ภาค 3 บทที่ 189 คนตัดฟืนที่ฟันคน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ยามฟ้าสว่างแจ้ง เสียงคำรามข้างหูทำให้ทหารที่นั่งยองกรนอยู่บนป้อมเปี่ยวซานพลันตื่นขึ้นมา แต่ละคนๆ รีบเรียกสติขึ้นมา 

 

 

“เวลาไหนแล้ว พวกเจ้ายังกล้าลอบขี้เกียจอีก” หัวหน้าทหารติงเอ่ยด่าโกรธเกรี้ยว 

 

 

“ใต้เท้า พวกเราไม่ได้อยากแอบขี้เกียจแต่ทนไม่ไหวจริงๆ” ทหารคนหนึ่งทำใจกล้าเอ่ย 

 

 

“ใช่แล้ว ใต้เท้า ทหารกองหนุนจะมาถึงเมื่อไรขอรับ?” ทหารอีกคนหนึ่งก็รีบร้อนเอ่ยถามบ้าง 

 

 

ติงต้าซานหัวหน้าทหารของป้อมเปี่ยวซานสีหน้าดำทะมึน เห็นชัดว่าคำถามสองข้อนี้เขาล้วนไม่อยากตอบ ข้ออ้างที่หาได้ เหตุผลที่พูดเลี่ยงได้ ครึ่งเดือนนี้ก็ใช้ไปเกลี้ยงแล้ว 

 

 

ฉับพลันดวงตาเขาก็ทอประกาย 

 

 

“ดูด้านนั้น” เขาเอ่ย 

 

 

ด้านนั้นมีอะไร? พวกทหารรีบมองไปตกใจสะดุ้งโหยงทันที 

 

 

ควันกลุ่มหนึ่งลอยโขมง ใต้แสงตะวันกำลังพลขบวนหนึ่งสวมชุดเกราะโดดเด่น แต่กลับแตกต่างกับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

ไม่ใช่ทหารจินยังเป็นใครได้อีก 

 

 

พวกทหารกลัวจนทั้งร่างเหงื่อกาฬแตกพลัก ทั้งป้อมล้วนตึงเครียดขึ้นมา 

 

 

เตรียมป้องกันอยู่ที่นี่ครึ่งเดือนแล้ว พวกเขาคุ้นชินกับทหารจินกลุ่มนี้แล้ว 

 

 

นี่เป็นทหารจินที่ยึดครองหอชีหลี่ไว้ อาศัยทหารจินสามพันนายในเมืองไคเต๋อเป็นกองหนุน โอ้อวดแสนยานุภาพ ปล้นชิงทุกหนทุกแห่ง 

 

 

ไม่ใช่ไม่มีใครสู้พวกเขาได้ แต่ทหารจินเหล่านี้ที่บุกตรงจากแดนเหนือมาถึงที่แห่งนี้ดุดันอย่างที่สุด อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ดีเยี่ยม สู้กับพวกเขาไม่มีข้อได้เปรียบสักนิด ตรงกันข้ามทหารจินที่เมืองไคเต๋อจะโถมโต้กลับ 

 

 

เพราะสถานการณ์ไม่แน่ชัด บวกกับกองหทารอันลี้ผละถอย ทหารประจำการแต่ละกองที่รั้งอยู่ป้องกัน ชั่วขณะจึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับสถานการณ์ ได้แต่ถูกสั่งให้รอทหารกองหนุน 

 

 

ทหารกองหนุนก็ไม่มาแล้วไม่กล้าเสี่ยงออกศึก ได้แต่เบิ่งตามองทหารจินโอ้อวดแสนยานุภาพใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกประชาชน 

 

 

“โจรสุนัขฝูงนี้จะไปก่อภัยที่ไหนอีก?” หทารหลายคนถ่มน้ำลายด่าเกรี้ยวกราด 

 

 

ทหารจินยิ่งเข้ามาใกล้ด้านหน้าป้อมปราการทุกที แต่กลับไม่มีเสียงร้องด่าท้าทายเช่นนั้นเหมือนก่อนหน้านี้ กลับมุ่งไปด้านหน้าตามทาง 

 

 

ไม่รู้ว่ามีหมู่บ้านไหนต้องเคราะห์ร้ายอีก 

 

 

ทหารบนกำแพงเมืองสีหน้าโกรธแค้น แต่หัวหน้าทหารติงสั่งเสียงเบาว่าอย่าก่อเรื่องจึงได้แต่อดกลั้นไว้ ระวังป้องกันแล้วมองทหารจินเหล่านี้อย่างชิงชัง 

 

 

ทว่ามีนายทหารคนหนึ่งมองเห็นคนผู้หนึ่งในหมู่ทหารจินกลุ่มนั้น ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ ในมือกำลูกศรแน่น 

 

 

“โจรสุนัข!” เขาพลันกระโดดขึ้นมา “คืนชีวิตพ่อแม่ข้ามา” 

 

 

พร้อมกับเสียงตะโกนลูกศรในมือก็หลุดออกจากสาย คนผู้หนึ่งในกลุ่มทหารจินที่เดินทางอยู่ร้องโอ้ยทีหนึ่งก็พลิกร่วงจากม้า 

 

 

เรื่องกะทันหันนี่ทำให้คนที่เหลือล้วนตกใจสะดุ้งโหยง 

 

 

ติงต้าซานยิ่งเหงื่อกาฬไหลริน 

 

 

“หม่าตู เจ้าทำอะไร?” เขาตวาดเสียงเบา 

 

 

นายทหารอายุน้อยที่ถูกเรียกว่าหม่าตูทั้งร่างสั่นเทา คล้ายไม่ทันคิดว่าตนเองจะยิงโดนได้ สีหน้าคล้ายยินดีแต่ก็คล้ายจะโศกเศร้า 

 

 

“เขาฆ่าพ่อแม่ของข้า” เขาตะโกนเสียงสั่น 

 

 

ช่วงก่อนหน้านี่เองทหารจินกลุ่มนี้สังหารชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินทางหนีมายังป้อมปราการ ในนั้นก็มีพ่อแม่ของทหารน้อยหม่าตูอยู่ด้วย 

 

 

นี่เป็นแค้นไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า ติงต้าซานก็ไม่สะดวกพูดอะไร 

 

 

“เตรียมรบเถอะ” เขาครุ่นคินครู่หนึ่งสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น 

 

 

ทหารทั้งหลายบนป้อมปราการเคลื่อนไหวทันที เล็งศรไปที่ทหารจินใต้กำแพงเมือง 

 

 

ทหารจินยังตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย พยุงคนที่ถูกยิงร่วงจากม้าคนนั้นไว้ ทหารจินนายนี้ไม่ได้ถูกยิงจุดสำคัญ ลุกขึ้นมาจากพื้นกุมบาดแผลร้องด่าโหวกเหวก ส่วนทหารจินคนอื่นอับอายโมโหหันหัวม้าเล็งศรไปยังป้อมปราการด้านนี้ 

 

 

แต่แม่ทัพจินคนหนึ่งที่นำหน้าอยู่ตะโกนอะไรหลายประโยค ทหารจินเหล่านี้จึงท่าทางไม่ยินยอมเก็บคันศรไป ด่าคนที่อยู่บนป้อมปราการหลายประโยคก็ขึ้นม้าจากไปแล้ว 

 

 

ฝุ่นควันลอยตลบ หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว ทหารโจวบนป้อมปราการยังตะลึงอยู่บ้าง 

 

 

ถึงกับจากไปแล้ว? 

 

 

ถูกยิงบาดเจ็บคนหนึ่ง กลับไม่สวนคืนก็จากไปแล้ว? 

 

 

หม่าตูที่ยิงศรออกไปดอกหนึ่งประหนึ่งถูกดูดเรี่ยวแรงจนเกลี้ยงทรุดนั่งลงกับพื้น ฝังศีรษะกับหัวเข่าร้องไห้โฮโฮขึ้นมา 

 

 

ในเสียงร้องไห้นี้มีความยินดี มีความเศร้าโศกและตำหนิตนเอง 

 

 

เขาย่อมรู้ว่าศรดอกนั้นเมื่อครู่ของตนนำหายนะมาเยือนป้อมปราการได้ 

 

 

แม้ไม่รู้ว่าทำไมทหารจินกลุ่มนี้จึงจากไปเช่นนี้ ติงต้าซานก็ยังคงโล่งอก 

 

 

“ดูทิศทางของพวกเขาคือจะไปเมืองไคเต๋อ คาดว่าคงเรียกผู้ช่วย” มีทหารเอ่ยเสียงเบา 

 

 

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

เสียงสะอึกสะอื้นของหม่าตูก็ดังขึ้นด้วย 

 

 

ติงต้าซานหน้าทะมึนเตะเขาทีหนึ่ง 

 

 

“ร้องไห้หาอะไร! ไม่เอาไหน!” เขาตะคอก “ลุกขึ้นมา ศรดอกเดียวยังยิงไม่ตาย ตอนรบเจ้าอย่าให้ข้าขายหน้า” 

 

 

หม่าตูเงยหน้าขึ้น สีหน้าตะลึงเล็กน้อย คล้ายไม่เข้าใจความหมายของเขา 

 

 

ติงต้าซานไม่มองเขาอีก ชักดาบที่เอวออกมา 

 

 

“ถ่ายทอดคำสั่ง เตรียมรบ” เขาคำราม 

 

 

……………………………………….  

 

 

แต่รอจนถึงวันที่สองก็ไม่มีทหารจินบุกมาอีก ตรงกันข้ามทหารจินกลุ่มนั้นไปแล้วไม่กลับ 

 

 

นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น 

 

 

ติงต้าซานส่งคนออกไปสืบข่าว ได้ข่าวมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

ที่แท้ทหารจินเหล่านี้ไม่ได้จะไปเรียกทหารกองหนุน แต่จะย้ายกลับเมืองไคเต๋อ หลายวันนี้ไม่ได้ออกมาอีก 

 

 

เหตุผลอะไรทำให้ทหารจินที่เหิมเกริมเหล่านี้ฉับพลันเป็นเช่นนี้? 

 

 

ข่าวที่ทหารสอดแนมนำกลับมายิ่งทำให้คนตื่นตะลึง 

 

 

“ทหารจินของหอชีหลี่ถูกคนสังหารคืนเดียวสิบสองคนรึ?” ติงต้าซานตะโกนตกตะลึง 

 

 

คำพูดนี้ทำให้ทหารทั้งหมดที่ป้อมปราการล้อมเข้ามา สีหหน้าตกตะลึงทั้งยังนับถือ 

 

 

ทหารจินเหล่านี้ร้ายกาจเท่าใดพวกเขาเคยประมือมาก่อน ในใจรู้ชัดยิ่ง โดยทั่วไปแล้วพวกเขาสามคนถึงตรึงหนึ่งคนไว้ได้ 

 

 

สังหารทหารจินสิบสองคนได้ ถ้าอย่างนั้นคนที่มาต้องไม่น้อยแน่ 

 

 

“นี่เป็นพี่น้องของที่ไหน?” ทุกคนพากันเอ่ยถาม “ไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวโยกย้ายทหารนะ” 

 

 

ทหารสอดแนมส่ายศีรษะ 

 

 

“ไม่ใช่คนของพวกเราทำ” เขาเอ่ย “นอกจากนี้ไม่ใช่คนมากมาย มีพยานในเหตุการณ์เล่าว่าคนเดียวทำ” 

 

 

คนเดียว! 

 

 

ผู้คนที่เอะอะอยู่แต่เดิมพริบตาเงียบลง 

 

 

คนเดียวสังหารสิบสองคน พวกเขาไม่รู้จะประเมินคนผู้นี้อย่างไรเลยจริงๆ 

 

 

นี่ไม่ใช่คนแล้ว 

 

 

“นี่เป็นใครกัน?” ติงต้าซานเอ่ยถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความตั้งตาคอย 

 

 

ผู้กล้าระดับนี้ต้องรับเข้ากองทัพให้ได้ 

 

 

“พยานบอกว่าเขาเรียกตนเองว่าเป็นคนตัดฟืนในชนบท” นายทหารสอดแนมเอ่ย 

 

 

ผู้คนเงียบอีกครั้ง 

 

 

คนตัดฟืนในชนบท… 

 

 

หรือเป็นคนชนบทที่บ้านแตกสาแหรกขาด วีรบุรุษเดียวดายต้องการสังหารทหารจินแก้แค้น? 

 

 

ในสมองของผู้คนเติมภูมิหลังความเป็นมาของคนผู้นี้ขึ้นมาเอง ถึงขั้นกระทั่งหน้าตาก็วาดเค้าโครงออกมาด้วย 

 

 

ผอมแห้งใสซื่อ คนประเภทที่ปกติไม่พูดไม่จาคล้ายท่อนไม้ที่ทุกคนล้วนรู้จัก แต่ถูกบีบคั้นจนหมดหนทางก็พลันระเบิด ฟ้าไม่กลัวดินไม่กลัว 

 

 

คนประเภทนี้พบเห็นได้ไม่น้อย แต่ระดับที่ระเบิดจนคนเดียวสังหารสิบสองคนได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ 

 

 

ตอนนี้คนตัดฟืนในชนบทร้ายกาจเช่นนี้แล้วรึ? 

 

 

“นี่ปกติตัดฟืนแบบไหนกันนะ” ติงต้าซานเอ่ยพึมพำ 

 

 

ทหารสอดแนมไม่ได้ยินคำพูดพึมพำของเขา คิดถึงอะไรได้ก็รีบร้อนเอาม้วนสาส์นฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออีก 

 

 

“อีกเรื่องใต้เท้า นี่เป็นประกาศจับที่ประกาศออกมา” เขาเอ่ย 

 

 

ติงต้าซานขมวดคิ้วรับมา 

 

 

“เวลาใดแล้ว ยังสนใจออกประกาศจับใครอีก” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ คลี่ออกดูภาพวาดในนั้น รวมึงตัวอักษร สีหน้าตกตะลึงจากนั้นก็ทำหน้าปั้นยาก 

 

 

“บุตรชายเฉิงกั๋วกงรึ…” 

 

 

เขามองเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ส่งม้วนสาส์นให้คนข้างกาย 

 

 

“ถ่ายทอดคำสั่งลงไปเถอะ” เขาเอ่ย 

 

 

………………………………………. 

 

 

บนเขาถูกอัคคีเผาไปครึ่งหนึ่ง หินภูเขาสูงชันตั้งตระหง่าน ในหน้าหนาวยิ่งแลดูโหดร้าย 

 

 

นี่เป็นเพราะมีชาวบ้านหลบเข้าไปในภูเขา ดังนั้นทหารจินจึงถือโอกาสวางเพลิงเสีย 

 

 

ในเขาเวลานี้ไม่มีชาวบ้านอยู่แล้ว อย่างไรคนที่หลบซ่อนอยู่ที่นี่ไม่มีของกินไม่มีน้ำดื่มก็มีแต่ตายสถานเดียว 

 

 

ท่ามกลางป่ามืดวังเวงผืนหนึ่งเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมา 

 

 

นี่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินทางตัดเขาอยู่ 

 

 

เสื้อผ้าที่เขาสวมหลุดลุ่ยอยู่บ้าง เชือกหญ้ามัดขวานเล่มหนึ่งไว้ข้างเอว ก้มศีรษะคล้ายมองหาอะไรอยู่ พลิกก้อนหินใต้เท้าเป็นระยะ 

 

 

เพราะก้มศีรษะจึงมองหน้าตาสีหน้าของเขาไม่ชัด เห็นเพียงก้าวเท้าที่เขาเดินยิ่งเร็วขึ้นทุกที 

 

 

ไม่นานก็มาถึงไหล่เขา เลี้ยวอ้อมเขาทีหนึ่ง เขาก็หยุดเท้า ออกแรงสูดดม แหงนศีรษะมองป่าเขาที่ว่างเปล่าเผยใบหน้ายิ้มแย้มออกมา 

 

 

หากเวลานี้มีคนที่เคยเห็นประกาศจับอยู่ที่นี่ ก็จะจำได้ว่านี่ก็คือจูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกง 

 

 

จูจั้นไม่ได้ร้อนรนที่ถูกประกาศจับสังหารไม่เว้น สีหน้าผ่อนคลายสบายๆ 

 

 

เขายืนอยู่กลางเขายิ่งแลดูโดดเดี่ยว 

 

 

แต่หลังครู่หนึ่งทั่วทุกสารทิศเสียงฝีเท้าตามติดมาด้วยบุรุษสิบกว่าคนก็โผล่ออกมาประหนึ่งหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝน 

 

 

คนเหล่านี้สวมใส่แต่งกายธรรมดา หน้าตาอายุไม่เหมือนกัน ที่เหมือนกันคือข้างเอวพวกเขาต่างเหน็บขวานไว้เล่มหนึ่ง 

 

 

พวกเขาไม่พูดสักคำ ล้อมเข้ามาหาจูจั้น จูจั้นก็ไม่เอ่ยวาจาอีก เดินไปหาพวกเขา ยืนอยู่ตรงหน้าบุรุษคนหนึ่งในนั้น 

 

 

บุรุษคนนั้นในมือหิ้วเสื้อผ้าชุดหนึ่งอยู่ มองเห็นจูจั้นก้าวเข้ามายืนก็หลีกทางให้ 

 

 

จูจั้นหันหลังให้ผู้คนขยับตัวอยู่พักหนึ่ง หมุนตัวมาอีกครั้งก็กลายเป็นชายฉกรรจ์หนวดเคราครึ้มคนหนึ่ง เส้นผมสีขาวประปรายไปทั่ว นอกจากดวงตาสองข้างนั้นที่ยังคงมีชีวิตชีวา คนทั้งร่างล้วนเปลี่ยนกลายเป็นแก่ขึ้นยี่สิบปี 

 

 

จนกระทั่งถึงนาทีนี้ เหล่าบุรุษที่รวมตัวอยู่รอบด้านถึงถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง แล้วประสานมือค้อมกายอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้ง 

 

 

“พี่ใหญ่!” พวกเขาตะโกนพร้อมกัน 

 

 

จูจั้นจับขวานข้างเอว 

 

 

“ทำงานเถอะ” แววตาเขานิ่งสงบเอ่ยขึ้น