังหลับใหล เขาจึงอดที่จะส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาไม่ได้ การใช้ชีวิตที่นี่ลำบากมากจริงๆ พวกเขาอยู่ที่นี่มานานกว่า 1 เดือนแล้ว นอกจากบันทึกที่ขุดเจอด้วยความบังเอิญก่อนหน้านั้นแล้ว หลังๆมาก็ไม่เจออะไรที่พิเศษอีกเลย !

ซิงเยว่ชิ้งเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปยังที่ไกลๆ มองไปยังท้องฟ้าสีคราม ไกลออกไปยังเส้นบรรจบของทะเลทรายและท้องฟ้า ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ เมื่อเขาหันกลับไปกลับพบว่ารถจิ๊บได้ขับเข้ามา เขาจำอู่อีที่นั่งอยู่บนรถได้

 

ซิงเยว่ชิ้งรีบลงจากรถมา จากนั้นก็ตะโกนไปทางรถที่กำลังขับขึ้นหน้ามาว่า ” อู่อี เธอจะไปไหน ? “

” ฉันจะไปเล่นกับพวกเขาสักหน่อย ! ” อู่อียื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างรถ แล้วตะโกนประโยคหนึ่งออกมาเสียงดัง

” เธอจะหลงทางเอานะ ! “

” วางใจเถอะ ฉันไม่ไปไกลหรอก ! “

ในขณะที่มองรถที่ขับเคลื่อนออกไปไกล ซิงเยว่ชิ้งเองก็จนปัญญา อู่อีเป็นน้องสาวของเขา เธอโวยวายจะตามเขามาเล่นที่นี่ด้วย แต่เขาไม่ยอมพาอู่อีมา ต่อมาเขายังพาเธอไปปล่อยทิ้งไว้ในเมืองแห่งหนึ่งทางตะวันออกของมองโกเลียนอกอีกด้วย ใครจะไปรู้ละว่าอู่อีจะดันไปรู้จักกับพวกของหยางโปที่นั้น อีกทั้งยังช่วยชีวิตเธอเอาไว้อีกด้วย จนได้มาถึงที่นี่

 

เมื่อได้ยินมาว่าอู่อีผูกแค้นอาฆาตพยาบาทกับพวกอิทธิพลมืด ซิงเยว่ชิ้งก็ไร้หนทาง ทำได้เพียงส่งคนไปรับเธอมาเท่านั้น

ซิงเยว่ชิ้งย่อมรู้จักพวกหยางโปอย่างแน่นอน เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าหยางโปต้องเดาพวกเขาสองคนออก เพียงแต่เมื่อตัวเองออกมาต่างถิ่น ทุกคนก็ต้องระมัดระวังตัวเอง ไม่ยอมพบเจอกันโดยง่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน !

ซิงเยว่ชิ้งกลับเข้าไปนั่งในรถอีกครั้ง จากนั้นก็เอาหมวกขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้ เพราะอุณภูมิของช่วงเวลากลางวันและกลางคืนของทะเลทรายโกบีนั้นแตกต่างกันมาก ในช่วงเที่ยงวัน ดวงอาทิตย์จะร้อนระอุ อาบผิวจนย่ำแย่เลยทีเดียว !

….

 

หยางโปและคนอื่นๆต่างพากันเดินเข้าไปในประตูถ้ำด้วยความระมัดระวัง จนกระทั่งเห็นป้ายแนวตั้งป้ายหนึ่ง บนนั้นถูกเขียนด้วยตัวอักษรอี๋ประมาณสองสามตัว

ลัวย่าวหัวเบิกตามองดู ” สุสานเต้ามู้ !”

ตาอ้วนหลิวมองออกไปแวบหนึ่งจะก่อนพูดขึ้นว่า ” นายรู้ได้ยังไง ? “

” ส่วนใหญ่มันก็เป็นรูปแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ? สุสานที่ไหนบ้างที่ไม่มีละ ? “ลัวย่าวหัวพูดขึ้นด้วยความลำพองใจ

หยางโปกลับสังเกตเห็นว่าอวี่เหวินนั้นนั่งยองอยู่ด้านหน้าของป้าย จากนั้นก็ทำการอ่านอย่างละเอียด อยู่สักพักใหญ่โดยที่เขาไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปข้างหน้าทันที

หยางโปรีบตามไป ” มันเขียนว่ายังไงบ้าง ? “

 

” พวกนายแปลแล้วไม่ใช่เหรอ ? ” อวี่เหวินไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา

” เกรงว่ามันจะไม่ง่ายดายขนาดนั้นนะสิ ” หยางโปพูด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจภาษามองโกเลีย แต่ก็รู้ว่าป้ายแผ่นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ 4 ตัวอักษรเท่านั้น !

อวี่เหวินเดินต่อไปทันที ” นักขโมยขุดหลุมศพ ต้องตกนรกมอดไหม้ ! “

หยางโปหยุดเดินทันที ในใจของเขาไม่ได้เป็นคนคิดมาก เพราะเมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งที่พิเศษอะไรมาก

อวี่เหวินเดินเข้าไปข้างในอย่างต่อเนื่อง แต่ปากก็ยังไม่วายที่จะถามขึ้นว่า ” นายได้นำคทาที่ซื้อเมื่อครั้งที่แล้วมาด้วยไหม ? “

 

” เอามา ! ” หยางโปพูด ก่อนจะพ้นประตูเขาได้พาสิ่งของมาด้วยมากมาย จนกระทั่งออกมาโทรศัพท์ก็ยังไม่ลืมที่จะสะพากระเป๋าของเขามาด้วย

เส้นทางในสุสานนั้นมืดมิดมาก จนกระทั่งทั้งสี่คนได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินไปข้างหน้าของตัวเอง

หยางโปมองออกไปรอบๆด้าน แล้วก็สังเกตเห็นเหล่าโครงกระดูกที่พบเจอหลายครั้งใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง ทำให้พวกเขาต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น

ในขณะที่อวี่เหวินถือเข็มทิศอยู่นั้น เขาคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของปลายเข็มอยู่ตลอดเวลา

ไม่นาน หยางโปก็ยื่นมือออกไปขวางตาอ้วนหลิวที่เดินตามมาด้านหลังเอาไว้ อวี่เหวินเองก็หยุดก้าวเท้าอย่างฉับพลันเช่นเดียวกัน

 

ทั้งสองคนต่างพากันอึ้งงันไป อวี่เหวินก้มหน้าลงมองเข็มทิศที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะหันไปมอง

หยางโปอีกครั้ง ” มีปัญหาที่นี่ ! “

หยางโปพยักหน้า จากนั้นก็ชี้ไปใต้ฝ่าเท้า ” อย่าเหยียบเส้นนี้เด็ดขาด ! “

อวี่เหวินเพิ่งจะได้เบนสายตาออกจากเข็มทิศ เมื่อเขาก้มหน้าลงมอง ก็พบว่าใต้ฝ่าเท้าอีกก้าวหนึ่ง มีเส้นขวางอยู่บริเวณข้อเท้า ดูเหมือนว่าเส้นขวางนั้นจะไม่แตกต่างจากเอ็นตกปลาสีขาวโปร่งเท่าไหร่นัก ถ้าไม่สังเกตอย่างละเอียดละก็ เขานึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ !

” ยืนอยู่ด้านหลังฉัน ! ” อวี่เหวินเอ่ยปากพูด

หยางโปเกิดความลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังไปยืนตามคำสั่ง

 

ตาอ้วนหลิวและลัวย่าวหัวก็ยืนเรียงตามลำดับ หยางโปเห็นว่าอวี่เหวินใช้ไม้เท้าที่อยู่ในมืองหยิบมันขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ว่าเขากดไปโดนตรงไหน จนได้ยินเสียง ” ชวา ” สุดท้ายไม้เท้านั้นก็กลายเป็นร่ม

ไฟฉายที่รัดอยู่บนหัวของหยางโปได้ส่องออกไป จนไปถึงร่มสีดำคันนั้น มันไม่โปร่งใส และดูจะธรรมดาเอามากๆ

เขาเห็นอวี่เหวินใช้ปลายร่มสัมผัสไปบนเส้นที่ขวางอยู่เส้นนั้น จึงได้ร้องตะโกนออกไปด้วยความตกใจ

” นายจะทำอะไร ! “

แต่ในตอนนี้อวี่เหวินก็ได้แตะถึงเส้นนั้นแล้ว จนกระทั่งหยางโปได้ยินเสียง ” ซู่ซู่ ” ดังขึ้น เดิมทีเขาได้ก้าวไปอยู่ด้านข้างแล้ว เมื่อสัมผัสได้ถึงลมที่พัดผ่านข้างหูไป เขาก็รีบถอยกลับมาทันที

 

เมื่อเห็นอวี่เหวินพยายามที่จะรักษาความสมดุลอยู่นั้น หยางโปก็ทำได้เพียงแค่เดินขึ้นไปข้างหน้า แล้วช่วยเขาจับร่มให้มั่น !

ผ่านไปสักพัก ก็ไม่สัมผัสถึงแรงกดดันในที่สุด อวี่เหวินจึงได้ปล่อยมือออก หยางโปถึงจะได้ปล่อยมือ เขาหมุนตัวไป แล้วก็พบฝนธนูนับไม่ถ้วนปักอยู่บนพื้นดิน หัวธนูสีดำมันเงา แต่ส่วนกลางของธนูกลับเป็นสนิม !

อวี่เหวินจึงได้หยิบธนูขึ้นมาดูด้ามหนึ่ง ” หัวธนูทำขึ้นอย่างประณีตงดงาม ส่วนกลางของธนูเสื่อมสภาพลงแล้ว ! นี่คงเป็นเอกลักษณ์แห่งความเสื่อมโทรมของราชวงศ์หยวน ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นสุสานของราชวงศ์หยวนนะ ! “