บทที่ 1139 บางสิ่งบางอย่างต้องนอนลงเท่านั้นถึงจะมองเห็น

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แต่ว่า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!

หลิงม่อหันกลับมา และมองไปยังทิศทางที่โกดังอาหารแห่งนั้นตั้งอยู่

ที่นี่ คือที่ที่เขาต้องจัดการเรื่องหยุมหยิมเป็นที่สุดท้ายแล้ว…

“เด็กโง่ รออีกหน่อยนะ ขอเวลาอีกหน่อย…ไม่นาน…เธอก็จะหายดี…”

…หลังผ่านไปประมาณสิบนาที โกดังอาหารที่หลิงม่อบอกว่า “ปกติดี” ก็ได้ปรากฏในครรลองสายตาของทุกคนไกลๆ หลังเดินฝ่ากองหญ้ารกชัฏมา พวกเขาก็มองเห็นหลังคาของโกดัง รวมถึงอาคารน้อยใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางเหล่านั้นอย่างชัดเจน

ดูจากขนาด โกดังอาหารแห่งนี้เล็กกว่าโกดังอาหารในอำเภอหลีหมิงมาก นอกจากนี้ หลิงม่อก็ยังพูดถูกเรื่องที่ว่าที่นี่เงียบเกินไป…ด้านหลังผ้าม่านหน้าต่างที่ปลิวออกมาข้างนอกนั้นว่างเปล่า และภายใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้าแยงตาที่สาดส่องลงมา พวกเขาก็ได้ยินเพียงเสียงของแมลงที่ดังระงมราวกับต้องการร้องแข่งกัน

ถึงแม้ว่าระบบนิเวศที่เคยมีจะพังลงแล้ว แต่สิ่งมีชีวิตที่ถึกทนอย่างแมลงก็ยังคงอยู่รอด ทว่าแมลงเหล่านี้ก็ย่อมไม่ใช่แมลงธรรมดาอีกต่อไปเช่นกัน เมื่อต้องเดินแหวกต้นไม้ใบหญ้าในป่ารก นอกจากต้องระวังใบหญ้าแหลมคมแล้ว สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดยังมีแมลงน้อยใหญ่เหล่านี้อีกด้วย

ทันทีที่ถูกกัด ถึงแม้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็จะมีอาการปวดแสบปวดคัน ทรมานไม่แพ้กันเลยทีเดียว และเรื่องนี้ คนในทีมก็มีประสบการณ์อย่างดี ดังนั้นระหว่างเดินทาง พวกเขาจึงมัดแขนเสื้อและขากางเกงอย่างรัดกุม ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขาต้องบ่นสภาพอากาศอันร้อนอบอ้าว…เพราะพวกเขาร้อนจนแทบจะเป็นลมตายอยู่แล้ว

“ไม่พบจุดน่าสงสัยอะไรเลย” อวี่เหวินซวนเกาะเสาไฟฟ้าแน่นและกวาดมองหนึ่งรอบ จากนั้นก็กระโดดลงมารายงาน

“ลองอธิบายสภาพแวดล้อมข้างในมาให้ละเอียดหน่อย” หลิงม่อพยักหน้า จากนั้นก็บอก

แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เขารู้นานแล้ว แต่หากให้อวี่เหวินซวนเป็นคนพูดย่อมน่าเชื่อถือกว่าอยู่แล้ว พลังสัมผัสรู้ของเขาสามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิต แต่คงไม่ถึงขั้นสัมผัสรู้ถึงอาคารบ้านเรือนได้ด้วย ดังนั้น หากจะแต่งเรื่อง…ก็ต้องให้มันอยู่ในขอบเขตที่น่าเชื่อถือบ้าง…

“แต่ว่า…ฉันต้องขอโทษจริงๆ ที่แต่งเรื่องหลอกทุกคนบ่อยๆ…” หลิงม่อคิดอย่างจนใจเล็กน้อย แต่เรื่องบางอย่าง ไม่รู้จะสบายใจกว่า…ดังนั้นการที่เขาปิดบัง บางครั้งก็ไม่ได้มาจากความไม่เชื่อใจ…

อวี่เหวินซวนยิ้มกว้าง บอกว่า “ให้บรรยายสภาพแวดล้อมหรอ? เรื่องถนัดฉันเลยนะเนี่ย ถ้างั้น ฉันจะเริ่มจากมุมกว้างก่อนแล้วกัน…พื้นที่ของโกดังอาหารแห่งนี้ น่าจะใหญ่ประมาณสามในห้าของโกดังอาหารแห่งที่แล้ว นอกจากโกดังที่มีไว้เก็บตุนเสบียงอาหาร ยังมีอาคารเล็กๆ อีกสองหลัง หลังหนึ่งมีสองชั้น ดูจากสายตาแล้วน่าจะเป็นออฟฟิศ ส่วนอีกหลังน่าจะเป็นหอพัก ฉะนั้นสรุปได้ว่า ก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติขึ้น น่าจะมีพนักงานหลายชีวิตอาศัยอยู่ในโกดังอาหารแห่งนี้”

“ดังนั้น ถ้าหากพวกเราโชคไม่ดี ก็อาจปะทะกับซอมบี้ข้างในนั้น แต่ในขณะเดียวกัน ฉันคิดว่าโอกาสที่พวกเราจะบังเอิญเจอซอมบี้ระดับสูงนั้นมีไม่มากนัก”

“เพราะตัวเลขพื้นฐานหรอ?” จางซินเฉิงถาม

“ใช่…” ซย่าน่าพูดต่อ “อำเภอแห่งนั้นยังมีซอมบี้ และระหว่างทางที่พวกเรามาที่นี่ก็ไม่เห็นหมู่บ้านอื่น หรือพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่อีก ดังนั้นถึงแม้ว่าในโกดังอาหารแห่งนี้จะมีซอมบี้อยู่ ก็คงเกิดจากมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกแล้ว”

“ถูกต้องแล้ว แต่เดิมพวกเขาก็ไม่ได้มีกันมากนัก ถึงแม้พวกเราจะบวกปัจจัยที่คาดไม่ถึงอื่นๆ เข้าไปด้วย แต่ก็ยังควบคุมให้ตัวเลขไม่เกินหนึ่งร้อยกว่าได้ หลังจากที่พวกเขาผ่านการเข่นฆ่ากันเองมาตลอดหนึ่งปี ถึงจะมีบางตัวรอดมาได้ แต่ต้องมีขีดจำกัดด้านระดับวิวัฒนาการแน่นอน” อวี่เหวินซวนสรุป

ทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็หันไปมองหน้ากัน…ไม่มีซอมบี้ระดับสูง? ก็เป็นข่าวดีน่ะสิ!

ดูท่าคราวนี้คงเลือกสถานที่ถูกแล้วจริงๆ…

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็คงไม่ต้องพักอีกแล้ว เข้าไปกันเลยเถอะ” เย่ไคพูดขึ้นอย่างอดทนรอไม่ไหว

มู่เฉินเองก็ยกมือปาดเหงื่อ บอกว่า “ฉันก็ขอเข้าไปพักข้างในดีกว่า เหงื่อฉันไหลจนน้ำจะหมดตัวอยู่แล้ว”

พูดไป ทั้งสองก็เดินนำหน้าไปยังโกดังอาหารอย่างรวดเร็ว

จางซินเฉิงทำท่าเหมือนอยากพูดอะไร แต่กลับถูกอวี่เหวินซวนโบกมือห้ามไว้ก่อน “ให้พวกเขาไปเถอะ ฉันสัมผัสไม่ได้ถึงอันตราย แล้วอีกอย่างช้าเร็วพวกเราก็ต้องเข้าไป ตอนนี้อากาศร้อนมาก นั่งรอข้างนอกก็มีแต่เสียเหงื่อไม่ถือว่าเป็นการพักเอาแรงหรอก”

พูดจบ เขายังหันไปมองหลิงม่อแวบหนึ่ง

หลิงม่อขมวดคิ้วเบาๆ…สัมผัสถึงอันตรายงั้นหรอ? เป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาสัมผัสไม่ได้ว่ามีจุดผิดสังเกตอะไร…แต่ตอนที่เขามองเข้าไปในนั้นผ่านสายตาของเสี่ยวป๋าย เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล…ความรู้สึกนี้เลือนรางมาก กระทั่งเกิดขึ้นเพียงประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ หลิงม่อก็ยิ่งพยายามไล่จับมัน

ทว่า…เรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนี้…

หลิงม่ออดรู้สึกไม่ได้ว่าถ้าหากตัวเองคิดเรื่องนี้ไม่ออก บางที…อาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็ได้…

“งั้นหรอ? ถ้าอย่างนั้น…ทำไมพี่ไม่บอกพวกเขาล่ะ?” สามสาวซอมบี้ถูกทิ้งให้รั้งท้ายพร้อมกับหลิงม่อ หลังจากที่ฟังหลิงม่อพูดจนจบ ซย่าน่าก็อดถามขึ้นไม่ได้

“ช่างเถอะ พวกเขาอุตส่าห์ได้มีวันที่สงบสุขบ้าง ถึงแม้จะไม่กี่วัน แต่ฉันก็ไม่อยากทำให้พวกเขาตื่นตระหนกทั้งที่ยังไม่มีเบาะแสอะไรเลย” หลิงม่อส่ายหน้า

หลี่ย่าหลินมองหลิงม่ออย่างครุ่นคิด จากนั้นก็พูดอย่างจริงจัง “หรือว่า…ท่ามกลางความวังเวงนั้น จะมีอันตรายบางอย่าง…กำลังรอเราอยู่จริงๆ…”

“ไม่เนียนเลยซักนิด” หลิงม่อบอก

“จิ๊…” หลี่ย่าหลินปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันที ขณะเดียวกันก็ยังจิ๊ปากอย่างเจ็บใจ

“เอาเถอะ ฉันอาจจะอ่อนไหวเกินไปก็ได้” หลิงม่อยิ้มฝืดเฝื่อน แล้วบอก

หลังจากที่พลังจิตแข็งแกร่งขึ้น สัมผัสรู้ของเขาก็อ่อนไหวขึ้นมาก

แต่หลังจากที่พลังจิตแข็งแกร่งขึ้นเขาก็ยังไม่เคยต่อสู้จริงๆ ซักครั้ง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่แน่ใจว่านี่เป็นผลข้างเคียงจากพลังสัมผัสรู้ที่อ่อนไหวเกินไป หรือว่าเขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งจริงๆ

ขณะที่พวกหลิงม่อกำลังมุ่งหน้าไปยังโกดังเหล่านั้น ณ มุมหนึ่งของโกดังอาหาร ประตูห้องบานหนึ่งถูกผลักเปิดออกอย่างแช่มช้า เมื่อประตูแง้มเปิด ดวงตาคู่หนึ่งพลันปรากฏท่ามกลางความมืด หลังกระพริบตาหนึ่งครั้ง ดวงตาคู่นั้นพลันเปลี่ยนจากสีดำกลายเป็นสีแดงทันที…

“เอ๊ะ? เมื่อกี้โค้ชรู้สึกเหมือนถูกคนมองเหมือนผมไหม?” เย่ไคที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดพลันถามขึ้น

“อาจเป็นเจ้าเฟิ่งจื่อซวนก็ได้!” มู่เฉินพูดอย่างอ่อนแรง เขาจ้องเขม็งไปยังเบื้องหน้า แล้วอยู่ๆ ก็ร้องขึ้น “ดูนั่น มีรถจอดอยู่ตรงนั้น!”

ทว่าเสียงตะโกนนั้นกลับไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากพวกหลิงม่อซักนิด…เพราะว่าเขาเห็นรถคันนั้นนานแล้ว มีรอยเลือดอยู่มากมาย แต่ไม่เห็นศพ และเพราะมีรอยเลือด ฉะนั้นกลิ่นอื่นที่อาจหลงเหลืออยู่ในรถจึงถูกกลิ่นเลือดกลบจนสิ้น ถึงจะให้พวกซย่าน่าเข้าไปสำรวจ ก็ยังยากจะเจอปัญหา

“ทุกคนดูนี่สิ”

คิดไม่ถึง อวี่เหวินซวนกลับค้นพบปัญหาบางอย่าง

เพียงแต่มุมมองการสำรวจของเขาต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขากำลังนอนราบไปกับพื้น จ้องใต้ท้องรถและตะโกนขึ้นมาว่า “ฝุ่นข้างล่างนี้ เหมือนจะมีสภาพไม่ต่างจากจุดอื่นมากนัก…”

หลิงม่ออึ้งงัน “หมายความว่ายังไง…”

ทว่าอวี่เหวินซวนยังไม่ทันตอบ เขาก็กระจ่างอย่างรวดเร็ว