“อีวานส์ ทดลองเรื่องอะไร? สสารมีชีวิตสังเคราะห์หรือเปล่า?” ผมหงอกขาวของราเวนติดูเป็นระเบียบ เขาดูเหมือนสุภาพบุรุษที่มีสายตาอันคมกริบ และลูเซียนก็รู้สึกถึงแรงกดดันขณะถูกเขาจ้อง
มอร์ริสและแกสตันก็กำลังมองลูเซียนเป็นตาเดียวกันด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย พวกเขากำลังเดากันว่าชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ และพวกเขาก็อยากรู้ว่าชายคนนี้จะมีการทดลองที่ฉีกขนบอะไรอีกหรือไม่ ลูเซียนได้ชักนำพายุเข้ามาในพื้นที่ซึ่งจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากทั้งศาสนจักรและเมืองอัลลิน แต่ก็ยากที่จะเชื่อว่าเขาเพียงต้องการอภิปรายปัญหาอาร์คานาศาสตร์กับจอมเวทชั้นอาวุโสเพียงเท่านั้น
ลูเซียนรู้ดีกว่าจอมเวทอาวุโสเหล่านี้มีความคิดเกี่ยวกับตัวเขาต่างกัน เขาจึงพยายามสงบสติอารมณ์และเริ่มอธิบายอย่างรอบคอบ “อันที่จริง การทดลองยังไม่สมบูรณ์ขอรับ แต่ข้ามีแนวคิดกว้างๆ เกี่ยวกับความรู้พื้นฐาน การทดลองครั้งแรกได้ใช้วงเวทธรรมดาๆ จำนวนหนึ่ง ผลการทดลองเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ แต่สภาพแวดล้อมการทดลองที่สร้างด้วยวงเวทมีจุดบกพร่องมากเกินไป และข้าไม่คิดว่าผลที่ได้มานั้นถูกต้อง”
หลังจากเสนอบทความเกี่ยวกับคาร์บาไมด์ ลูเซียนก็ขอยืมใช้ห้องทดลองเวทมนตร์ และทำการทดลองจนเสร็จสิ้นไปแล้วครั้งหนึ่งระหว่างรอเฟลิเปเปิดเผยหลักฐานที่ชี้ขาด
ราเวนติพูดแทรกขึ้นขัดจังหวะขณะที่ลูเซียนกำลังอารัมภบทจบ “อีวานส์ เข้าประเด็นเลย”
มอร์ริสและแกสตันส่งยิ้มให้กัน เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าราเวนติมีความอดทนต่ำ บทความของเขาจึงให้ความสำคัญอย่างหนักกับประเด็นสำคัญ และเขาเกลียดการฟังเรื่องไร้สาระที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามคนไม่คิดว่าลูเซียนจะสามารถพูดเหมือนไม่รู้สึกถึงแรงกดดันจากราเวนติ “ขอรับ ท่านราเวนติ ข้าจะเข้าประเด็นเลย หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับอาร์คานาศาสตร์ตั้งแต่อยู่ในนครอัลโต้ ข้าก็สนใจในการทดลองเวทมนตร์มาก นั่นเป็นสาเหตุที่ข้าออกแบบการทดลองไว้มากมาย แต่ว่าข้ายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะสร้างวงเวทระดับสูง มีการทดลองอีกมากที่ข้าทำไม่สำเร็จและพิสูจน์ผลไม่ได้ สถานการณ์เปลี่ยนไปหลังจากข้าหลุดเข้าไปยังห้องทดลองเวทมนตร์ที่ถูกทิ้งไว้โดยนักเวทโบราณระหว่างการสำรวจ ด้วยวงเวทและวงแร่แปรธาตุที่ข้าพบในห้องทดลองนั้น ข้าก็ทำการทดลองสำเร็จมาบ้าง รวมถึงการทดลองเกี่ยวกับคาร์บาไมด์สังเคราะห์อีกด้วยขอรับ”
“นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ อีวานส์” ราเวนติเกือบจะตะโกนออกไป เขาไม่สนใจเรื่องร่องรอยของนักเวทโบราณ หากมันไม่ใช่มิติพิเศษหรือประตูมิติที่หายสาบสูญของนักเวทชั้นตำนาน
ลูเซียนกระแอมและเล่าต่อ “โดยส่วนตัวแล้ว ข้าคิดว่าร่างกายของมนุษย์สามารถสร้างด้วยสสารที่ไม่มีชีวิต หลังจากการทดลองเสร็จ ส่วนเล็กๆ ของพลังชีวิตจะสามารถสนับสนุนการทำงาน และส่วนที่เหลือของพลังชีวิตจะถูกใช้ไปกับวิญญาณ ข้าไม่รู้รายละเอียด เพราะไม่ได้ทำการวิจัยเรื่องนี้มามากพอ”
“อีวานส์ บอกข้าสักที เจ้าทดลองเกี่ยวกับอะไร?!” ราเวนติแผดเสียง และมอร์ริสและแกสตันต้องผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ลูเซียนไม่คิดมาก่อนว่าการตะคอกของราเวนติจะน่าเกรงขามขนาดนี้ ชายผู้นี้ช่างสง่างาม อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของลูเซียนก็ประสบความสำเร็จ เขาไม่ได้ต้องการให้ทั้งสามคนใส่ใจกับอดีตของเขามากเกินไป เขาจึงผสมผสานประสบการณ์ที่ผ่านมาเข้ากับภูมิหลังเรื่องการทดลอง เพื่อทิ้งไว้เพียงความประทับใจอันเลือนลางในความทรงจำของพวกเขา
“เป็นการทดลองที่สามารถล้มล้างทฤษฎีพลังชีวิตไปอีกขั้นหนึ่ง ไม่ว่าพวกนักเวทศาสตร์มืดจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ลึกๆ ในใจพวกเขาต่างรู้ดีว่าทฤษฎีดังกล่าวผิดพลาด แต่ว่าศัตรูตัวใหญ่ที่สุดของเราก็คือ ‘ศาสนจักร’ และเราต้องไม่ปล่อยให้พวกนักเวทศาสตร์มืดใช้โอกาสนี้กอบกู้ชื่อเสียง เราต้องซ้ำพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะค้นพบทฤษฎีใหม่มาสนับสนุน พวกเขาจะเสียหายหนัก หากเราทำให้พวกเขาหมดศรัทธาได้”
ในฐานะนักเวท ลูเซียนจะไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะทำให้ศาสนจักรเพลี่ยงพล้ำหลุดมือไป เขาใช้วาทะเด็ดจากโลกใบเดิม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาพูดออกไปดูเหมือนจะมีไวยากรณ์ที่ฟังดูแปร่งๆ เมื่อแปลเป็นภาษาสากล
สงครามระหว่าง ‘สภาเวทมนตร์’ กับ ‘ศาสนจักร’ คงจะยาวนานและซับซ้อน ลูเซียนเลือกแล้วที่จะเดินบนเส้นทางสายเวทมนตร์ เขาจึงเลือกเข้าข้างสภาเวทมนตร์ และจะตอบโต้ศาสนจักรอย่างเต็มความสามารถระหว่างที่หาทางพัฒนาเพิ่มพลังและสำรวจความลับของโลก
ลูเซียนเข้าใจว่าไม่มีทางที่เขาจะชนะสงครามโดยลำพัง เมื่อศัตรูแข็งแกร่งขนาดนั้น
แกสตันจ้องหน้าลูเซียนด้วยดวงตาสีเหลืองประหลาด “อีกแล้ว สรุปเจ้าทดลองอะไรกันแน่? เจ้ากับเฟลิเปทำข้อตกลงอะไรกันหรือเปล่า หลังถูกซุ่มโจมตี?”
ไม่มีใครสามารถดูถูกภูมิปัญญาของจอมเวทได้ แกสตันเรียบเรียงเหตุการณ์และสาเหตุของเรื่องราวต่างๆ หลังจากเขาได้ข้อสรุปว่าลูเซียนคือ ‘ศาสตราจารย์’
“เฟลิเปกับข้าเป็นศัตรูและคู่แข่งกันขอรับ และเราไม่ใช่เพื่อนกัน เฟลิเปเพียงแค่ต้องการเล่นงานพวกหัวรุนแรงในหัตถ์ไร้ชีวา สำหรับข้า มันเป็นทั้งการแก้แค้นและโอกาสเล่นงานศาสนจักรด้วย แต่หากข้าทำการทดลองสำเร็จในสภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ศาสนจักรจะทำทุกอย่างเพื่อตอบโต้ ข้าสามารถยื่นการวิจัยของข้าต่อเจตจำนงแห่งธาตุ แต่ข้าอยากขอให้พวกท่านเก็บเป็นความลับไปก่อน และจะดีมากหากท่านทำการทดลองนี้ให้สำเร็จและตีพิมพ์ผลงานแทนข้า”
ลูเซียนยื่นคำขอด้วยสีหน้าจริงจัง เฟลิเปเพิ่งถูกรุมเกลียดและไม่มีประโยชน์ที่ลูเซียนจะแบ่งความเกลียดชังนั้นมาจากเขา
ราเวนติขมวดคิ้วและพูดด้วยเสียงอันดังกึกก้อง “ข้าไม่เคยเอาความสำเร็จของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ถ้าการทดลองของเจ้ารับประกันได้ว่าจะล้มล้างทฤษฎีพลังชีวิตยิ่งไปกว่านี้ ข้าจะขอให้แฮททาเวย์สิทธิพิเศษของมหาจอมเวทเพื่อเก็บข้อมูลผู้เขียนไว้เป็นความลับสุดยอด เราจะบอกกับสาธารณชนว่าบทความชิ้นนี้เป็นผลงานของสมาชิกคนสำคัญของกลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุ เจ้าสามารถยืดอกรับเกียรตินี้ได้เมื่อเจ้าแข็งแกร่งพอและพร้อมรับมือกับผลที่ตามมา แต่ตอนนี้ ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นสมาชิกคนสำคัญของเจตจำนงแห่งธาตุอยู่แล้วนะ”
“ข้าจะทำตามแผนนี้ก็เพื่อนาตาชา” มอร์ริสยิ้ม เขาดีใจที่ไม่ต้องสร้าง ‘แหวนมงกุฎแห่งโฮล์ม’ วงใหม่อีก
หากการทดลองของลูเซียนสามารถล้มล้าง ‘ทฤษฎีพลังชีวิต’ ได้มากยิ่งกว่านี้จริง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขามีสิทธิ์ร่วมใน ‘รางวัลมงกุฎแห่งโฮล์ม’ และ ‘รางวัลบัลลังนิรันดร’ กับเฟลิเป แม้รางวัลและของตอบแทนที่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูเกียรติของนักเวทที่สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ แต่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงก็คือการยกย่องผลการวิจัยของพวกเขา
มอร์ริสรู้สึกดีขึ้นมาก เนื่องจากดูเหมือนว่าลูเซียนจะยอมละวางความอยากมีชื่อเสียงลงชั่วคราว
“ตัดสินใจฉลาดมาก อีวานส์ ข้าเสนอว่าเจ้าควรใช้เวลาในการพัฒนาทักษะการใช้เวทมนตร์ของเจ้า หลังจากจบโครงการวิจัยนี้ และสะท้อนผลวิจัยของเจ้าออกมาเป็นเวทมนตร์ของเจ้าเอง เจ้าจะไม่สามารถทำการทดลองการสำรวจต่างๆ อีกมากมาย หากไม่มีพลังมีเพียงพอในโลกของเวทมนตร์”
แกสตันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและจ้องหน้าราเวนติและมอร์ริส “เรากับแฮททาเวย์ควรจะเป็นเพียงสี่คนที่รู้เรื่องนี้ เจ้าจะต้องไม่บอกกับศิษย์ ภรรยา สัตว์รับใช้ หรือแม้แต่อะไรที่อัญเชิญมาก็ตาม หากมีใครล่วงรู้เรื่องนี้ นั่นหมายความว่าหนึ่งในพวกเราเป็นสายลับให้ศาสนจักร…”
แฮททาเวย์กำลังศึกษาอาคมเทพแห่งธรรมชาติในสถานที่ลึกลับภายในเมืองซาริวา นางพยักหน้าให้ลูเซียน “เอาล่ะ อีวานส์ เปิดเผยการทดลองของเจ้าได้แล้ว”
ลูเซียนหยุดเล่าเรื่องจิปาถะ และเริ่มอธิบายการออกแบบการทดลองด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีนิทานปรัมปรามากมายเล่าถึงการกำเนิดของโลกในอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ มีคำบรรยายถึงสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาด เช่น น้ำท่วมที่น่ากลัว ฟ้าผ่าที่ไม่มีวันหยุด และอุณหภูมิที่สูงลิบ นอกจากนี้ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรก็มีบันทึกมหากาพย์ทำนองเดียวกัน แต่ทว่า ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ เข้ามายับยั้งปัญหาสภาพแวดล้อมดังกล่าวและสร้างมนุษย์ขึ้นมา การทดลองของข้ามีวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นให้เกิดสภาพแวดล้อมดังกล่าว ด้วยการเพิ่มก๊าซต่างๆ เข้าไป ข้าอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าติดว่าแหล่งที่มาของชีวิตจะถูกสร้างขึ้น หลังจากมีกลุ่มก๊าซเข้าไปในบรรยากาศ…”
ในสภาเวทมนตร์ นักเวทศาสตร์มืดมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องร่างกายมนุษย์ ในสสารที่มีชีวิตที่พวกเขานิยาม โปรตีนถือเป็นรากฐานของสิ่งมีชีวิต และกรดอะมิโนที่เป็นต้นกำเนิดโปรตีนก็ถือเป็นแหล่งกำเนิดชีวิต ลูเซียนหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดการออกแบบสภาพแวดล้อมจาก ‘การทดลองของมิลเลอร์’ โดยเปรียบเทียบกลุ่มก๊าซต่างๆ เนื่องจากไม่มีใครเคยทำการทดลองเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมตั้งต้นของโลก เขาไม่ได้ออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาต้นกำเนิดของชีวิต เขาเพียงต้องการล้มล้างทฤษฎีพลังชีวิต และเขาไม่สนใจว่าศาสนจักรจะยอมรับหรือไม่
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ราเวนติจะพูดด้วยเสียงเบาๆ และกลายเป็นเสียงเหมือนที่เขาคำรามอีกครั้ง “กลุ่มก๊าซอะไรที่เจ้าพูดถึง?!”
ไม่สำคัญว่าสังคมจะพัฒนามาอย่างไร ไม่สำคัญว่าจะมีเวทมนตร์หรือไม่ ไม่สำคัญว่าจะมีพระเจ้าหรือไม่ คำถามเดียวที่ยังคงค้างคาใจมนุษย์ผู้เป็นอัจฉริยะทั้งหลายมาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะได้ข้อสรุปแนวคิดถึงจุดกำเนิดของโลก ‘ฉันเป็นใคร? เรามาจากไหน? ถ้าพระเจ้าสร้างทุกสิ่ง แล้วพระเจ้ามาจากไหน?”
…
เฟลิเปเผยแพร่การทดลองสุดท้ายของเขา และรายงานฉบับย่อก็เต็มไปด้วยเวทมนตร์ศาสตร์มืดที่มีการแก้ไขในอีกหลายวันต่อมา เขาพยายามพิสูจน์ว่าทฤษฎีพลังชีวิตไม่ถูกต้องโดยใช้วิธีการย้อนกลับนำเสนอในบทความ
นักเวทศาสตร์มืดที่เต็มใจจะเปลี่ยนความคิดก็เริ่มสร้างโลกแห่งปัญญาขึ้นมาใหม่ ส่วนพวกหัวรุนแรงก็ยังคงเก็บตัวเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรถึงการค้นพบใหม่อีกต่อไป
เฟลิเปได้รับการคุ้มครองจากผู้วิเศษและนักเวทชั้นอาวุโสหลายคนในเมืองซาริวา เขาได้รับการแจ้งข่าวจากคณะกรรมการกิจการตอนเช้าวันศุกร์ว่า
“เนื่องจากผลงานสำคัญของลูเซียน อีวานส์ ในโครงการวิจัย เราขอยืนยันว่ามีสสารแร่แปรธาตุหลายชนิดที่สามารถช่วยให้พืชพันธุ์เจริญเติบโต เราจะทดลองสสารแร่แปรธาตุกับพืชพันธุ์ต่างๆ ในขั้นตอนต่อไป และจะไม่ข้องเกี่ยวกับอาคมเทพของดรูอิด ภารกิจเสร็จสมบูรณ์! จอมเวททั้งหลาย กรุณาเดินทางไปยังคฤหาสน์ซาริวา เพื่อรับหลักฐานยืนยันการเสร็จสิ้นภารกิจเวลาสิบสี่นาฬิกา นอกจากนี้ เราจะมีการอภิปรายสรุปเกี่ยวกับภารกิจอีกด้วย”
หลังจากได้รับประกาศฉบับนี้ เหล่าจอมเวทก็นึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ของโครงการคือการพัฒนาแผนการเพิ่มการเจริญเติบโตของอาหารโดยทั่วไป พวกเขาไม่ควรมามัวอภิปรายเรื่องทฤษฎีพลังชีวิต และลืมวัตถุประสงค์ของโครงการมาตลอดห้าหรือหกวันสุดท้าย
เหล่าจอมเวทเริ่มทำความสะอาดห้องทดลองเวทมนตร์ และต่างต้องการพักผ่อนในช่วงเช้าก่อนมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์ซาริวา
…
ณ คริสตจักรอาภาแห่งโฮล์ม
“นิโคไลย์ วอลเตอร์ พวกเจ้าพร้อมพลีชีพเพื่อพระเจ้าหรือไม่?”
วารันไทน์กำลังสอบถามผู้พิทักษ์ราตรีสองคนที่คัดเลือกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
………………………………