ตอนที่ 538 ผลไม้แห่งนรก

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่เดินออกมาจากห้องพักครู จากนั้นเขาก็เดินหลบๆ ซ่อนๆ ไปที่ห้องเรียน เขาเห็นนักเรียนกำลังทำกิจกรรมของตัวเองในคาบเรียนอยู่ หลี่ว์ซู่ยืนข้างนอกและแอบมองผ่านหน้าต่างเข้าไป เขาอยากรู้ว่าเสี่ยวอวี๋นั่งตรงไหน

 

 

แต่ก่อนที่เขาจะหาเจอ เธอก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาแล้ว เธอไม่สนใจว่าหลี่ว์ซู่พยายามทำตัวไม่เป็นจุดสนใจอยู่ เธอตะโกนออกไปว่า “หลี่ว์ซู่มาเรียนแล้วเหรอ!”

 

 

“…”

 

 

นักเรียนในห้องหลายคนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน พวกเขางงกันไปหมด หลี่ว์ซู่เหรอ หลี่ว์ซู่ไหนอะ

 

 

พวกเขาจับจ้องไปที่หลี่ว์ซู่ แล้วหลี่ว์ซู่ก็หัวเราะออกมาอยากเจื่อนๆ

 

 

“ไม่ได้เจอกันนานนะทุกคน”

 

 

[ได้แต้มจากหลี่อวี้ชิง +666!]

 

 

[ได้แต้มจากเยี่ยหลิงหลิ่ง +666!]

 

 

[ได้แต้มจาก…]

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมา เพื่อนร่วมชั้นของเขายังน่ารักกันเหมือนเดิมเลย พวกเขาเข้ามาทักทายเขาด้วยความสุภาพ

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่ได้คิดเตรียมมาก่อนว่าจะพูดอะไร เสี่ยวอวี๋จึงบอกกับคนทั้งชั้นว่า “ฉันจะทำเป็นไม่สนใจกับเรื่องที่เคยกิดขึ้นได้ยังไง! ตั้งแต่นี้ไปถ้ามีคนพูดจาแย่ๆ เกี่ยวกับหลี่ว์ซู่ลับหลังละก็…”

 

 

เธอก้มหัวลงต่ำแล้วควักเอาโพยใบเล็กออกมาจากกระเป๋าเพื่อดูว่าต้องพูดอะไรต่อ “ฉัน เสี่ยวอวี๋คนนี้จะไม่ปล่อยไว้แน่”

 

 

[ได้แต้มจากหลี่อวี้ชิง +666!]

 

 

[ได้แต้มจากเยี่ยหลิงหลิ่ง +666!]

 

 

[ได้แต้มจาก…]

 

 

เสี่ยวอวี๋รอมานานเพื่อการณ์นี้ หลังจากที่เธอพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปแล้ว เธอก็รู้สึกว่าได้ประกาศจุดยืนออกไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้เธอได้ทำอย่างที่อยากทำมาโดยตลอดแล้ว จำและนำไปใช้นะ!

 

 

หลี่ว์ซู่งงตาแตก เสี่ยวอวี๋ทำไมถึงเป็นคนเจ๋งขนาดนี้นะ ไปเรียนที่ไหนมาช่วงที่ข้ามชั้นขึ้นมาเนี่ย

 

 

หลี่ว์ซู่มองไปรอบๆ และเห็นว่าปฏิกิริยาของพวกนักเรียนมีท่าทีแปลกๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เนื่องจากแต้มอารมณ์ที่เขาได้มาจากพวกทวยเทพนั้นถือว่าท่วมท้นแล้ว เขาเลยไม่ได้ใส่ใจว่าจะได้แต้มอารมณ์มาจากเพื่อนร่วมชั้นด้วยหรือไม่

 

 

เสี่ยวอวี๋ดึงหลี่ว์ซู่ไปนั่งใกล้ๆ เธอ มีเด็กผู้ชายตัวอ้วนคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งที่แถวหลัง รู้สึกเหมือนกับว่ามีนักเลงในโรงเรียนคุ้มกะลาหัวให้เลยแฮะ เขายิ่งไม่อยากกลับมาเรียนมากขึ้นกว่าเดิมอีก…

 

 

แต่แล้วเขาก็คิดอะไรออก เสี่ยวอวี๋เองก็ต้องไปฝึกในสัปดาห์หน้าด้วยไม่ใช่เหรอ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบให้เสี่ยวอวี๋ลำบากแต่เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมา

 

 

อย่างน้อยชีวิตที่โรงเรียนก็สงบขึ้นมาหน่อยล่ะ!

 

 

ขณะนั้น ในตอนที่หลี่ว์ซู่กำลังดูเมนูในระบบอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีหน้าต่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมาจากหน้าเนื้อหาหลัก หน้าที่เพิ่มขึ้นมานั้นเรียกว่า ‘เสี่ยวอวี๋’ ในนั้นมีรายละเอียดการได้รับแต้มอารมณ์ที่เขาได้มาโดยเสี่ยวอวี๋อยู่ ข้างล่างนั่นเขียนไว้ว่าได้มาทั้งหมด 4021 แต้ม

 

 

หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจแล้ว ทำไมมันถึงมีสองหน้าต่างได้ล่ะ นี่เหมือนกับว่าเขาสามารถใช้แต้มอารมณ์ที่เสี่ยวอวี๋เป็นคนหามาได้เลย แต้มพวกนี้ดูจะถูกคิดสองรอบ แต้มอารมณ์ของทั้งสองหน้านี้เพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกันด้วย

 

 

หลี่ว์ซู่สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป เขาเปิดหน้าร้านค้าขึ้นมาแล้วก็เห็นว่ามีของใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาหลังจากผลดวงดาว ผลนั้นคือผลไม้แห่งนรก

 

 

ทั้งผลดวงดาวและผลไม้แห่งนรกต่างมีราคา 1000 แต้มต่อผล เขาซื้อผลไม้แห่งนรกมาผลหนึ่ง แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าแต้มอารมณ์ไม่ได้ลดลงเลย แต่กลับกลายเป็นว่าแต้มอารมณ์เพิ่มขึ้นมาในหน้าต่างใหม่อีก 1000 แต้ม!

 

 

ฮะ! หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ นี่ก็หมายความว่าเขาซื้อของโดยใช้แต้มอารมณ์ที่เสี่ยวอวี๋หามาให้ได้งั้นเหรอ งั้นผลไม้แห่งนรกนี้ก็ต้องเป็นของเธอน่ะสิ

 

 

ก่อนหน้านี้เขาอยากจะเอาผลดวงดาวให้เสี่ยวอวี๋ให้เธอกิน แต่เขาทำไม่ได้ แต้มอารมณ์ที่หลี่ว์ซู่ได้มาจากการที่เสี่ยวอวี๋หามาให้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาถูกขับไล่ออกมาจากพรรคการเมืองและถูกเนรเทศออกมาจากสำนักงาน แต้มอารมณ์นั้นเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ

 

 

ตอนนี้เขาสามารถเก็บแต้มอารมณ์ที่เสี่ยวอวี๋หามาให้ได้แล้ว และเธอก็สามารถใช้แต้มอารมณ์นี้แลกซื้อผลไม้เพื่อทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นด้วย เธอสามารถแข็งแกร่งขึ้นเองโดยไม่ต้องพึ่งใครแล้ว…

 

 

แต่ก็ต้องรอดูกันคืนนี้ว่าที่เขาเข้าใจนั้นถูกต้องหรือเปล่า

 

 

ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็เห็นหลิวหลี่เข้ามาในห้องเรียน เขาคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ตอนที่เขาไปเพิ่มพลังจิตวิญญาณให้ที่บ้านของหลิวหลี่ เขาทำท่ามั่นคงไว้ใจได้และแสดงท่าทีแบบลึกลับๆ เพื่อบอกเป็นนัยกับหลิวหลี่

 

 

“ว่าไง ช่วงนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า”

 

 

หลิวหลี่รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาทันที ตอนนี้หลี่ว์ซู่จะมาเยาะเย้ยเขาเรื่องที่เกิดขึ้นเหรอ เขารู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น หลิวหลี่หน้ามืดคล้ำขณะถามกลับ

 

 

“นายเป็นคนทำงั้นเหรอ”

 

 

ตอนที่หลี่ว์ซู่ได้ยินหลิวหลี่ถามแบบนั้น เขาเองก็ไม่กล้ายอมรับความจริงออกไป เขาไม่อยากเอาหน้าหรอก ปิดทองหลังพระดีกว่า “ฮ่าๆๆ จะเป็นฉันไปได้ยังไง ไม่ใช่ฉันสักหน่อย”

 

 

หลี่ว์ซู่เดินกลับไปที่ที่นั่งของตัวเองหลังพูดจบ หลิวหลี่ยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู พยายามข่มใจไม่ให้พูดอะไรออกไป เขาแน่ใจมากว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนพังคฤหาสน์เขาลงทั้งหลัง ถึงแม้จะไม่รู้ก็เถอะว่าเขาทำได้ยังไง!

 

 

[ได้แต้มจากหลิวหลี่ +999!]

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงแต้มอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นมา ทำไมทำดีมันถึงได้ยากนักนะ คิดว่าการทำดีกับครอบครัวของฮีโร่ที่จากไปมันง่ายนักเหรอ เขาไม่รู้ว่าจะทำให้หลิวหลี่มองเขาใหม่ได้ยังไงแล้ว

 

 

“แล้วเจียงซู่อีหายไปไหนล่ะ” หลี่ว์ซู่แตะตัวคนข้างหน้าแล้วถาม

 

 

เพื่อนร่วมชั้นคนนั้นหันมาตอบเขาด้วยความระมัดระวัง “เจียงซู่อีไม่มาโรงเรียนตั้งแต่การสอบเข้าของผู้บำเพ็ญแล้ว”

 

 

“อ้อ” เจียงซู่อีได้รับเหรียญการทหารจากการที่เขาไปชิงไห่ เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เจียงซู่อีจะไม่กลับมาเรียนอีก ถ้าลองคำนวณย้อนกลับไปดู เจียงซู่อีน่าจะเลื่อนขึ้นเป็นระดับ C แล้ว

 

 

เฉาชิงฉือเองก็ฝึกได้รวดเร็วเหมือนกัน ตอนที่พวกเขาไปฝึกก็อยู่ระดับ C กันแล้ว ตอนนี้พวกเขาคงจะฝึกให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้น

 

 

กลับกัน การฝึกของซีเฟ่ยดูเหมือนจะช้ากว่า แต่จะว่ากันดีๆ แล้ว มีคนแค่แปดสิบสองคนที่เป็นหัวกะทิระดับ A อย่างเฉาชิงฉือในบรรดาคนกว่าพันล้านคนเท่านั้น ก็เป็นปกติล่ะนะที่พวกหัวกะทิจะเลื่อนขั้นได้เร็วขนาดนั้น

 

 

ทว่าพอได้เลื่อนระดับขึ้นเป็นระดับ C แล้วก็ยากที่จะไต่ขึ้นเป็นระดับ B ต่อไป เฉินไป่หลี่ นักบวชเก่าแก่เคยบอกไว้ว่าความสามารถและลมปราณภายใน [1] ของคนจะเป็นตัวกำหนดความเร็วของการฝึกฝน ในขณะที่ระดับจะกำหนดลำดับขั้น เฉินไป่หลี่เลยคิดว่าเสี่ยวอวี๋นั้นเป็นคนสำคัญมาก เธอปะทุพลังในขณะอายุน้อยและระดับของเธอยังอยู่สูงอีกด้วย ระดับที่เธอจะไปถึงในอนาคตก็สูงไปด้วยเช่นกัน

 

 

ดูอย่างเฉาชิงฉือและเฉิงชิวเฉี่ยวเป็นตัวอย่างได้ พวกเขามีความสามารถเป็นถึงระดับ A แต่ถ้าพวกเขามีแต่ความสามารถแต่ไม่มีลำดับขั้นละก็ พวกเขาคงจะเป็นได้แค่คนระดับ B ไปตลอดชีวิต

 

 

เฉินไป่หลี่ยังกล่าวอีกว่าพวกคนระดับ A หัวกะทิจะมีระดับสูงขึ้นไปอีกหลังจากที่ผ่านศึกหนักมา พวกเขามีดีที่เลื่อนระดับเป็นระดับสูงสุดได้เร็วกว่าคนอื่นๆ นี่แหละ ปกติแล้วพวกเขาจะมีความสามารถไปถึงระดับสูงๆ ได้โดยมีข้อแม้ไม่กี่ข้อเท่านั้น

 

 

แต่ก็มีนักเรียนที่อยู่ระดับสูงแต่ความสามารถไม่ถึงอยู่เหมือนกัน พวกเขาจะเก่งขึ้นได้โดยต้องฝึกหนักมาก จุดสูงสุดที่ทุกคนคิดว่ายากอาจจะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากของพวกเขาก็ได้

 

 

 

 

——

 

 

[1] ลมปราณภายในเป็นแนวคิดของแพทย์แผนจีนโดยศึกษาเส้นพลังที่ไหลเวียนในร่างกาย หรือที่เรียกกันว่าการไหลเวียนของพลังภายใน