ครึ่งเดือนต่อมา ม่อจิ่งหลี ผู้สำเร็จราชการแห่งราชวงศ์ต้าฉู่ได้เดินทางไปทางใต้พร้อมด้วยไทเฮา ฮ่องเต้องค์ใหม่และขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนัก ส่วนบรรดาผู้ที่ยังคงอยู่ในเมืองหลวงคือขุนนางอาวุโสในราชสำนักที่นำโดยฮว่ากั๋วกงและขุนนางพลเรือนผู้มีคุณธรรมชั้นสูง ครั้นทหารในแนวหน้าได้รับข่าวนี้ ขวัญกำลังใจของกองทัพพลันแตกสลาย ที่แต่เดิมก็ไม่ได้ดีอยู่แล้วกลับยิ่งร้ายลงไปอีก กองทัพเป่ยหรงยังคงเคลื่อนตัวไปทางใต้ต่อไป สิบวันต่อมา ด่านจื่อจิงที่ใช้เวลาในการตั้งรับนานหลายเดือนก็ถูกทำลายในที่สุด แม่ทัพและทหารจำนวนมากของเป่ยจิ้งหลั่งไหลเข้ามาภายในด่าน
ในเวลานี้ ในขณะที่ม่อซิวเหยาซึ่งอยู่ไกลถึงซีหลิงได้รับข่าวนี้นั้น กองทัพตระกูลม่อก็ยกทัพเข้าประชิดเมืองหลวงของซีหลิงแล้ว จากบทเรียนและการลับคมในเมืองเปี้ยน ทำให้สงครามแห่งเมืองเฟิ่งก่อนหน้านี้ เฉินอวิ๋นและแม่ทัพหนุ่มคนอื่นๆ สร้างผลงานได้อย่างโดดเด่น แม้ว่าสุดท้ายเหยเถิงเฟิงจะได้รับการช่วยเหลือจากองครักษ์เกราะทอง แต่ก็ไม่อาจกลบผลงานที่สร้างขึ้นได้ กองทัพตระกูลม่อยังคงเดินหน้าต่อไป การต่อสู้อันดุเดือดติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้กองทัพนี้ที่มีประสบการณ์อันน้อยนิด กลายเป็นทหารฝีมือดีร้อยศึกแห่งกองทัพตระกูลม่อโดยแท้จริง พอกองทัพตระกูลม่อบุกมาประชิดเมืองหลวงแห่งซีหลิง ก็เข้าสู่เดือนเก้าแล้ว
หลังจากล้อมเมืองหลวงของซีหลิงไว้แล้ว ม่อซิวเหยาก็ไม่ได้สั่งให้โจมตีเมืองในทันที เพียงแค่ล้อมเอาไว้แต่ไม่บุก และใช้โอกาสนี้ให้ทหารที่เหนื่อยล้ามาหลายเดือนได้พักผ่อน
ในเวลานี้ภายในพระราชวังซีหลิง ฮ่องเต้แห่งซีหลิงกำลังมองชายหนุ่มชุดขาวตรงหน้า เบื้องล่างของฮ่องเต้แห่งซีหลิง คือสวีชิงปั๋ว ชายหนุ่มในชุดขาวผู้สง่างามกำลังพินิจมองฮ่องเต้แห่งซีหลิงตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ในปีนี้ฮ่องเต้แห่งซีหลิงมีอายุเพียงห้าสิบต้นๆ แต่เมื่อเทียบกับเจิ้นหนานอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ที่แขนขาดไปข้างหนึ่งแล้ว ก็ดูอ่อนแอมากเกินไป อาจเป็นเพราะมัวแต่ร้องรำทำเพลงมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้รูปร่างของเขาดูผอมบาง ผิวซีดเหลือง นัยน์ตาขุ่น แม้แต่เปลือกตายังคล้อยต่ำลงมา เขายังไม่แก่ แต่ช่างไร้ชีวิตชีวาเหลือเกิน
สวีชิงปั๋วมองราชองค์รักษ์ของฮ่องเต้ซีหลิงที่จ้องเล่นงานตนเองอยู่ไม่ไกลอย่างไม่แยแส อันที่จริงเขามาถึงซีหลิงได้หลายวันแล้ว แต่ฮ่องเต้แห่งซีหลิงไม่ได้ตัดสินใจจะพบเขาในตอนแรก บางทีฮ่องเต้แห่งซีหลิงคงคิดไม่ถึงว่าต่อหน้ากองทัพตระกูลม่อ กองทัพซีหลิงจะอ่อนแอถึงขนาดนี้ ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน กองทัพตระกูลม่อสามารถยึดครองเมืองเปี้ยนและเมืองเฟิ่งได้ติดต่อกัน จึงทำให้เขาเริ่มร้อนรนขึ้นมา จนทำให้เกิดการเจรจาในครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นการเจรจาระดับแคว้นไม่ได้แก้ปัญหาได้ง่ายเพียงนั้น อีกทั้งท้ายที่สุดในใจของฮ่องเต้แห่งซีหลิงยังคงมีความหวังอยู่แม้เพียงเล็กน้อย จึงมีท่าทีลังเลอยู่ตลอดเวลา ในวันนี้กองทัพตระกูลม่อเข้ามาเยือนจนประชิดเหมืองหลวงแล้ว แต่ทางตำหนักเจิ้นหนานอ๋องยังคงไร้ข่าวคราว จึงไม่อาจเหลือเวลาให้เขาได้ลังเลอีก
สวีชิงปั๋วอยู่ที่ซีเป่ยเป็นเวลาหลายปี มีส่วนร่วมในการทำการเพาะปลูกในสถานที่ที่แร้นแค้นมามาก แต่สิ่งนี้ไม่ได้ลบล้างกลิ่นอายของปัญญาชนที่มีมาแต่กำเนิดของเขาเลยแม้แต่น้อย และช่วงเวลาไม่กี่ปีนี้ถึงขั้นขัดเกลาให้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ มีความอ่อนโยนและสุขุมมากขึ้น เมื่อเทียบกับบุคลิกที่แตกต่างกันของคุณชายตระกูลสวีแล้ว สวีชิงปั๋วเหมือนทายาทตระกูลสวีที่มีเอกลักษณ์ของนักปราชญ์ผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง สวีชิงเฉินดูสูงส่งมากเกินไป สวีชิงเจ๋อเย็นชาเกินไป สวีชิงเฟิงดูเหมือนนักรบมากกว่า และสวีชิงเหยียนก็ทะโมนเกินไป มีเพียงสวีชิงปั๋วที่มีท่าทางอ่อนโยนและรอยยิ้มอันแสนสงบนิ่งเท่านั้น ที่เป็นมหาบุรุษตามครรลองครองธรรมดั่งหยกเม็ดงาม จนไม่มีใครรู้สึกรังเกียจ
“ฮ่องเต้แห่งซีหลิงจะทรงตัดสินใจอย่างไรหรือ” ผ่านไปเนิ่นนาน สวีชิงปั๋วถึงจะเอ่ยปากอย่างใจเย็น
ฮ่องเต้ซีหลิงไม่ได้ผ่อนคลายเพราะท่าทีที่อ่อนโยนของสวีชิงปั๋ว สีหน้ายังคงแสดงความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สวีชิงปั๋วเอ่ยขึ้นช้าๆ “อันที่จริง เหตุใดฮ่องเต้แห่งซีหลิงถึงต้องลำบากพระทัยเช่นนี้ ตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้อยากให้ท่านกระอักกระอ่วน แต่นี่เป็นหนทางสุดท้ายแล้วจริงๆ”
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมถึงเหล่าหน่วยกิเลนที่ยืนอยู่ที่ประตูและกำลังจ้องมององครักษ์ในตำหนัก พวกเขาต่างพูดไม่ออก มาถึงเมืองหลวงขนาดนี้แล้ว แต่ไม่ต้องการที่จะทำให้ลำบากใจอย่างนั้นหรือ แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะลำบากใจเล่า
สวีชิงปั๋วยิ้ม พลางมองพระพักตร์ที่ไม่อยากเชื่อของฮ่องเต้แห่งซีหลิง ก่อนจะเอ่ย “หากเจิ้นหนานอ๋องไม่มีจิตใจทะเยอะทะยาน ออกศึกไปโจมตีต้าฉู่ ท่านอ๋องของพวกเราคงไม่วางแผนที่ทำให้ฮ่องเต้แห่งซีหลิงต้องลำบากใจเช่นนี้” ฮ่องเต้แห่งซีหลิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เท่าที่ข้ารู้มา กองทัพตระกูลม่อได้ตัดความสัมพันธ์กับต้าฉู่ไปแล้ว คุณชายสวีสี่ไม่ต้องมาใช้คำพูดเช่นนี้ทำให้ข้าสับสน” ต่อให้เขาจะเป็นหุ่นเชิด แต่ก็ยังเป็นฮ่องเต้อยู่ดี การที่สวีชิงปั๋วใช้คำพูดเช่นนี้มาหลอกล่อเขา เท่ากับการดูถูกสติปัญญาเขาชัดๆ ทว่าสวีชิงปั๋วกลับไม่ได้สนใจ ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาก่อนจะเอ่ย “แม้ว่าเราจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องของต้าฉู่โดยไม่ได้เจตนา ทว่าฮ่องเต้ซีหลิงก็ทรงทราบดี ว่าอาณาเขตของซีเป่ยทั้งเล็กและแร้นแค้น หากเจิ้นหนานอ๋องยึดครองต้าฉู่ไปได้ ด้วยความทะเยอทะยานของเขา จะไม่มาสร้างความลำบากใจให้ตำหนักติ้งอ๋องในภายหลังหรือ”
ฮ่องเต้แห่งซีหลิงนิ่งเงียบ คำพูดของสวีชิงปั๋วทำให้เขาเชื่อมั่น อันที่จริงเขาก็เข้าใจว่าคำพูดของสวีชิงปั๋วส่วนใหญ่เป็นคำกลลวง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้คนมีแนวโน้มที่จะยอมรับกลลวงมากกว่าในเวลาปกติ ดังนั้นในเวลานี้ฮ่องเต้แห่งซีหลิงจึงอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเจิ้นหนานอ๋องไม่ได้โจมจีต้าฉู่ ม่อซิวเหยาก็จะไม่โจมตีซีหลิงใช่หรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นอกจากเจิ้นหนานอ๋องจะโจมตีต้าฉู่แล้ว เขายังพากองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของซีหลิงไปด้วย ในยามที่ซีหลิงตกอยู่ในอันตราย ก็ไม่คิดจะกลับมาช่วยเหลือและยังคงโจมตีต้าฉู่ต่อไป เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้แห่งซีหลิงเสียใจอย่างมาก
เห็นว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงเงียบไป สวีชิงปั๋วจึงเอ่ยต่อ “ฝ่าบาทต้องทรงเข้าใจด้วยว่า จากกองกำลังทหารของซีหลิงในตอนนี้…ไม่อาจรักษาเมืองหลวงไว้ได้แล้ว อีกทั้ง ต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องของกระหม่อมถอยทัพออกไปในตอนนี้ ฝ่าบาทจะป้องกันกองทัพของแคว้นอื่นในภูมิภาคตะวันตกได้หรือ จากที่กระหม่อมทราบมา แคว้นเล็กๆ ในภูมิภาคตะวันตกต่างรวมตัวกันเป็นกองกำลังพันธมิตรจากสิบห้าแคว้น และกำลังนำกองกำลังกว่าหกแสนนายไปยังชายแดน ต้องการให้เลือดของกองทัพซีหลิงชำระแค้นให้กับแคว้นต่างๆ ในภูมิภาคตะวันตกอย่างที่เคยถูกกระทำในอดีต…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้แห่งซีหลิงพลันตัวสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้ หลงหยางฆ่าคนในภูมิภาคตะวันตกไปกี่คนในช่วงหลายปีนั้น เกรงว่าคงจะนับไม่ถ้วน ในหลายร้อยปีที่ผ่านมาผู้คนจำนวนมากในภูมิภาคตะวันตกได้อาศัยอยู่ภายใต้อำนาจของซีหลิง กล่าวได้ว่าความระหองระแหงของพวกเขากับซีหลิงนั้นลึกล้ำราวกับมหาสมุทร เพียงแต่ทหารของซีหลิงมีความแข็งแกร่งมาโดยตลอดและแคว้นเล็กๆ เหล่านี้ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ แต่ความอดทนไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเต็มใจที่จะยอมศิโรราบ อย่างที่เห็น หลังจากที่ซีหลิงพ่ายแพ้ให้กับกองทัพตระกูลม่อ แคว้นเล็กๆ ก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้ว
ฮ่องเต้แห่งซีหลิง รู้ดีว่าเขาไม่สามารถต่อสู้กับม่อซิวเหยาได้ และไม่สามารถรับมือกับแคว้นต่างๆ ในภูมิทางตะวันตกที่มีความเกลียดชังต่อซีหลิงอย่างล้ำลึกดั่งมหาสมุทรได้ เหมือนกับที่เขาไม่สามารถสู้น้องชายอย่างเจิ้นหนานอ๋องได้มาโดยตลอด ทว่าเขาเข้าใจเหตุการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างดี คิดอยู่ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้แห่งซีหลิงก็เอ่ยปาก “คุณชายสวีสี่อยากจะบอกอะไร”
สวีชิงปั๋วเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงคลายความตกใจแล้ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ “ขอเพียงฝ่าบาททรงยอมยกเมืองหลวงแห่งซีหลิงและเมืองทั้งหมดที่กองทัพตระกูลม่อเคยยึดมาได้ให้เป็นของซีเป่ย กองทัพตระกูลม่อจะถอยทัพในทันที ต่างฝ่ายต่ายอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ดีหรือ”
ฮ่องเต้แห่งซีหลิงแทบกระอักเลือด อยู่ร่วมกันอย่างสันติหรือ! หลังจากยึดครองดินแดนหนึ่งในสามของซีหลิงไปแล้ว กองทัพตระกูลม่อมาเจรจากับเขาเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติหรือ
ฮ่องเต้แห่งซีหลิงส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ย “เมืองหลวงไม่ได้ พอเพียงติ้งอ๋องตัดสินใจที่จะถอนกำลัง ดินแดนที่ถูกยึดครองโดยกองทัพตระกูลม่อก่อนหน้านี้จะเป็นของตำหนักติ้งอ๋องทั้งหมด นอกจากนี้ข้าจะเพิ่มเมืองชิงหยางให้อีกเมือง เมืองชิงหยางมีพรมแดนติดกับต้าฉู่และพื้นที่ดังกล่าวมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของเมืองอันผิงซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง” เมืองหลวงแห่งนี้เป็นเมืองหลวงและรากฐานของซีหลิง ถ้าแม้แต่เมืองหลวงยังเสียไป เขาจะมีหน้าเป็นฮ่องเต้ต่อไปได้อย่างไร หรือจะให้ลองหนีเฉกเช่นฮ่องเต้แห่งต้าฉู่