107 แปรเปลี่ยน กายาทองคำ

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 107 แปรเปลี่ยน! กายาทองคำ!

เสียงของจักรพรรดิหมิงค่อยๆ ลดลง

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรซึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้นตอบกลับทันทีว่า “รายงานฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“ตอนนั้นจักรพรรดิถังเพิ่งแต่งตั้งองค์รัชทายาท องค์ชายผู้นั้นไม่ยินยอมกับเหตุการณ์นั้น จึงติดต่ออาณาจักรหนานหมิงมาและต้องการใช้อำนาจของหนานหมิงของพวกเราในการขึ้นครองบัลลังก์เสียเอง”

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรกล่าวบอก

“ตอนนี้เจ้าจงตอบกลับเขาไปว่า…”

จักรพรรดิหมิงเอนตัวลงเล็กน้อยไปบนบัลลังก์มังกรแล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ข้าเห็นดีเห็นงามด้วย”

คำที่กล่าวออกมา

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรถึงกับมีท่าทีเปลี่ยนไป

การช่วยเหลือองค์ชายจากอาณาจักรถังขึ้นครองราชย์ไม่ได้มีประโยชน์ใดต่อหนานหมิง

สำหรับอาณาจักรหนานหมิงแล้ว ยิ่งทำให้อาณาจักรถังวุ่นวายได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น หากมีจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ คงจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดีสำหรับพวกเขา…

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”

จักรพรรดิหมิงเหลือบมองไปที่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรแล้วพูดเบาๆ “ข้าก็แค่สัญญาว่าจะให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ไม่ได้รับประกันเสียหน่อยว่าเขาจะได้นั่งบนบัลลังก์ต่อไปอีกนานแค่ไหน”

“ตามพระบัญชา”

“ขุนนางผู้นี้จะรีบติดต่อกลับไปเดี๋ยวนี้”

หัวใจของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเต้นกระตุก แล้วจึงกล่าวคำอย่างรวดเร็ว

เมื่อผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรจากไปอย่างสมบูรณ์ จักรพรรดิหมิงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปนอกห้องโถง

“อาณาจักรถัง ฮ่าฮ่าฮ่า……”

พระราชวังถัง

ตำหนักชุนฝั่งขวา

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ลมหายใจหมุนเวียนเปลี่ยนถ่าย ดูไม่ลดละความพยายาม

จากนั้นไม่นาน

ซูฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“ในที่สุด”

ซูฉินยกมือซ้ายขึ้นและเห็นเป็นพลังหยินทั้งเก้าสายลอยระเหยออกมาพัวพันกันไปมาระหว่างนิ้วของเขา มันปล่อยคลื่นพลังที่ชวนให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน

“คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งฝึกจนสำเร็จขั้นสูงสุดแล้ว เพียงสะบัดมือก็สามารถเปลี่ยนพื้นที่รอบตัวหลายสิบเมตรให้กลายเป็นเขตแดนเยือกแข็งที่สามารถกำจัดและปราบศัตรูได้ ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว”

ซูฉินรับรู้มันอย่างละเอียดอ่อนก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเทียบกับคัมภีร์เก้าสุริยันที่แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งเปรียบเสมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เหมือนละอองฝนที่ทำให้สรรพสิ่งชุ่มชื่นขึ้นอย่างเงียบเชียบ

บ่อยครั้งที่ศัตรูจะถูกกัดกินด้วยพลังของเก้าอิมฯ โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

“แต่ไม่ว่าจะเป็นเก้าอิมฯ หรือเก้าสุริยัน สำหรับข้ามันเป็นเพียงวิธีการ สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการเปลี่ยนแปลงร่างกายให้พัฒนาไปโดยใช้พลังหยางสุดขีด หยินสุดขั้ว…”

ดวงตาของซูฉินเปล่งประกายขึ้น

ตอนนี้ทั้งเก้าอิมจินเก็งและเก้าสุริยันได้ฝึกฝนจนสำเร็จวิชาแล้ว ถึงเวลาเตรียมตัวที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกาย

“ออกจากวังเสียก่อนแล้วเรื่องนี้ค่อยว่ากัน”

ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา

เมื่อคิดได้ดังนั้นซูฉินก็เกร็งกำลัง ก้าวเท้าตรงออกจากพระราชวังและออกจากเมืองฉางอัน

“ที่นี่ก็ไม่เลวนะ”

ซูฉินพบหุบเขาที่ห่างออกไปกว่ายี่สิบลี้นอกเมืองฉางอัน

หุบเขาแห่งนี้มีภูเขาที่งดงามและน้ำทะเลที่ใสสะอาด พลังฉีฟ้าดินในระยะหลายสิบลี้โดยรอบค่อนข้างหนาแน่น

“ที่นี่แหละ”

ซูฉินลอยเข้าไปด้านในหุบเขา

“ก่อนอื่นต้องจัดเตรียมค่ายกลฟ้าดินเอาไว้จำนวนหนึ่งเพื่อกันไม่ให้ใครมารบกวนได้”

เพียงแค่คิด พลังฟ้าดินก็รวมตัวก่อเป็นค่ายกลฟ้าดินที่ใช้ในการซ่อนเร้น ห่อหุ้มหุบเขาทั้งหมดเอาไว้

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินนั้น แม้จะอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาก็ไม่ควรมีสิ่งใดมารบกวนเขาได้ แต่การทำสถานที่ให้เงียบสงบไว้ก่อนย่อมดีกว่า

อย่างไรก็ตามซูฉินเองก็มีรูปแบบค่ายกลอยู่ในมือหลายสิบชุด เพียงแค่ต้องการก็สามารถก่อตั้งค่ายกลได้เพียงนึกคิด ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด

หลังจากที่ตั้งค่ายกลฟ้าดินเรียบร้อยแล้ว

ซูฉินก็พบสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับนั่งบ่มเพาะภายในหุบเขาแห่งนี้

“แม้ว่าจะไม่มีตำนานยุทธอยู่ภายในทวีปแห่งนี้ แต่นอกแผ่นดินใหญ่โพ้นทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตานั่น ยังมีผู้ทรงพลังระดับตำนานยุทธคงอยู่”

ซูฉินคิดในใจเงียบๆ   

เขาไม่ได้รีบร้อนเริ่มต้นในทันที แต่กำลังปรับสภาพตนเองและมุ่งหมายที่จะบรรลุการเปลี่ยนแปลงศักยภาพทางกายในทีเดียว

“เช่นปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง รวมถึงยอดยุทธจากดินแดนอื่นๆ ต่างก็มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการดำรงอยู่ของตำนานยุทธไม่มากก็น้อย”

“ตำนานยุทธเหล่านั้นข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อแสวงหาสิ่งที่เสริมอายุขัยให้ยืนยาว และบางทีพวกเขาบางส่วนอาจจะกลับมาบ้างก็เป็นได้ ถ้ายามนั้นมาถึง หากข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ เกรงว่าจะเป็นตัวข้าเองที่ต้องทนทุกข์ทรมาน”

ทันใดนั้นซูฉินก็เร่งรีบขึ้นมา

“มาเริ่มกันเลย”

ซูฉินยกมือขึ้น

นิ้วทั้งห้าของมือขวาพัวพันไปด้วยพลังหยางเก้าสาย และมือซ้ายนั้นโอบล้อมไปด้วยพลังหยินทั้งเก้าเส้น

หากต้องการให้หยินหยางผสานร่วมกันและไปถึงขั้นที่เพิ่มศักยภาพทางร่างกายได้ จะต้องใช้ความช่วยเหลือจากดวงตาแห่งสัจจะเพื่อช่วยให้เข้าใจรายละเอียดภายในตนเสียก่อน

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมไม่มีจอมยุทธในโลกนี้เหมือนกับซูฉินที่นำพลังหยางและหยินมาเสริมร่างกายให้แข็งแกร่งได้

ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการ เพียงแต่ไม่กล้า

แน่นอนว่าพลังหยินและพลังหยางนั้นอยู่ร่วมกันได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีการยับยั้งซึ่งกันและกัน เมื่อมารวมอยู่ในร่างกายแล้ว หากเกิดความประมาทจนส่งผลให้สมดุลระหว่างทั้งสองพังทลาย จุดจบคงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง

ซูฉินคือผู้ที่สามารถสังเกตทุกอย่างภายในตนด้วยทิพยอำนาจอยู่ตลอดเวลา และสามารถรักษาสมดุลของหยินและหยางได้ ทำให้เขาไม่กลัวสิ่งเหล่านั้น

หากเปลี่ยนเป็นจอมยุทธคนอื่น แม้ว่าจะเป็นตำนานยุทธก็ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย เพราะเพียงประมาทนิดเดียวก็อาจบาดเจ็บสาหัสได้

หวึ่ง! 

ซูฉินค่อยๆ กระตุ้นพลังหยางทั้งเก้าแผ่กระจายเชื่อมเข้ากับพลังหยินอย่างไม่เร่งรีบ

“อ๊ะ?”

ซูฉินรู้สึกว่าร่างกายของเขาชาวาบ ร่างระทวยลงไปราวกับถูกสายฟ้าฟาด จมลงไปในสนามกระแสไฟฟ้า

ถ้ามีใครอยู่ที่นี่เวลานี้ พวกเขาจะต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างกายของซูฉินเต็มไปด้วยพลังสองขั้วที่กำลังต่อต้านกัน

กลุ่มก้อนพลังทั้งสองยังคงปะทะกันอยู่ แต่ก็ค่อยๆ รวมเข้าด้วยกัน ในที่สุดก็เกิดเป็นไอพลังที่อธิบายไม่ได้ซึ่งหลอมรวมเข้ากับร่างกายของซูฉินอย่างต่อเนื่อง

“เป็นเช่นนี้จริงๆ”

“พลังหยินและหยางยังคงมีผลอันน่าอัศจรรย์ในการเสริมศักยภาพร่างกาย”

ซูฉินรู้สึกได้ถึงร่างกายที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้น เขามีความสุขมาก

การปรับปรุงศักยภาพทางกายเช่นนี้ทำให้ซูฉินนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น ที่สามารถก้าวหน้าได้อย่างก้าวกระโดด

เวลาผ่านเลยไป

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปภายในพริบตา

ขณะนี้ลมหายใจของซูฉินค่อยๆ สงบลง

“ใกล้แล้ว”

“หากยังคงฝืนต่อไป เกรงว่ามันจะทำให้ร่างกายบาดเจ็บได้”

ซูฉินรู้หลักการเกี่ยวกับ ‘การค่อยเป็นค่อยไป‘ จึงหยุดฝึกฝนทันที

“พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”

ซูฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ลุกขึ้นและกลับไปที่ตำหนักชุนฝั่งขวาของพระราชวังตะวันออก

ในช่วงเวลาที่เหลือ

นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกวัน ซูฉินก็มักจะใช้เวลาวันละชั่วโมงในการปรับสภาพร่างกายของตนที่นี่

หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…

กระทั่งหนึ่งเดือนได้ผ่านพ้นไป

ด้านในหุบเขา

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ เส้นสายพลังหยินและหยางปะทะกันไม่หยุดภายในร่างกายของเขา และในที่สุดก็หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างช้าๆ ให้กำเนิดไอพลังชนิดใหม่ที่อธิบายไม่ได้ แทรกซึมเข้าไปอยู่ในร่างของซูฉิน

“ถึงขีดจำกัดแล้ว”

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ความคิดของเขาผันผวนอยู่ในใจ

ในความเป็นจริงนั้น ตั้งแต่เมื่อสิบวันก่อนซูฉินรู้สึกว่าการพัฒนากายเนื้อของเขาเริ่มช้าลงและมาจนถึงวันนี้การพัฒนานั้นก็หยุดไปโดยสิ้นเชิง

แม้ว่าซูฉินจะเสียดาย แต่เขาก็ได้คิดเอาไว้อยู่แล้ว

“ตอนนี้ร่างของข้าแข็งแกร่งแค่ไหนกันนะ?”

ซูฉินเหยียดมือขวาออกไป เพียงออกแรงน้อยๆ ทันใดนั้นก็มีสีทองจางๆ ปรากฏขึ้นบนผิวหนังของเขา

สีทองจางๆ นี้ไม่ได้เป็นสีทองแดงเช่นพลังจากกายาวัชรคงกระพัน แต่มันเหมือนกันสีทองขององค์ยูไลที่อยู่ในส่วนลึกระหว่างคิ้วของซูฉิน

“กายาทองคำ?”

“หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าร่างกายของข้ามีพลังบางอย่างเฉกเช่นกายาทองคำเช่นนั้นน่ะหรือ?”

ซูฉินรู้สึกประหลาดใจจนไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไร