ตอนที่ 472 ความอ่อนโยนของเขา
“พระชายาตื่นแล้ว บ่าวเป็นห่วงแทบแย่เจ้าค่ะ” หมิงซินยกถ้วยยาเข้ามา หลังจากวางถ้วยยาลงก็พูดพล่ามมิหยุด “มิว่าอย่างไรพระชายาก็อย่าทำเพื่อท่านอ๋องจนแม้แต่ชีวิตของตนก็มิห่วงเยี่ยงนี้สิเจ้าคะ”
“หมายความว่าอย่างไร ? ” อันหลิงเกอแปลกใจ เพราะนางเพิ่งตื่นจึงทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองยังช้าเล็กน้อย
เมื่อได้ยินอันหลิงเกอถามราวกับมิรู้เรื่องอันใด หมิงซินก็ทอดถอนใจและกล่าวว่า “ตอนนี้มีข่าวลือในเมืองจิงว่าพระชายามู่ขี่ม้าไปพร้อมท่านอ๋อง ทว่าฝนตกทำให้พื้นลื่น พระชายาจึง…”
อันหลิงเกอลูบไปบนเรียวขาพลางชะงักไปชั่วขณะ
นางตกหลังม้าเพราะถนนลื่นที่ไหนกันเล่า ทว่าการที่มู่จวินฮานปล่อยข่าวเยี่ยงนี้ก็ดีเพราะคนที่อยู่ในคลังเก็บของเมื่อวานจักได้มิรู้สถานะของพวกนางเพราะอย่างไรก็มิมีทางเปิดเผยได้
“ปี้จูอยู่ที่ใด ? ยังมิกลับมาหรือ ? ” อันหลิงเกอเลิกคิ้วสูงและถามออกไป
หมิงซินที่กำลังเป่าไอร้อนในยาต้มตอบว่า “ท่านอ๋องมิได้เอ่ยถึงเลยเจ้าค่ะ”
“อีกทั้งท่านอ๋องยังนอนเฝ้าพระชายาทั้งคืน บ่าวเองก็มิกล้าถามเรื่องของปี้จูเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนี้อันหลิงเกอก็กัดริมฝีปากแล้วกล่าวด้วยความตกใจ “เขาอยู่เฝ้าทั้งคืนเลยหรือ ? ”
“จริงเจ้าค่ะ ทั่วทั้งจวนใครบ้างมิรู้เจ้าคะ” หมิงซินทอดถอนใจจากนั้นก็เอ่ยราวกับเป็นเดือดเป็นร้อนแทนมู่จวินฮาน “พระชายา ความอ่อนโยนของท่านอ๋องนั้นคนทั้งจวนต่างรู้ดี มิสู้พระชายาอยู่ในจวนให้ท่างอ๋องวางใจดีกว่า อย่าออกไปตรวจสอบเรื่องที่อันตรายเหล่านั้นอีกเลยเจ้าค่ะ”
อือ
อันหลิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย แต่เวลานี้นางอยากช่วยปี้จูกลับมาจริง ๆ
ด้านจวนเจียงอ๋อง สีหน้าของจ้าวหลานหยู่เคร่งขรึม สองมือไพล่หลังพร้อมทอดมองไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเรียวรีคู่นั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา
บัดนี้ในฐานะเจียงอ๋อง เขาสู้ความโปรดปรานในฐานะองค์ชายเจ็ดมิได้เลย
ส่วนผู้ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังก็กำลังร่างกายสั่นเทา ก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัวขีดสุด บรรยากาศในห้องล้วนกดดันจนหายใจแทบมิออก
“ดูท่าแล้วข้าจักดีกับพวกเจ้าเกินไป ! ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาแฝงไปด้วยภัยคุกคามที่น่าหวาดกลัว
“ท่านอ๋องอย่าทรงกริ้ว ท่านอ๋องอย่าทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเราคาดมิถึงจริง ๆ ว่าจักมีใครหาโรงเกลือของเถ้าแก่เนี่ยพบพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษคนหนึ่งร้องขอชีวิตเป็นคนแรก
“ได้ตรวจสอบว่าไปเป็นผู้ใดหรือไม่ ? ” น้ำเสียงเย็นชาของเขาราวกับพยายามข่มความโกรธไว้
จากนั้นบุรุษที่ไว้หนวดตัวสั่นเทิ้มก็ตอบกลับด้วยเสียงเบา “ยัง…ยังเลยพ่ะย่ะค่ะ คนในโรงเกลือเนี่ยอันอันพากันหนีเตลิด ชายโหดเองก็โดนฆ่าปิดปาก…”
“ข้าเรียกพวกเจ้ามามิได้อยากฟังคำแก้ตัวเหล่านี้ ! ”
จ้าวหลานหยู่หมุนตัวกลับมาพลางกวาดตามองทุกคนด้วยสายตาเย็นยะเยือก จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกชา “บอกไปว่าให้เวลาพวกเขาห้าวัน หากยังค้นหาคนที่ลงมือมิได้ ก็ปล่อยกิจการใหญ่โตนั้นไปดีกว่า!”
เขาเยาะเย้ยออกมาหนึ่งครั้งทำให้ทุกคนทยอยกันโขกศีรษะกับพื้นพร้อมเอ่ย “ท่านอ๋องอย่าขุ่นเคืองพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องอย่าทรงขุ่นเคืองเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ยินว่าเมื่อคืนพระชายามู่ได้รับบาดเจ็บ เป็นฝีมือของนางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ” จู่ ๆ ก็มีคนโพล่งออกมา
เมื่อได้ยินแล้วจ้าวหลานหยู่ก็จ้องเขม็งไปทางคนผู้นั้น ชายที่อยู่ด้านข้างจึงตอบว่า “หากเป็นนางจริง เจ้าคิดว่าอ๋องมู่จักประกาศข่าวที่นางได้รับบาดเจ็บออกมาหรือไม่ ? ”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือพระชายามู่เป็นสตรีแล้วจักแฝงตัวเข้าไปในโรงเกลือของเนี่ยอันอันได้เยี่ยงไร ทั้งยังหนีรอดจากมือของชายโหดอีกด้วย”
คนที่อยู่ข้างกายจ้าวหลานหยู่รู้ดีว่าตอนนี้สิ่งที่เจียงอ๋องมิอยากได้ยินมากที่สุดคือนามของอันหลิงเกอ
“ข้าน้อยโง่เขลาเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดคลายมือพร้อมถอนหายใจและกล่าวว่า “เจ้ามีแผนการอันใด ? ”
ในขณะที่กล่าว จ้าวหลานหยู่ก็มองไปยังที่ปรึกษาข้างกาย
บุรุษที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นโค้งคำนับและเดินรุดขึ้นหน้า จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เรียนท่านอ๋อง ข้าน้อยคิดว่าแม้พวกเขาตรวจสอบอยู่เงียบ ๆ แต่ก็มิสามารถพิสูจน์ได้จริงว่าเป็นความผิดผู้ใด มิสู้เราโยนความผิดไปให้อ๋องมู่…”
“อ๋องมู่มิใช่ว่าติดกับได้โดยง่าย ! ” จ้าวหลานหยู่กล่าวพร้อมคิ้วขมวดมุ่น มิได้ผ่อนคลายเพราะคำพูดของอีกฝ่ายเลย
“ที่ท่านอ๋องกล่าวก็ถูก ทว่ายังมีอีกคนอยู่ในกำมือเรา มิสู้*เฝ้าตอไม้รอกระต่ายหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
จ้าวหลานหยู่ตริตรองอยู่ชั่วขณะแล้วพยักหน้า “ดี ทำได้ดี โรงเกลือฝั่งนั้นเพิ่มคนเฝ้าระวัง หากมีคนมาปล้น พวกเจ้าจงแสดงฝีมือเก็บกวาดให้ข้าเห็นเป็นขวัญตา ! ”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
หลังจากที่ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียงก็ออกจากจวนเจียงอ๋องไปอย่างเงียบเชียบ
ส่วนจ้าวหลานหยู่ก็มองไปนอกหน้าต่างพลางนึกถึงอันหลิงเกอ แม้กล่าวว่านางมีความสามารถ แต่ก็พูดได้ว่าเป็นแค่เด็กสาวตัวน้อยในจวนเท่านั้น จักมีความคิดเยี่ยงนี้ได้หรือ ?
ทว่าบัดนี้ ‘เด็กสาวตัวน้อย’ กำลังนั่งครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ
คาดมิถึงว่าจ้าวหลานหยู่ซ่อนอาวุธมากมายถึงเพียงนั้นภายใต้จมูกวังหลวง เขาคิดทำอันใด ? กบฏอย่างนั้นหรือ ?
น่าเสียดายที่พวกนางพลาดท่าในจังหวะสุดท้ายจึงทำให้จ้าวหลานหยู่เพิ่มการเฝ้าระวังอย่างรอบคอบ ต่อไปนางจักลงมือได้เยี่ยงไร ?
แล้วสามารถช่วยปี้จูออกมาได้อย่างไร ? เพราะตอนนี้ยังหุนหันพลันแล่นมิได้
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น ปรากฏภาพหมิงซินยกถ้วยยาเดินเข้ามา
เมื่อเห็นอันหลิงเกอแล้วนางก็อุทาน “ไอหยา” อย่างร้อนใจ “พระชายาของบ่าว ท่านหมอบอกให้พระชายาอย่าเพิ่งขยับตัว เหตุใดจึงลงมาบนพื้นเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอหมดหนทาง “ข้านอนติดเตียงมาหลายวันแล้ว นอนต่อมิได้จริง ๆ ”
“มิว่าอย่างไรพระชายาก็ห้ามบาดเจ็บอีกนะเจ้าคะ” หมิงซินรีบเข้ามาประคองอันหลิงเกอกลับมาที่เตียงด้วยความร้อนรน
อันหลิงเกอแสดงสีหน้าลำบากใจ “เพราะการรักษาลำบากกว่าได้รับบาดเจ็บเสียอีก”
หมิงซินหลุดหัวเราะเสียงดังออกมา “พระชายา หากวันข้างหน้ามีท่านอ๋องตัวน้อยแล้วก็ไร้เวลามาเบื่อเยี่ยงนี้เจ้าค่ะ”
คำพูดของหมิงซินเป็นเหตุให้อันหลิงเกอหน้าแดงก่ำ ก่อนเมินไปทางอื่นโดยมิกล่าวอันใดอีก
หมิงซินรู้ว่าอันหลิงเกอเขินอายจึงมิได้หยอกล้อนอกจากยกถ้วยยาขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า “พระชายารีบดื่มยาเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่ออันหลิงเกอดื่มยาเข้าปากก็ประหลาดใจเพราะยาถ้วยนี้มิได้รสขมเหมือนที่คาดคิดไว้
อันหลิงเกอจึงเอ่ยออกมาด้วยความงุนงง “หมิงซิน นี่คือฝีมือผู้ใด เหตุใดยามิขมสักนิด ? ”
เมื่อหมิงซินได้ยินก็ยิ้มพร้อมตอบว่า “ท่านอ๋องกำชับไว้เพราะรู้ว่าพระชายามู่กลัวรสขม บ่าวจึงเคี่ยวโดยใส่น้ำผึ้งลงไปมิน้อยเลยเจ้าค่ะ”
“เขาเอาใจสตรีเก่งจริงเชียว” แม้อันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนี้ออกมาแต่ใบหน้าแสดงถึงความสุขอย่างเห็นได้ชัด
“จริงเจ้าค่ะ พระชายา ท่านอ๋องกระทำเยี่ยงนี้มองก็รู้ว่าโปรดปรานพระชายามากเพียงใด”
“แล้วผู้อื่นเล่า ? ” อันหลิงเกอดื่มยาหมดก็ทอดมองไปนอกหน้าต่างราวกับมิได้ใส่ใจ
“ดูเหมือนมิได้รับเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเฝ้ารอจนราตรีกาลมาเยือน นางรอให้มู่จวินฮานกลับมาทว่าเห็นเพียงบุรุษชุดดำเข้ามาในลานกว้างอีกทั้งจับตัวปี้จูเอาไว้ด้วย
“ปี้จู ! ” อันหลิงเกอรีบเอื้อมมือไปรับตัวปี้จู ส่วนชายผู้นั้นพลันล้มลงตรงหน้าของนางแทน
“จวินฮาน ! ” เพราะกลิ่นอายที่คุ้นเคยทำให้อันหลิงเกอได้สติทันที บุรุษชุดดำที่ล้มลงไปนี้ถ้ามิใช่มู่จวินฮานแล้วยังมีผู้ใดอีก !
ในช่วงเวลาอันตรายเยี่ยงนี้ เขาออกไปช่วยสาวใช้กลับมาก็เพื่อนาง !
อันหลิงเกออดแสบจมูกขึ้นมามิได้ นางให้หมิงซินพาปี้จูไปพัก ส่วนตนก็พามู่จวินฮานเข้ามาในห้อง
จากนั้นอันหลิงเกอก็หยิบกล่องยาออกมาแล้วพบว่าบนร่างกายของมู่จวินฮานเต็มไปด้วยบาดแผลจากคมดาบและธนู เขาหักลูกธนูทิ้งแล้วทว่าลูกศรยังฝังอยู่ในบาดแผล
“อย่ากลัว มิเป็นไรหรอก”
เขาพลิกมือมากุมมือของอันหลิงเกอไว้และพยายามปลอบใจ
อันหลิงเกอกัดฟัน โชคดีที่นางมีทักษะการแพทย์ ทว่าต่อหน้าของมู่จวินฮานแล้ว นางก็มิกล้าลงมือ
“โอ๊ย”
เขาอดกลั้นอย่างสุดแรง นี่คือความเจ็บปวดที่แผ่มาจากส่วนลึกของกระดูกและทำให้เขากัดฟันข่มกลั้น
นางทำความสะอาดและทำแผลให้ทั้งหมด วันรุ่งขึ้นเมื่อเห็นมู่จวินฮานยังหลับสนิทนางจึงได้วางใจ
ส่วนปี้จูมิเป็นอันใดมากเพราะมู่จวินฮานปกป้องมาตลอดทาง บาดแผลจึงตกมาอยู่บนตัวของเขาแทน
*หากรักก็ต้องรักกระทั่งอีกา กล่าวได้ว่าเขาเองก็คิดเยี่ยงนั้น
…
*เฝ้าตอไม้รอกระต่าย หมายความว่า เฝ้ารอผลประโยชน์เมื่อสบโอกาสโดยไม่คิดลงทุน
*หากรักก็ต้องรักกระทั่งอีกา หมายความว่า เมื่อชอบบ้านหลังนี้ก็ต้องชอบแม้กระทั้งอีกาที่เกาะอยู่บนหลังคาบ้านหลังนี้ด้วย หรือรักเขาก็ต้องรักทุกสิ่งที่เป็นเขานั่นเอง