จะว่าไปแล้ว ซีหลิงและต้าฉู่ไม่เสียแรงที่มีเชื้อสายเดียวกัน ในสมัยนั้นพวกเขาใช้เวลายกทัพขึ้นต่อต้านราชวงศ์ก่อนแทบจะพร้อมกันและใช้เวลาไม่นานในการสถาปนาแคว้น หลังจากนั้นซีหลิงแข็งแกร่ง ต้าฉู่ก็แข็งแกร่ง ต้าฉู่ตกอยู่สภาวะในโกลาหล ซีหลิงเองก็ไม่ต่างกัน หนึ่งถึงสองร้อยปีมานี้ ไม่มีใครเอาเปรียบใครได้เ และในตอนนี้ที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าฉู่กำลังหลบหนี เมืองหลวงของซีหลิงก็ตกอยู่ภายใต้การกดดันของทหารเช่นกัน
สวีชิงปั๋วขยับพัด ก่อนจะส่ายหน้าพลางเอ่ย “ฝ่าบาทเมืองหลวงของซีหลิงมีความหมายอะไรต่อท่านหรือ สิ่งที่เรียกว่าเมืองหลวงก็คือ…เป็นสถานที่ของโอรสสวรรค์ ตราบเท่าที่โอรสสวรรค์ยังคงอยู่ จะสร้างเมืองหลวงไม่ได้เชียวหรือ ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อให้รักษาเมืองหลวงไว้ได้จริงๆ…แต่ท่านจะยังอยู่อย่างสงบสุขได้จริงๆ หรือ”
ฮ่องเต้แห่งซีหลิงเงียบ ในเวลาเดียวกันเขาอดไม่ได้ที่จะตำหนิบรรพบุรุษ ที่เลือกที่ตั้งของเมืองหลวงได้ไม่ดีเอาเสียเลย เมืองหลวงของซีหลิงอยู่ใกล้กับพรมแดนของภูมิภาคตะวันตก ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงหกเจ็ดร้อยลี้ ในอดีตยามซีหลิงทรงพลัง ถือเป็นเรื่องดี เพราะว่าสะดวกต่อการไปยังแคว้นเล็กๆ ในภูมิภาคตะวันตกเพื่อขอเครื่องบรรณาการอันมีค่าหาได้ยากอย่างสาวงามล่มเมืองและม้าศึกหายาก แต่ครั้นซีหลิงล่มสลาย ทหารม้าของแคว้นเล็กๆ ในภูมิภาคตะวันตกก็สามารถเข้ามาสังหารเมืองหลวงได้ภายเวลาไม่กี่วัน ยิ่งไปกว่านั้น ต่อจากนี้พวกเขาจะได้เป็นเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับกองทัพตระกูลม่ออีก แค่คิดฮ่องเต้แห่งซีหลิงก็รู้สึกเหมือนถูกเข็มแทงข้างหลังแล้ว
เมื่อได้รับการเตือนจากสวีชิงปั๋ว ฮ่องเต้แห่งซีหลิงพลันรู้สึกว่าเมืองหลวงแห่งนี้ร้อนขึ้นเล็กน้อยทันที เขาไม่ต้องการเผชิญหน้ากับกองทัพตระกูลม่ออันทรงพลังที่อยู่ตรงหน้า โดยที่ด้านหลังยังมีแคว้นในภูมิภาคตะวันตกผู้มีความบาดหมางกันมายาวนานจ้องอยู่ หากแต่จะมอบเมืองหลวงแห่งนี้ไปโดยง่ายดาย ฮ่องเต้แห่งซีหลิงก็ทำไม่ลงจริงๆ
สวีชิงปั๋วจะไม่เข้าใจความคิดของเขาได้อย่างไร จึงไม่ได้รีบร้อน ยิ้มอย่างนุ่มนวล พลางเอ่ย “หากฝ่าบาทต้องการเวลาไตร่ตรองสักสองสามวันก็ไม่เป็นอะไร แน่นอนว่า หากพวกเราสองฝั่งสามารถแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีได้ ตำหนักติ้งอ๋องคงไม่ยึดครองเมืองของฮ่องเต้แห่งซีหลิงโดยเปล่าประโยชน์เป็นแน่” เขาเอ่ยแฝงความนัยอย่างชัดเจนเช่นนี้ ก็ทำให้ฮ่องเต้แห่งซีหลิงหวั่นไหว พลางมองสวีชิงปั๋วด้วยความสงสัย สวีชิงปั๋วยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างใจเย็น “ราชวงศ์ซีหลิง…ถูกเจิ้นหนานอ๋องควบคุมมาโดยตลอด ถ้าตอนนั้นเจิ้นหนานอ๋องไม่กำจัดผู้คัดค้าน ไฉนเลยแม่ทัพที่มีชื่อเสียงทั้งสามของซีหลิงจะตกระกำลำบากจนมีจุดจบเช่นนี้ ถ้าซีหลิงและตำหนักติ้งอ๋องร่วมมือกันอย่างสามัคคี แน่นอนว่าย่อมถือเป็นเพื่อนกัน เพื่อนช่วยเพื่อน ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปมิใช่หรือ”
ดวงตาของฮ่องเต้แห่งซีหลิงเป็นประกาย ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถมากมายเพียงใด เขาก็ยังเป็นฮ่องเต้และผู้ชายคนหนึ่ง ชายคนหนึ่งที่มีฐานะเป็นฮ่องเต้ หากบอกว่าเขาไม่มีความคิดแม้เพียงสักนิดที่จะกุมอำนาจการปกครองไว้ในมือตนเอง เช่นนั้นเขาก็คงไม่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว ข้อเสนอที่สวีชิงปั๋วยื่นให้ ดึงดูดใจเขาอย่างไม่ต้องสงสัย หากตำหนักติ้งอ๋องช่วยเขากำจัดเหลยเจิ้นถิง เช่นนั้นเขาก็สามารถควบคุมราชสำนักได้ และกลายเป็นฮ่องเต้ที่มีความหมายอย่างแท้จริง ต่อให้อาณาเขตของซีหลิงจะเหลือเพียงสองในสามแล้วจะอย่างไรเล่า เขาในตอนนี้ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของอำนาจ แม้กระทั่งอ๋องธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้
ทุกเรื่องล้วนมีขอบเขต สวีชิงปั๋วเข้าใจหลักการข้อนี้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรมาก ลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยลาฮ่องเต้แห่งซีหลิงเพื่อให้เวลาเขาไตร่ตรอง
ก่อนจากไป เขาก็ไม่ลืมที่จะทิ้งท้าย “ฝ่าบาท อันที่จริงที่ซีหลิงมีจุดจบเช่นนี้ ไม่ใช่ความผิดของท่าน…”
เมื่อเห็นสวีชิงปั๋วเดินจากไปอย่างอ่อนโยน ฮ่องเต้แห่งซีหลิงก็อดไม่ได้ที่จะเหม่อลอยและอิจฉา แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นแม้แต่ขุนนางก็ตาม ทว่าลักษณะท่าทางสุขุมเยือกเย็นยามที่เขาอยู่ต่อหน้าประมุขผู้ปกครองแผ่นดินเช่นตน กลับทำให้เขารู้สึกอิจฉาอย่างถึงที่สุด ในเวลาเดียวกันคำพูดสุดท้ายของสวีชิงปั๋ว ก็สะท้อนให้เห็นถึงความคิดในเบื้องลึกของจิตใจเขา ใช่แล้ว…ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา มันเป็นความผิดของเหลยเจิ้นถิงจริงๆ!
“ฝ่าบาท” ทหารรักษาพระองค์ข้างกายเดินเข้ามา ยื่นชาร้อนส่งให้พลางเอ่ยอย่างระแวดระวัง
เขาก้มศีรษะลง จิบชาบรรณาการที่ตนเองคุ้นชิน จากนั้นฮ่องเต้แห่งซีหลิงก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก และถามอย่างไม่ได้ใส่ใจ “เจ้าคิดว่า…เราจะสามารถปกป้องเมืองหลวงไว้ได้หรือไม่”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถและทรงพลัง ซีหลิงของเราจะคงอยู่ตลอดไป แน่นอนว่าจะสามารถป้องกันไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ” ทหารรักษาพระองค์เอ่ยอย่างนอบน้อม แม้ตนเองก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่ตนพูดก็ตาม โชคดีที่ฮ่องเต้แห่งซีหลิงไม่ได้ซักถามหาความจริงของคำพูดของเขา เพียงพยักหน้าเงียบๆ ก่อนจะเอ่ย “เอาละ รอดูต่อไปแล้วกัน” ทหารรักษาพระองค์ปรนนิบัติเขาต่อไปเงียบๆ เขาเป็นทหารรักษาพระองค์ของฮ่องเต้แห่งซีหลิงมาเป็นเวลานาน เพียงแค่มองสีพระพักตร์ก็พอเดาความรู้สึกของฮ่องเต้แห่งซีหลิงได้แล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ครั้งนี้แน่นอนว่าก็เป็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาเป็นเพียงทหารรับใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่มีสิทธิ์จะออกความเห็นเรื่องเหตุบ้านการเมืองอยู่แล้ว
ภายในกระโจมของกองทัพตระกูลม่อ แม่ทัพน้อยใหญ่ต่างเบียดเสียดกันอยู่ในที่นี้เพื่อหารือ ตลอดเส้นทางการต่อสู้ กองทัพตระกูลม่อบุกไปที่ไหนก็แหลกราบทุกที่ไป จนกระทั่งมาประชิดถึงเมืองหลวง แต่กระนั้นท่านอ๋องกลับสั่งให้พวกเขาเพียงล้อมเอาไว้ ไม่ต้องโจมตี ทำให้แม่ทัพมากมายต่างคิดไม่ตก ไฉนเลยถึงไม่ถือโอกาสตอนที่พละพลังกำลังของกองทัพกำลังโชติช่วง บุกไปโจมตีเมืองหลวงเล่า
“เฟิ่งซาน ท่านอ๋องกับพระชายากำลังคิดอะไรอยู่หรือ” เมื่อไม่สามารถถามเจ้าตัวได้ จางฉี่หลันกลับไม่กลัวที่จะถามเรื่องนี้กับเฟิ่งจือเหยาผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับม่อซิวเหยามาเป็นเวลานานที่สุด เฟิ่งเหยากรอกตา มองไปด้านบนของกระโจมใหญ่ ก่อนจะเอ่ย “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ข้าไม่ใช่แมลงในท้องท่านอ๋องเสียหน่อย”
รองแม่ทัพคนหนึ่ง ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านอ๋องตัดสินใจถอยทัพแล้วใช่หรือไม่”
ทันทีที่พูดคำนี้ออกไป คนอื่นๆ ก็ไม่พูดอะไรต่ออีก พวกเขาทุกคนต่างรู้ข่าวที่ฮ่องเต้แห่งต้าฉู่กำลังมุ่งหน้าไปทางใต้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ต้าฉู้ ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ไม่มีความรู้สึกอะไรต่อประชาชนต้าฉู่เลยแม้แต่น้อย วันนี้แม้ว่าจะไม่ได้เห็นสถานการณ์ต้าฉู่ด้วยตาตัวเองแต่ก็พอคาดเดาได้อยู่หลายส่วน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะคาดเดาไปว่าท่านอ๋องกำลังตัดสินใจที่จะถอนทัพหรือไม่
“อันที่จริง…ถอนกำลังพลก็ไม่เป็นอะไรกระมัง แต่หากท่านอ๋องอยากเพิ่มกำลังพลให้ต้าฉู่เล่า” มีคนถามขึ้นอย่างสงสัย ท้ายที่สุดพวกเขาก็มีสายเลือดเดียวกันกับประชาชนชาวต้าฉู่ แม้แต่ภายในกองทัพตระกูลม่อส่วนใหญ่ก็มีญาติและมิตรสหายอยู่ที่ต้าฉู่ ถ้าท่านอ๋องวางแผนที่จะส่งกองกำลังไปที่ต้าฉู่จริงๆ ก็ไม่มีใครคัดค้าน ต่อให้กองทัพตระกูลม่อจะเกลียดชังราชวงศ์ต้าฉู่มากแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไป ถึงอย่างไรหัวใจของคนต่างก็เป็นก้อนเนื้อด้วยกันทั้งนั้น
“ยิ่งไปกว่านั้น เป่ยหรงและกองทัพตระกูลม่อมีความบาดหมางกันมามาก ถ้าท่านอ๋องตัดสินใจจะทำเช่นนั้น เราย่อมไม่คัดค้าน” ตอนนั้นม่อซิวเหวินติ้งอ๋องคนก่อน และทหารตระกูลม่อหลายหมื่นนายที่เสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ นอกจากนี้ก็มีทหารตระกูลม่ออย่างน้อยสองแสนนายที่เสียชีวิตในมือของเป่ยหรง
“คุยอะไรกันหรือ” เสียงใสของเยี่ยหลีดังมาจากนอกกระโจม ทุกคนต่างรีบลุกขึ้นคารวะ ม่อซิวเหยาจูงมือเยี่ยหลีเดินเข้ามา หว่างคิ้วเผยความอ่อนโยน แสดงให้เห็นว่ากำลังอารมณ์ดีอยู่
“คารวะท่านอ๋องและพระชายา”
ม่อซิวเหยาจูงมือเยี่ยหลีเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ เลิกคิ้วพลางมองทุกคนก่อนจะยิ้ม “พระชายาถามว่าทุกคนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือ ครึกครื้นเชียว” อวิ๋นถิงถูกคนอื่นผลักออกมา มองซ้ายมองขวาอย่างจนปัญญา ก่อนจะเห็นสหายที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จึงได้แต่เอ่ย “เรียนท่านอ๋อง พวกเรากำลังเดากันไปว่าท่านอ๋องจะโจมตีเมืองเมื่อใดขอรับ”
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอวิ๋นถิง เยี่ยหลีจึงอดยิ้มไม่ได้ พลางเอ่ย “ไม่ต้องตื่นเต้น ข้ากับท่านอ๋องถามไปอย่างนั้นเอง นั่งลงคุยกันเถิด”
“ขอบคุณพระชายายิ่งแล้ว!” อวิ๋นถิงถึงได้โล่งใจ ก่อนจะรีบกลับไปนั่งข้างๆ เฉินอวิ๋นดังเดิม