ตอนที่ 334 จักรพรรดิเหวียนฮุ่ยจง

ลัวย่าวหัวเบิกตากว้างจ้องมองไปทางร่มเหล็กของอวี่เหวิน เขาอดที่จะยื่นมือออกไปสัมผัสไม่ได้ ” เหล็กจริงๆเหรอเนี่ย ! “

เมื่อพูดจบ ลัวย่าวหัวเดินอ้อมมายังด้านหน้าของร่มเหล็กนั้น ก่อนจะมองอย่างละเอียด ” ด้านบนมีร่องรอยลูกธนูเหล็กด้วย ! “

อวี่เหวินเก็บร่มเหล็กขึ้นมา จากนั้นก็มองไปทางลัวย่าวหัวโดยไม่พูดอะไร

ไม่นาน อวี่เหวินก็เดินต่อไปข้างหน้า

ลัวย่าวหัวยักไหล่ พร้อมกับจ้องมองไปทางหยางโป แล้วบ่นพึมพำขึ้นว่า ” ไม่ใช่ร่มเหล็กเหรอ ? “

 

หยางโปดึงลัวย่าวหัวออกมา เพื่อไม่ให้เขาพูดอะไรไปมากกว่านี้ เขามองออกไปทางอวี่เหวิน แล้วก็เห็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของเขาดูแปลกประหลาดมาก ดวงตาของเขาเอาแต่จ้องมองไปทางด้านหน้าตลอด จนไม่สนใจสิ่งของที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเลยแม้แต่น้อย

หยางโปเงยหน้าขึ้นมองออกไป แล้วก็พบว่าข้างหน้านั้นมีรูปปั้นหินอยู่ชิ้นหนึ่ง ฝนธนูเมื่อสักครู่ถูกยิงมาจากที่ไหนกัน ! เขารีบเร่งฝีเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ดวงตากลับไม่ได้ละสายตาไปจากรูปปั้นหินชิ้นนั้นเลย

รูปปั้นหินตรงหน้าเป็นลักษณะของคนที่ควบอยู่บนตัวม้า แล้วกำลังใช้แส้ฟาดเพื่อกระโจนไปข้างหน้า เห็นเพียงแค่ม้าที่ทรงพลัง มีพละกำลังที่แข็งแกร่ง มีเพียงแค่เท้าหลังสองข้างที่สัมผัสกับพื้น ส่วนคนควบม้าก็ใส่เครื่องแบบทหาร ดวงตาเย่อหยิ่ง มีพลานุภาพมากทีเดียว !

 

หยางโปมองอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองอวี่เหวินอีกครั้ง ” นี่คงจะไม่ใช่หยวนหนิงจงหรอกนะ ! “

อวี่เหวินแสดงสีหน้าสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ” นี่คือจักรพรรดิเหวียนฮุ่ยจง ! “

หยางโปตื่นตกใจทันใด จักรพรรดิเหวียนฮุ่ยจงเป็นจักรพรรดิเหวียนฮุ่ยจงองค์สุดท้ายของราชวงศ์หยวนช่วงปลายท่านหนึ่ง เขาดำรงตำแหน่งอยู่ 36 ปี สุดท้ายก็ถูกราชวงศ์หมิงเข้าโจมตีจนแพ้ย่อยยับ ทิศเหนือเป็นทุ่งหญ้าของมองโกเลีย หยวนหนิงจงที่สืบทอดบัลลังก์ไปก่อนหน้าเขาก็คือพระอนุชาของเขา !

หยางโปมองไปทางรูปปั้นหินนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ก็ไม่เห็นคำบรรยายที่จดบันทึกเป็นภาษาจีน

ทำไมอวี่เหวินถึงได้กล้ามั่นใจแบบนี้ ?

ลัวย่าวหัวอดที่ตะร้องตะโกนออกมาไม่ได้ ” นี่คือสุสานจักรพรรดิราชวงศ์หยวน ไม่ใช่ว่าเรากำลังหาหลุมฝังศพของเจงกีสข่านหรอกเหรอ ? “

 

อวี่เหวินส่ายหน้า ” ไม่แน่ใจ ! “

เมื่อพูดจบ อวี่เหวินก็เดินตรงไปข้างหน้า ค่อยๆย่างก้าวไปอย่างช้าๆ

ลัวย่าวหัวเบะปากไปทางหยางโป ด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่มีต่ออวี่เหวิน

หยางโปยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า โดยไม่พูดอะไร นอกจากเดินตามอวี่เหวินไปข้างหน้า !

ในทะเลทรายนั้นมีอากาศที่แห้งแล้งมาก หลุมศพของคนเหล่านี้จึงถูกปกคลุมไปด้วยก้อนหิน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปี ก้อนหินเหล่านี้ก็แปรสภาพ จนมีก้อนกรวดแทรกตัวออกมาจากก้อนหินเหล่านี้ ช่วยเติมเต็มหลุมศพ ทำให้ใต้ฝ่าเท้าค่อนข้างลื่นอย่างเห็นได้ชัด

 

เมื่อเดินอ้อมรูปั้นหินมา หยางโปกลับสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่พัดผ่านเข้ามา ดูเหมือนอวี่เหวินก็สัมผัสได้เหมือนกัน จึงได้หยุดก้าวเท้าลงทันที

หยางโปเห็นประตูใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ซึ่งเป็นประตูที่มีสีดำทมิฬราวกับหมึกดำ ลวดลายบนประตูก็ประณีตงดงามเช่นเดิม คล้ายกับต้นไม้ใบไม้ที่เกี่ยวพันกันไปมา และราวกับมีสัตว์ที่เลื่อยคลาน นกที่พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ทำให้คนรู้สึกมหัศจรรย์ใจไม่น้อยเลยทีเดียว !

เมื่อยืนอยู่หน้าประตู หยางโปก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่เพิ่มสูงขึ้น !

ลัวย่าวหัวมองไปทางประตูใหญ่เล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นไปข้างหน้า เพื่อต้องการผลักประตูเข้าไป

” อย่าขยับ ! ” อวี่เหวินส่งเสียงตะโกนขึ้นมาในทันที จากนั้นก็ดึงลัวย่าวหัวเอาไว้

 

ลัวย่าวหัวรู้สึกงงงวย หยางโปเองก็มองอย่างไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน

อวี่เหวินไม่ได้พูดอะไรออกมา เขากำทรายขึ้นมากำหนึ่ง จากนั้นก็สาดใส่ประตูบานใหญ่นั้น แล้วก็พบว่าหลังจากที่ทรายสัมผัสกับประตูใหญ่แล้ว มันเกิดเป็นเขม่าควันออกมา ไม่นานทรายเหล่านั้นก็กลายเป็นผุยผงไป !

ทั้งสามคนพากันมองหน้ากัน ด้วยความตกใจสุดขีด !

….

อู่อีขับรถออกไปจนมาเจอตำแหน่งของพวกหยางโป แต่เธอกลับไม่เห็นแม้แต่วี่แววของใครเลย ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจนัก เพราะเธอสังเกตเห็นทิศทางการลาดตระเวนของหยางโปและคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว !

 

พื้นดินที่นี่ยังไม่กลายสภาพเป็นทรายอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่สามารถบังคับรถให้ขับเคลื่อนไปอย่างปกติได้ ระดับความเร็วของอู่อีก็ไม่ถือว่าเร็วมากนัก เธอคอยระวังเรื่องทิศทางโดยตลอด เพราะกลัวว่าหากไม่ระวังจะทำให้เธอหลงทางเอา แล้วพอจะนึกย้อนกลับไปก็หาเส้นทางไม่เจอแล้ว

จากเส้นทางที่สำรวจก่อนหน้านั้น อู่อีได้ทำการมองออกไปรอบๆด้าน เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกของหยางโปนั้นจะตั้งใจหลบซ่อนตัวจากเธอรึเปล่า เธอเดินวนแถวละแวกนั้นอยู่ครึ่งรอบ แต่ก็ไม่เจอใครเลย ดวงอาทิตย์ที่เด่นสง่าอยู่กลางหัว ทำให้อุณภูมิของทรายเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย !

ด้วยลางสังหรณ์บอกกับเธอว่า หยางโปและคนอื่นๆต้องหาสุสานโบราณเจอแล้วอย่างแน่นอน อู่อีเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้มีลางสังหรณ์นี้ เหมือนกับว่าเธอเพิ่งจะงุนงง แล้วเธอก็สัมผัสได้ถึงเสียงระเบิดที่ดังอื้ออึงขึ้นมา เธอจึงรู้ว่าต้องเป็นเสียงของการระเบิดสุสานโบราณที่พวกหยางโปติดตั้งเอาไว้อย่างแน่นอน !

 

เมื่อเสียเวลาไปมากกว่า 2 ชั่วโมง ตั้งแต่เช้ายันช่วงบ่าย อู่อีก็ยังไม่ค้นพบสิ่งใดหรือใครเลย ในขณะที่เธอทำท่าจะหมุนตัวกลับ ก็พลันเห็นรถที่จอดนิ่งสนิทอยู่สองคันจากที่ไกลๆ เธอจึงรีบขับรถไปทันที !

….

อวี่เหวินได้มายืนอยู่หน้าประตู ” ประตูบานนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยหินเย็น เนื้อหนังไม่สามารถสัมผัสได้ “

หยางโปเบิกตากว้าง จากนั้นก็มองไปทางอวี่เหวิน ” หินเย็น ? “

” นายไม่เคยได้ยินมาก่อนหรอก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี ! ” อวี่เหวินมองไปทางหยางโป ” หยิบคทาที่อยู่ในมือของนายออกมา ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องใช้มันแล้ว “

หยางโปเองก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังนำคทานั้นออกมา จากนั้นก็มองไปทางอวี่เหวินอีกครั้ง

 

” นายใช้คทาเป็นตัวสื่อกลางนะ แล้วผลักประตูออกไปก็พอแล้ว ! ” อวี่เหวินพูด

ตาอ้วนหลิวที่ยืนอยู่ด้านหลังของหยางโปก็ได้พูดขึ้นว่า ” หินทรายยังต้านทานประตูใหญ่บานนี้ไม่ได้เลย คทาชิ้นนี้จะไปทำอะไรได้ ? “

อวี่เหวินมองไปทางหยางโปโดยไม่พูดอะไร

หยางโปก้มหน้าลงมองคทานั้น แต่ในใจกลับครุ่นคิดบางอย่าง เขารู้สึกว่าอวี่เหวินมีที่มาที่ลึกลับมาโดยตลอด ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากมายอีกด้วย ตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังยึดมั่นว่าที่นี่เป็นสุสานของจักรพรรดิราชวงศ์หยวน ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกให้ทำการกระทุ้งหินเย็นเข้าไปอีก เหตุการณ์เหล่านี้จึงทำให้เขายากจะอธิบายได้ในใจ

 

แต่ ในช่วงเวลานี้เขาไม่มีหนทางอื่นแล้ว หยางโปจับคทาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ทำการโยนไปที่ประตูเบาๆ เมื่อคทาสัมผัสกับประตูบานนั้น ทั้งสองสิ่งกลับไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองแต่อะไร เขาจึงได้โล่งใจ จากนั้นก็เก็บคทาขึ้นมา แล้วออกแรงผลักประตูออกไป

ไม่รู้ว่าทำไม ประตูใหญ่ดูไม่เหมือนว่าหนักหรือแข็งแรงเลยสักนิด หยางโปออกแรงผลักเพียงแค่เบาๆเท่านั้น !

อวี่เหวินไม่ได้สนใจมากนัก นอกจากจะพุ่งตัวเข้าไปในทันที

หยางโปและคนอื่นๆจึงได้แต่มองหน้ากัน จากนั้นก็เดินตามเขาเข้าไป

ยังไม่ทันที่จะเข้าไป หยางโปก็ได้ยินลัวย่าวหัวหายใจเอาลมเย็นออกมา จนต้องถอยร่นไปด้านหลัง ถ้าหยางโปไม่ดันประตูเอาไว้อยู่ด้านหลัง เขาคงได้ชนเข้ากับประตูไปแล้ว !

 

หลังจากที่เข้าไปแล้ว หยางโปก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันที เขาเห็นสถานที่จากแสงของไฟฉาย ทั้งหมดล้วนเป็นกระดูกจำนวนมหาศาล พอๆกับสนามบาสที่ถูกปกคลุมไปด้วยกระดูกยังไงอย่างนั้น !

ทั้งสี่คนยังคงเดินต่อไป พร้อมกับหยิบหน้ากากป้องกันแก็สพิษขึ้นมาใส่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำการรออยู่อีกสักพัก ถึงจะเดินเข้าไปข้างในอีกครั้ง

หยางโปเติบโตมาในเมืองจินหลิง เคยได้ยินเรื่องหลุมศพนับหมื่นมาบ้าง และก็เคยเห็นศพที่ถูกฝังของหงซิ่วเฉวียนมาก่อนอีกด้วย แต่เขายังไม่เคนพบเจอศพที่ถูกฝังจำนวนมหาศาลที่แสนโหดร้ายขนาดนี้มาก่อน !

เมื่อเดินเข้าไปอีก หยางโปก็เพิ่งจะสังเกตเห็นภาพวาดที่อยู่บนกำแพงด้านหลังของเขา ซึ่งภาพที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้าเป็นภาพแห่งสงคราม เห็นเพียงแค่เครื่องแบบทหารก็ดูออกในทันทีว่านี่เป็นศึกสงครามระหว่างฮั่นกับมองโกเลีย

 

จักรพรรดิเหวียนฮุ่ยจงแห่งราชวงศ์หยวนในช่วงปลายไม่เข้าใจในเรื่องของของการบริหารรัฐ อีกทั้งยังเกิดศึกสงครามกันในเชื้อราชวงศ์ จนเกิดการกบฏ จักรพรรดิหงอู่แห่งราชวงศ์หมิงจึงได้จัดตั้งราชวงศ์หมิงที่รวมเป็นหนึ่งกับทางตอนใต้ขึ้นมา จากนั้นก็ออกคำสั่งยกทัพไปทางตอนเหนือ นำกองทัพบีบเข้าไปใกล้เมืองหลวง จักรพรรดิเหวียนฮุ่ยจงจึงทำการเปิดประตูเมืองหลวงในเวลากลางคืน แล้วหลบหนีขึ้นไปด้านบนของเมือง หลังจากที่หลบหนีไปถึงเมืองยิงชางแล้ว ราชวงศ์หยวนก็ย่อยยับพินาศลง

ในระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวียนฮุ่ยจงเคยเข้าร่วมกองกำลังทหารถึงสองครั้ง พยายามที่จะชิงเมืองกลับมา แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ไป

ภาพด้านล่าง ก็คือการถูกฆ่าตาย !