108 ความแข็งแกร่งที่พุ่งทะยาน

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

นอกเมืองฉางอัน

 

สักแห่งภายในหุบเขา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ รับรู้ความแตกต่างของร่างกายตนเองในตอนนี้เทียบกับเมื่อก่อน

 

“ความแข็งแกร่งพุ่งขึ้นสูงอย่างน้อยก็สองถึงสามเท่า…”

 

รอยยิ้มอันแสดงถึงความพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของซูฉิน

 

โดยไม่ต้องอาศัยแก่นแท้แห่งพลังและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เขามีความรู้สึกว่าตอนนี้การชกเพียงครั้งเดียวด้วยพลังกายล้วนๆ ก็เพียงพอที่จะเจาะทะลวงเนินเขาเล็กๆ ได้

 

มันน่าทึ่งมาก

 

รู้หรือไม่ว่าการพัฒนาเพียงเล็กน้อยก็ยากมากแล้ว นับประสาอะไรกับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดขึ้นหลายเท่าเช่นนี้?

 

ตำนานยุทธและอรหันต์มากมายได้หมุนเวียนเปลี่ยนหน้า มีคลื่นลูกใหม่แทนที่คลื่นลูกเก่ามานานหลายทศวรรษแล้ว และเป็นเรื่องยากที่จะก้าวหน้าขึ้นไปในการบ่มเพาะ

 

แต่กับซูฉิน ใช้เวลาไม่ถึงสิบปีตั้งแต่บรรลุขอบเขตอรหันต์ เขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สามและเคยเปลี่ยนแปลงร่างกายไปแล้วถึงสี่ครั้ง ไม่รู้ว่ามีใครทำได้เช่นนี้มาก่อนหรือเปล่า แต่อย่างน้อยคนนั้นคงไม่ได้ปรากฏในทวีปนี้เป็นแน่

“นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว ความสามารถในการป้องกันยังได้รับการเสริมแกร่งเพิ่มอีกอย่างมาก”

 

ซูฉินยกมือซ้าย ถกแขนเสื้อขึ้นให้เห็นแขนที่เรียวและบอบบาง จากนั้นก็ใช้มือขวาสะบัดมือฟาดประกายดาบออกมาแวบหนึ่ง และมันไปตกลงบนแขนซ้ายอย่างเงียบเชียบ

 

ประกายดาบอันนั้นถูกยับยั้งไว้ได้อย่างสมบูรณ์ นี่หากประกายดาบนี้ฟาดไปโดนวัตถุอย่างอื่น มันสามารถสร้างรอยแยกบนกำแพงเมือง ทลายเมือง หรือทำลายแผ่นดินได้อย่างง่ายดาย

 

แต่ในขณะนี้ การโจมตีเมื่อครู่ฟาดเข้าใส่แขนอันเรียวเล็กและบอบบางของซูฉิน แต่กลับหลงเหลือไว้เพียงรอยถลอกสีขาวๆ ที่มองแทบไม่ออก

 

และหลังจากรอยถลอกนั้นปรากฏขึ้น มันก็จางไปอย่างรวดเร็วในความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพียงไม่นานมันก็กลับสู่สภาพดังเดิม

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ตามการคาดเดาของซูฉิน ในตอนนี้ร่างกายของเขาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอจะหยุดการโจมตีของจอมยุทธส่วนใหญ่ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับตำนานยุทธได้แล้ว

 

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าซูฉินจะยืนนิ่งเฉยและปล่อยให้ตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่หนึ่งโจมตีเข้าใส่ มันก็เหมือนเป็นเพียงสายลมพัดผ่านใบหน้าเขาไปเท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องสนใจอะไร

 

“แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงร่างกายในครานี้ก็คือร่องรอย ‘อัตลักษณ์สีทอง‘ ที่ถือกำเนิดขึ้น

 

ซูฉินเบี่ยงสายตาไปเล็กน้อยจนไปตกอยู่ที่แขนของตนอีกครั้ง มีสีทองอ่อนๆ ไหลไปตามผิวหนัง

 

‘อัตลักษณ์สีทอง‘ แสดงถึงความเป็นอมตะ

 

ไม่ว่าจะเป็นกายาทองคำในสายพุทธ หรือกายแห่งธรรมชาติของทางเต๋า เมื่อฝึกฝนไปจนถึงขั้นสูงแล้วนั้น ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับ ‘อัตลักษณ์สีทอง‘

 

ร่องรอยสีทองที่ปรากฏบนผิวหนังของซูฉิก็พอจะพิสูจน์ได้ว่าซูฉินกำลังก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง

 

“น่าเสียดายที่อัตลักษณ์สีทองนี้มีน้อยเกินไป หากต้องการจะไปถึงระดับเดียวกันกับองค์ยูไลทองคำโบราณที่อยู่ระหว่างคิ้ว อย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายอีกเป็นร้อยครั้งถึงจะพอมีหวัง?”

 

ซูฉินแตะไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเองก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

แม้ว่าซูฉินจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้หดหู่อะไร ตอนนี้เขามีเวลาเหลือเฟือ ช่วงชีวิตกว่าหนึ่งพันปีนั้นเรียกได้ว่าเกินพอ แม้ว่าเขาจะพัฒนาขึ้นทีละนิดในทุกๆ สิบปีก็ตาม

 

“ความแข็งแกร่งของข้าน่าจะพอที่จะเข้าสู่ขอบเขตตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่แล้วใช่หรือไม่?”

 

ความคิดของซูฉินสั่นกระเพื่อม ดวงตาพลันสดใส

 

ระดับชั้นก็คือเรื่องของระดับชั้น

 

การต่อสู้ก็คือเรื่องของการต่อสู้

 

จอมยุทธบางคนเก่งกาจในการต่อสู้และพวกเขามักจะเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่า แม้ตนจะด้อยกว่า

 

แน่นอนว่าหากระดับชั้นนั้นแตกต่างกันมากเกินไป เช่นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสู้กับผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่สาม ไม่ว่าจอมยุทธที่อยู่ในระดับชั้นที่สามจะต่อสู้เก่งกาจเพียงใด แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็สามารถกำราบได้อยู่ดี

 

ทั่วทั้งยุทธภพมียอดยุทธเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองได้ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากโชค โอกาสที่ดี หรือไม่ก็เป็นพวกที่มีพรสวรรค์สูงส่ง

 

“ตอนนี้ร่างกายก็ได้รับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาเตรียมที่จะบุกทะลวงเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สี่”

 

ซูฉินหรี่ตาแคบลงแล้วตัดสินใจ

 

เดิมทีเขาอยู่ในระดับนภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์อยู่แล้ว และเหตุผลที่ลากถ่วงเวลามาจนป่านนี้ก็เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายให้เรียบร้อยก่อน เพราะการบุกทะลวงขั้นต้องมั่นใจอย่างมากว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใด

 

ตอนนี้เขาได้สร้างความมั่นใจอย่างเต็มที่แล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาขั้น

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านในพระราชวังเฉิน

 

องค์ชายเฉินสวมชุดคลุมที่ดูหรูหรา แต่ใบหน้ากลับมืดมน

 

“ท่านพ่อรังแกข้าอีกแล้ว…”

 

ใบหน้าขององค์ชายเฉินน่าเกลียดมาก

 

เมื่อไม่นานมานี้องค์ชายเฉินพบว่าขุนนางบางคนที่สนับสนุนเขาอยู่นั้นถูกย้ายออกไปทีละคน ไม่ว่าจะให้ออกจากราชสำนัก หรือถูกส่งตัวไปยังพื้นที่อันห่างไกล

 

ถ้าเป็นเพียงหนึ่งหรือสองคนอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่กลับส่งคนออกไปติดต่อกันหลายสิบคน ถ้าองค์ชายเฉินไม่สามารถคิดได้ เขาก็คงเป็นคนโง่จริงๆ แล้วล่ะ

 

“ทำไมกัน!”

 

“ทำไมท่านพ่อจึงโปรดลูกนอกคอกขนาดนั้น!!”

 

ดวงตาขององค์ชายเฉินแดงก่ำ ใบหน้าของเขาแสดงอาการไม่เต็มใจ

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังจะอายุมากแล้ว แต่อย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์จักรพรรดิแห่งต้าถัง ถ้าต้องการจะปราบปรามองค์ชายก็กระทำได้ดั่งใจนึก

 

องค์ชายเฉินยังอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิถังยังมีสายใยของพ่อลูกอยู่ เขาอาจจะโดนเนรเทศไปยังพื้นที่ห่างไกลประหนึ่งเป็นองค์ชายที่ไร้ประโยชน์เสียแล้ว

 

ในตอนนั้นเอง

 

ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นที่ปรึกษาก็รีบปรี่เข้ามา

 

“ฝ่าบาท”

 

“ฝ่าบาท”

 

ที่ปรึกษาเดินมาหยุดไม่ห่างไปจากองค์ชายเฉินมากนักแล้วรีบพูดขึ้นว่า “หนานหมิงส่งข่าวมาแล้ว”

 

“หนานหมิง?”

 

องค์ชายเฉินตกใจมาก

 

“พวกเจ้าออกกันไปให้หมด”

 

องค์ชายเฉินเหลือบมองสาวใช้ที่อยู่ทั้งสองข้าง แล้วจึงเอ่ยกล่าวเบาๆ

 

“เจ้าค่ะ”

 

ทันใดนั้นในห้องโถงก็เหลือเพียงองค์ชายเฉินและที่ปรึกษาวัยกลางคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่

 

“หนานหมิงบอกมาว่าอย่างไร?”

 

องค์ชายเฉินสูดลมหายใจและจ้องมองไปยังที่ปรึกษาเขม็ง

 

“ฝ่าบาท”

 

“หนานหมิงสัญญาว่าจะสนับสนุนพระองค์ให้ขึ้นครองราชย์”

 

ที่ปรึกษาวัยกลางคนกล่าวอย่างระมัดระวัง

 

“โอ้?”

 

องค์ชายเฉินดูมีความสุข

 

สิ่งที่เขากังวลที่สุดคือหนานหมิงจะดูถูกเขาที่เป็นเพียงองค์ชาย

 

แต่ตอนนี้ เนื่องจากจักรพรรดิหมิงเห็นด้วย แสดงว่าอีกฝ่ายพร้อมที่จะเดิมพันบางอย่างกับเขา

 

“มันมีเงื่อนไขอะไรบ้าง”

 

องค์ชายเฉินนั่งลงและเอ่ยถาม

 

ในฐานะองค์ชายของอาณาจักรถัง องค์ชายเฉินรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะได้มาโดยไม่เสียอะไรตอบแทน

 

แม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายเองก็ยังต้องตอบแทนเลย นับประสาอะไรกับข้อตกลงระหว่างสองอาณาจักร

 

“จักรพรรดิหมิงกล่าวว่าหลังจากที่พระองค์ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว พวกเราจำเป็นต้องส่งชุดเกราะสำหรับการรบแปดแสนชุดไปยังหนานหมิง และพวกนั้นขอยืมใช้เส้นทางผ่านไปยังราชวงศ์ซ่งทางตอนเหนือ…”

 

ที่ปรึกษาวัยกลางคนโค้งคำนับและกล่าวคำ

 

“ชุดเกราะแปดแสนชุด?”

 

ใบหน้าขององค์ชายเฉินเปลี่ยนไป

 

ชุดเกราะออกรบของราชวงศ์ถังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแดนดิน ควบคู่ไปกับชื่อเสียงของทหารม้าเกราะเหล็กของอาณาจักรเหมิ่งหยวน เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือทางสงครามที่ยอดเยี่ยมทั้งคู่ ไม่รู้ว่าอาณาจักรหนานหมิงหมายตาของเหล่านี้มานานแค่ไหนแล้ว

 

เป็นที่น่าเสียดายที่มีเพียงอาณาจักรถังเท่านั้นที่รู้วิธีเกี่ยวกับวิธีสร้างชุดเกราะออกรบเช่นนี้ และแม้ว่าหนานหมิงจะมีชุดเกราะเช่นกัน แต่มันก็ไม่ได้มีประโยชน์ต่อพวกนั้นมากนัก

 

องค์ชายเฉินคิดเอาไว้แล้วว่าหนานหมิงจะให้ความสนใจกับชุดเกราะออกรบ แต่เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะประกาศเจตนารมณ์เสียงดังฟังชัดเช่นนี้

 

ส่วนการยืมใช้เส้นทางผ่านไปยังราชวงศ์ซ่งทางตอนเหนือ เรื่องนั้นไม่ได้เป็นปัญหาอะไร

 

“กลับไปบอกหนานหมิง”

 

“ว่าข้าตกลง”

 

องค์ชายเฉินคิดอยู่นานก่อนจะกัดฟันพูดออกไป

 

ตราบใดที่เขาสามารถนั่งบนบัลลังก์นั่นได้ อย่าว่าแต่ชุดเกราะแปดแสนชุดเลย องค์ชายเฉินสามารถตกลงได้หมดไม่ว่าราคามันจะสูงแค่ไหนก็ตาม

 

เพราะเขาไม่มีทางเลือก

 

ตอนนี้เขาได้เลือกเส้นทางที่จะแย่งชิงบัลลังก์แล้ว ต้องใช้ทุกอย่างที่มีเท่านั้นจึงจะอยู่รอด

 

“ฝ่าบาท”

 

ที่ปรึกษาวัยกลางคนดูลังเลจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “แผนการของจักรพรรดิหมิงมิอาจหยั่งรู้ได้ องค์ชายจะต้องระวังให้ดี…”

 

ที่ปรึกษาวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

 

“แน่นอนว่าข้าย่อมรู้”

 

องค์ชายเฉินค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปมาไม่กี่ก้าว

 

“เอาล่ะ”

 

“เจ้าไปได้แล้วล่ะ”

 

“ระหว่างนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวอะไรมาก”

 

องค์ชายเฉินนั่งลงอีกครั้ง มองไปยังที่ปรึกษาวัยกลางคนแล้วเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้ม

 

“ขอรับ”