ทั้งนิโคไลย์และวอลเตอร์เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ศรัทธาในศาสนาอยู่แล้ว จนกระทั่งทั้งสองได้เข้าร่วมกลุ่มผู้พิทักษ์ราตรีด้วยเหตุด้วยผลบางประการ ตอนนี้ ทั้งสองคนเป็นบาทหลวงระดับห้า คนหนึ่งเป็นผู้นำกลุ่มผู้พิทักษ์ราตรีจากโฮล์ม และอีกคนเป็นผู้พิทักษ์ราตรีจากกลุ่มที่ชื่อว่า ‘แฮมเมอร์’ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของ ‘คณะไต่สวนแลนซ์’ ทั้งนิโคไลย์และวอลเตอร์ต่างเป็นผู้ศรัทธาและเลื่อมใสในความเชื่อของตนอย่างบ้าคลั่ง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่วารันไทน์เรียกใช้สองคนนี้ เนื่องจากใครก็ตามที่ได้รับภารกิจนี้ก็ไปทำเหมือนถูกส่งไปตาย
“ใต้เท้าวารันไทน์ ข้าเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาที่จะพลีชีพเพื่อปกป้องเกียรติยศแห่งพระเจ้า ความตายไม่ใช่จุดจบ มีดินแดนมหัศจรรย์อันเป็นนิรันดร์รออยู่หลังประตู ‘สวรรค์ขุนเขา’” นิโคไลย์คุกเข่าลงข้างหนึ่งและทำเครื่องหมายกางเขน
เขาเป็นชายวัยกลางคนร่างกายบึกบึนสวมชุดสีขาวธรรมดาๆ เขาไม่มีภรรยา ไม่มีบุตร และไม่ครอบครองสิ่งใด เนื่องจากเขาอุทิศทุกอย่างให้กับ ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’
แม้ว่าวอลเตอร์ ชายผู้มีผมสีน้ำตาล จะดูหนุ่มกว่านิโคไลย์ แต่ดวงตาสีฟ้าของเขาบ่งบอกถึงประสบการณ์อันโชกโชน “ใต้เท้าวารันไทน์ ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย สิ่งที่น่าพรั่นพรึงจริงๆ ก็คือการสูญเสียศรัทธาในพระเจ้า นั่นประหนึ่งติดกับดักอยู่ในนรกชั่วนิรันดร์ หากเราตาย ใต้เท้าวารันไทน์ เราก็เพียงกลับสู่อ้อมแขนของพระผู้เป็นเจ้าของเราก็เท่านั้นเอง”
“ดีมาก การอุทิศตนต่อพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าช่างสูงส่ง ข้าสัมผัสได้ถึงความผิดของพระผู้เป็นเจ้า ประตูสวรรค์ขุนเขาจะเปิดรับเจ้าเสมอ และถ้าเจ้ารอดชีวิตกลับมาจากภารกิจครั้งนี้ ข้าจะพาเจ้าทั้งสองคนเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาในนครโฮล์มเพื่อให้เจ้าได้รับการประทานพร และเจ้าหน้าที่สองคนจะกลายเป็นพระคาร์นิดัลชั้นอาวุโส”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอุทิศตนของผู้พิทักษ์ราตรีทั้งสอง วารันไทน์กล่าวชื่นชมทั้งสองและให้คำสัญญาไว้มากมาย “เป้าหมายหลักของเจ้าในภารกิจครั้งนี้คือเฟลิเป การ์เนโร ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 91 ของ ‘บัญชีกวาดล้าง’ นอกจากเขาแล้ว เป้าหมายที่สองของพวกเจ้าคือลูเซียน อีวานส์ เอ็กซ์ แต่ขอให้มุ่งเป้าไปที่การสังหารเฟลิเปเพราะเขาเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง ส่วนลูเซียน อีวานส์ เอ็กซ์ ตอนนี้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของผู้วิเศษและจอมเวทชั้นอาวุโสหลายคน อย่าสละชีวิตของพวกเจ้าเพราะเขา หากเจ้ามีโอกาสหลบหนี”
“พวกดูหมิ่นเป็นพระเจ้าต้องถูกกำจัดให้สิ้น!” นิโคไลย์และวอลเตอร์ตอบเสียงดังฟังชัด
ในอีกด้านหนึ่ง วาฮารัลล์นำดาบสีเงินเล่มหนึ่งออกมาด้วยท่าทีขึงขัง ดาบเล่มนี้แม้จะดูเหมือนดาบธรรมดา แต่บรรจุพลังอันยิ่งใหญ่ไว้ภายใน “นี่เป็นดาบที่ถอดแบบมาจากอุปกรณ์เทพ ‘ดาบแห่งสัจธรรม’ จากสังฆมณฑลโฮล์ม และพลังบางส่วนก็มาจากดาบของจริง ดาบเล่มนี้สามารถตัดสื่อกลางระหว่างนักเวทกับอุปกรณ์เวทของแต่ละคนได้ นั่นรวมถึง ‘กล่องชีวิต’ หรือ ‘อุปกรณ์เก็บวิญญาณ’ เนื่องจากเฟลิเป เราต้องใช้ดาบเล่มนี้ในการสังหาร”
เหตุผลที่ ‘พร’ ของตระกูลฮอฟเฟนเบิร์กได้รับการขนานนามว่า ‘ดาบแห่งสัจธรรม’ ก็เพราะว่าตะกูลฮอฟเฟนเบิร์กต่างมีพลังเดียวกันนี่เอง
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีทางที่พระคาร์ดินัลจะยอมให้ผู้พิทักษ์ราตรีทั้งสองได้ใช้อาวุธชั้นตำนาน เนื่องจากการสูญเสียดาบที่มีพลังระดับนั้นเป็นสิ่งที่พระคาร์ดินัลเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนั้น พระคาร์ดินัลนักบุญชั้นตำนานทั้งสามรูปจึงใช้เวลาหลายวันในการถอดแบบดาบด้วยวงเวท วัสดุ และพลังทั้งหมดที่มี พลังของอาวุธถอดแบบนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว
เมื่อปล่อยนิโคไลย์รับดาบไป วาฮารัลล์ก็บอกกับเขา “นักเวทเฒ่าที่ชื่อ ‘เวิร์น’ จะพาเจ้าเข้าไปในคฤหาสน์ที่ซาริวาที่เฟลิเปพักอยู่ จงอดทนรอ แล้วจะเอาทั้งสองจะได้โอกาสสังหารเฟลิเป”
เวิร์นเป็นจอมเวทระดับสี่ นักเวทระดับสี่ เมื่อสมัยเขายังเป็นหนุ่ม เขาประสบความสำเร็จมากมาย และเขาก็เคยสังหารผู้พิทักษ์ราตรีไปสองสามคน อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุมากขึ้น ความก้าวหน้าในอาร์คานาศาสตร์ก็ช้าลงและหยุดพัฒนาในที่สุด เวิร์นถึงกับหลงทาง
เวิร์นหลงทางอยู่ภายในคำถามพื้นฐานมากมายที่เขาเฝ้าถามตัวเอง ชีวิตมาจากไหน? พลังเวทมนตร์เกิดขึ้นได้อย่างไร? วิญญาณเกิดมาจากที่ไหนและอย่างไร? เมื่อเขาไม่สามารถพบคำตอบจากอาร์คานาศาสตร์ เขาจึงค่อยๆ ผันตัวเองกลายเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้า
ดังนั้น มีเพียงเวิร์นยอมรับภารกิจในการพาผู้พิทักษ์ราตรีทั้งสองคนเข้าไปยังสถานที่ซึ่งเหล่าอัจฉริยะที่สำคัญที่สุดของสภาเวทมนตร์พักอยู่ สำหรับผู้แปรพักตร์อื่นๆ ไม่ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้ยอมร่วมมือกับศาสนจักร ก็ยังไม่กล้าทำถึงขนาดนี้
นิโคไลย์และวอลเตอร์ยืนขึ้น ทำเครื่องหมายกางเขนบริเวณหน้าอก “สัจจะคงอยู่นิรันดร์!”
“สัจจะคงอยู่นิรันดร์!” วารันไทน์และวาฮารัลล์ทวนคำและมองดูผู้พิทักษ์ราตรีทั้งสองจากไป
วาฮารัลล์ถอนหายใจ “พวกเขาเป็นผู้รับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของพระเจ้า พวกเขามีศรัทธาแรงกล้าไม่ควรต้องมาพลีชีพ เรามีงานต้องทำอีกมากเพื่อหานักเวทที่เต็มใจทำงานให้เราในเมืองอัลลิน ภารกิจนี้จะทำให้เราขาดทุนย่อยยับ”
“การขาดทุนของเราจะได้รับการชดเชย” วารันไทน์หลับตาลง สีหน้าดูค่อนข้างจริงจัง “นี่ไม่ใช่การพลีชีพ แต่เป็นการอุทิศตน”
…
“สวัสดีขอรับ ท่านเฟลิเป”
“ท่านเฟลิเป…”
ด้านนอกคฤหาสน์ เมื่อเห็นเฟลิเปซึ่งอยู่ในเสื้อนอกทรงยาวสีดำเหมือนทุกที เดินมาทางพวกเขา นักเวทศาสตร์มืดชั้นกลางหลายคนต่างทักทายเขาด้วยความเคารพอย่างจริงใจ
เฟลิเปเป็นเพียงคนเดียว นอกเหนือจากบรรดามหาจอมเวทและนักเวทชั้นตำนาน ที่มีหวังจะได้รับรางวัล ‘บัลลังก์นิรันดร’ อีกครั้ง และรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ก็มีโอกาสเช่นกัน แม้ว่างานวิจัยก่อนหน้านี้ของเขาที่ศึกษาความทรงจำของเซลล์เป็นงานวิจัยที่ดีเต็มไปด้วยความรู้เชิงวิชาการและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่นั่นยังไม่ใกล้เคียงกับงานวิจัยชิ้นนี้ที่ล้มล้าง ‘ทฤษฎีพลังชีวิต’ ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานของสำนักศาสตร์มืด
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่ามีนักเวทศาสตร์มืดอีกหลายต่อหลายคนที่เกลียดขี้หน้าเฟลิเป มากถึงขนาดอยากเผาเขาให้กลายเป็นจุล ในทางกลับกัน จอมเวทส่วนใหญ่จากเจตจำนงแห่งธาตุค่อนข้างผิดหวังไปตามๆ กัน เนื่องจากพวกเขาหวังว่าควรจะเป็นจอมเวทสายธาตุที่เป็นคนค้นพบความจริงข้อนี้
เมื่อเป็นที่สนอกสนใจของคนจำนวนมาก เฟลิเปก็ยังรักษาท่าทีสุขุมและเชื่อมั่นในตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดี หลังจากพยักหน้าทักทายกับนักเวทศาสตร์มืด เขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ ตามโรเจริโอและจอมเวทชั้นอาวุโสคนอื่นๆ
ก่อนที่จะเข้าไปยังห้องโถง เฟลิเปเหลือบมองไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งลูเซียนเพิ่งเดินออกมาจากบ้านพัก มุมปากของเฟลิเปเลิกขึ้น เป็นรอยยิ้มที่แฝงนัยอยู่บนใบหน้า ราวกับว่าเขากำลังพูดว่า “ทำดีมาก ศาสตราจารย์”
เห็นได้ชัดว่าเฟลิเปมีความสุขมากกับผลลัพธ์จากแผนของเขา แปลว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีนักเวทคนไหนครัวระเบิดเพราะทฤษฎีใหม่ แต่พวกหัวโบราณดื้อด้านอีกหลายคนในสำนักศาสตร์มืดจะติดกับอยู่ในการศึกษาอาร์คานาศาสตร์ไปอีกนาน
ก่อนที่ลูเซียนจะมีปฏิกิริยาอะไร เฟลิเปก็เดินเข้าไปในห้องโถงเสร็จแล้ว น่าแปลกใจ มีเวทีความสูงประมาณหนึ่งสร้างไว้กลางห้องโถง บนเวที มีแท่นปฏิบัติการเล่นแร่แปรธาตุ และอุปกรณ์ทดลองครบชุดล้อมรอบด้วยวงเวททรงพลังมากมาย
หลอดและท่อแก้วสองสามชิ้นพร้อมทั้งขวดแก้วอีกสองขวดต่อเข้ากันเป็นระบบปิดที่มีการไหลเวียนภายใน องค์ประกอบทั้งหมดดูเป็นปริศนาแต่งดงาม
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” เฟลิเปค่อนข้างแปลกใจ เขาคิดว่าทุกคนมารวมตัวกันเพื่ออภิปรายโครงการวิจัยกับเหล่าดรูอิด
“พวกเขาจะทำอะไร…? พวกนักเวทจากเจตจำนงแห่งธาตุ…” เฟลิเปค่อนข้างสงสัย ขณะเขานั่งลงตรงกลางแถวด้านหลังโรเจริโอและเปเซอร์
“ท่านรู้ไหมว่านี่จะทำอะไรกัน?” โรเจริโอถามเปเซอร์ หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา
เปเซอร์ผงกศีรษะ “ไม่รู้เลย การประชุมปิดโครงการวิจัยเป็นความคิดของแกสตัน”
เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เนื่องจากไม่มีทางที่นักเวทสายธาตุจะสามารถนำเสนอผลการวิจัยที่ล้มล้างทฤษฎี ซึ่งจะส่งผลเสียต่อรากฐานของสำนักศาสตร์มืดได้อีกต่อไป หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับทฤษฎีพลังชีวิต แทบเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมาล้มล้างทฤษฎีพื้นฐานอื่นๆ ของสำนักศาสตร์มืดได้อีก เนื่องจากทฤษฎีเหล่านี้มีความเป็นนามธรรมเกินไปที่มนุษย์จะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ตอนนั้นเอง ลูเซียน พร้อมด้วยราเวนติ แกสตัน ล็อกลินน์ และนักเวทคนอื่นๆ จากเจตจำนงแห่งธาตุ ก็เข้ามาในห้องโถงและนั่งลงอีกฝั่งหนึ่ง
“มอร์ริส? ทำไมเขาอยู่ที่นี่?” ทีนา-ทีมอสเลิกคิ้วของนาง
มอร์ริสไม่ได้อยู่ในโครงการวิจัยนี้ นางสงสัยว่าทำไมถึงปรากฏตัวในวันนี้
“เขาคงสนใจการอภิปรายเรื่องทฤษฎีกราฟชีวิตเหมือนกัน เหมือนกับข้า” โรเจริโอไม่เห็นว่ามีอะไรเป็นพิเศษกับการที่มอร์ริสปรากฏตัวขึ้นที่นี่
ณ เวลาสิบสี่นาฬิกา เหล่าจอมเวททั้งหมดมีส่วนร่วมในโครงการก็มากันพร้อมหน้า ขณะเดียวกัน ตัวแทนจากดรูอิด ไอริสทีนและอาร์เซเลียนก็มาถึงแล้ว เนื่องจากมัลฟิวเรียนล้มเลิกความพยายามจะทำงานร่วมกับมหาจอมเวทในการศึกษาพลังเทพแห่งธรรมชาติ ดรูอิดจึงไม่ถูกกดดันจากป่ามากนัก
ที่ชั้นบน มัลฟิวเรียนและมหาจอมเวทอีกหลายคนกำลังมองลงมาที่เวทีจากหน้าต่างมิติ
“แฮททาเวย์ ทำไมเจ้าอยากให้เรามาอยู่ที่นี่?” ธานาทอสซึ่งกำลังนั่งอยู่ในเก้าอี้นวมการสบายถามขึ้น แม้ว่าสำนักศาสตร์มืดได้รับความเสียหายอยู่บ้าง เขาโล่งใจที่นักเวทศาสตร์มืดส่วนใหญ่สามารถรับมือกับความยากลำบากหลังจากคดีพลังชีวิตถูกล้มล้าง
“มาดูการทดลอง ง่ายๆ แต่ทรงพลังพอที่จะสั่นคลอนรากฐานของศาสนจักร” แฮททาเวย์ตอบโดยไม่หันหน้าไปมองผู้ถาม ดวงตาสีเทาเงินของนางกำลังจับจ้องอยู่ที่เวที “บางทีเราก็ติดกับดัก เพราะเราคิดอะไรลึกซึ้งเกินไป แต่ความจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ และบางทีก็อาจเหมือนพลังเทพแห่งธรรมชาติ”
เมื่อได้ยินคำตอบของแฮททาเวย์ ‘ดักลาส’ ประธานสภาเวทมนตร์ ซึ่งถึงขั้นต้องระงับการทดลองของตัวเองเพื่อมาชมการประชุมเปิดโครงการครั้งนี้ และ ‘บรูค’ รองประธาน ก็มีสีหน้าจริงจังมาก
ขาดเพียง ‘แม่มดแห่งดินแดนเหมันต์’ และ ‘หัตถ์ทำลายล้าง’ ซึ่งไม่ได้มาร่วมงาน มหาจอมเวทคนอื่นๆ ก็มากันพร้อมหน้า
…
ราเวนติอยู่ในชุดสีเทา เดินออกมาหน้าเวทีและยืนอยู่หลังชุดอุปกรณ์ทั้งหมด ว่าแล้วเขาก็พูดด้วยเสียงอันดัง “การอภิปรายอันยอดเยี่ยมเรื่องความถูกต้องของทฤษฎีพลังชีวิตเป็นแรงบันดาลใจให้เรา นักเวทสายธาตุชั้นอาวุโสจากเจตจำนงแห่งธาตุ ประกอบกับแรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าในตำนาน เราได้คิดค้นการทดลองอันน่าอัศจรรย์นี้ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี เนื่องจากการทดลองอาจใช้เวลานาน เรามาเริ่มอภิปรายผลของโครงการระหว่างรอผลการทดลองออกมาเถอะ”
เมื่อเห็นราเวนติแสดงท่าทีเคร่งเครียด จอมเวททั้งหลายต่างรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
นี่มันการทดลองอะไรกันแน่?
…………………………………