บทที่ 1140 จุดน่าสงสัยที่อยู่บนพื้น

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

“รถคันนี้…เพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่กี่นาน…” หลิงม่อพึมพำ

คราบฝุ่นมีไม่มาก ก็แสดงว่ารถคันนี้ยังจอดที่นี่ได้ไม่นานมาก ถ้าไม่อย่างนั้น ใต้ท้องรถควรจะสะอาดกว่าส่วนอื่นๆ ของรถ

เรื่องนี้ผิดจากที่หลิงม่อคิดในตอนแรกเล็กน้อย…ถ้าหากผู้รอดชีวิตกลุ่มนี้เพิ่งมาที่นี่ในไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็เป็นไปได้น้อยมากที่พวกเขาจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในถิ่นนี้แต่แรก…

หลิงม่อคิด พลางเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปนั่งยองๆ ข้างรถแล้วเริ่มสังเกตอย่างละเอียด

“ยังมีตรงนี้อีก…” อวี่เหวินซวนแทบจะมุดเข้าไปใต้ท้องรถทั้งตัว ไม่นาน เขาก็ค้นพบบางอย่างอีกครั้ง

“เจ้าหมีอ้วนนะเจ้าหมีอ้วน…” หลิงม่ออดไม่ได้ที่จะบ่นเรื่องรูปร่างของเสี่ยวป๋าย แค่จะก้มหน้ายังลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะให้มันมุดเข้าไปใต้ท้องรถเลย…

เมื่อมองตามนิ้วมือของอวี่เหวินซวนที่ชี้ไป หลิงม่อก็มองเห็นจุดที่น่าสงสัยที่เขาพูดถึง

แอ่งน้ำเล็กๆ แอ่งหนึ่ง…

บนถนนหลวงที่ถูกใช้งานมานานมักมีหลุมบ่ออย่างนี้เกิดขึ้น แต่พอมาเห็นมันในสถานที่อย่างนี้ กลับทำให้ลางสังหรณ์ในใจหลิงม่อยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

“ไม่กี่วันก่อน…ฝนตกงั้นหรอ?” หลิงม่อถาม

เจ้าลิงผอมรีบตอบทันที “ใช่ครับ ผมเคยได้ยินเสียงฝนตกตอนเที่ยงคืน แต่ไม่ได้ตกหนักมาก ไม่รู้ว่ามันตกมาถึงที่นี่ด้วยหรือเปล่า แต่ถึงฝนจะตก พื้นก็คงแห้งไปนานแล้ว เพราะแดดแรงขนาดนี้”

“ใช่แล้ว แดดส่องมาไม่ถึงตรงกลางของใต้ท้องรถ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น แอ่งน้ำนี่ก็ไม่ควรมาอยู่ตรงนี้” อวี่เหวินซวนบอก ขณะเดียวกัน เขาล้วงกระสุนออกมาหนึ่งลูก และวางมันไว้ตรงขอบแอ่ง และท่ามกลางสายตาของเขากับหลิงม่อ กระสุนลูกนั้นกลับกลิ้งไปทางหลิงม่อช้าๆ

และหลังจากที่ทดลองวางขอบด้านอื่นๆ ของแอ่งน้ำ ผลที่ได้ก็ออกมาเหมือนกัน

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า…

“แม้ว่าฝนจะตกที่นี่จริงๆ แต่น้ำก็ไม่มีทางไหลมารวมกันตรงนี้ได้…” หลิงม่อขมวดคิ้วพูดขึ้น

“นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น” อวี่เหวินซวนใช้มือลูบคลำไปทั่วหนึ่งรอบ แล้วพูดต่อว่า “สภาพอากาศแบบนี้ ถึงจะเป็นใต้ท้องรถอุณหภูมิก็ยังสูงมากอยู่ดี ถ้าหากว่าแอ่งน้ำนี้มีมาตั้งแต่ช่วงก่อน ป่านนี้มันก็น่าจะระเหยไปแล้ว”

“ดังนั้นหากสันนิษฐานจากจุดนี้ แอ่งน้ำนี่…เพิ่งจะมีขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้…” หลิงม่อพึพำเสียงเบา

อวี่เหวินซวนพยักหน้า “ถูกต้อง!”

“นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะเนี่ย…” มู่เฉินพึมพำสีหน้าเครียด

ถึงแม้พวกเขาไม่อาจระบุช่วงเวลาที่ชัดเจน แต่สำหรับพวกเขา คำว่า “ไม่กี่วัน” นั้นแฝงไว้ด้วยความหมายในหลายแง่มุม…

“พวกนายคิดว่า…เป็นไปได้ไหมว่านอกจากพวกเรากับบอสใหญ่ของนิพพานแล้ว ยังมีผู้รอดชีวิตที่อาศัยอยู่แถวนี้รู้เรื่องโกดังอาหารแห่งนี้?” หลิงม่อลุกขึ้นยืน แล้วถาม

ทั้งหมดนิ่งเงียบ…

ผ่านไปสองวินาที กลับเป็นซย่าน่าที่พูดขึ้นทำลายความเงียบ “ถ้าอย่างนั้น…อาจเป็นไปได้ว่าพวกนิพพานเคยมาที่นี่ก่อนแล้ว?”

เธอใช้คำว่า “เคยมา” ซึ่งเฮยซือจับสังเกตได้ทันที

ถึงแม้หลิงม่อไม่ได้บอกเรื่องการเคลื่อนไหวลับๆ ของเสี่ยวป๋ายให้เธอรู้ แต่หลังจากที่สูดดมแรงๆ สองครั้ง เฮยซือก็ทำหน้ากระจ่างขึ้นมาทันที

เห็นชัดว่า…แถวๆ นี้ไม่มีคนของนิพพานปรากฏตัว…แต่เป็นไปได้มากว่าเสี่ยวป๋ายอาจปะทะกับซอมบี้แล้ว…

“ฉันพูดถูกไหม?” เสียงของเฮยซือดังขึ้นในสมอง

“ในเมื่อเธอจะคุยกับฉันผ่านสายสัมพันธ์ทางจิต ก็ไม่เห็นต้องทำเสียงเหมือนผู้บรรยายที่กำลังวิเคราะห์เหตุการณ์ในสมองของฉันเลยนี่!” หลิงม่อเอ็ดอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังคงขมวดคิ้วตอบว่า “นี่เป็นเรื่องที่ฉันกำลังคิดไม่ตกอยู่พอดี ไม่ว่าผู้มาจะใช่หรือไม่ใช่คนของนิพพาน แต่ทำไมแถวนี้ถึงยังมีซอมบี้อยู่อีก?”

“สู้ไม่ได้? ก็ไม่น่าเป็นไปได้…คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาขับรถมาจากที่อื่น ไม่ว่าจุดเริ่มต้นของพวกเขาคือที่ใด…แต่คนกลุ่มหนึ่งที่สามารถขับรถมาจนถึงที่นี่ได้อย่างองอาจ กลับไม่สามารถกำจัดซอมบี้ของที่นี่ได้อย่างนั้นหรอ? มันไม่สมเหตุสมผลเลยซักนิด” หลิงม่อพูดต่อ

เฮยซือสบตากับซย่าน่าแวบหนึ่ง จากนั้นก็กอดอกทำท่าเหมือนผู้ใหญ่ บอกว่า “บางที…อาจมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลในซอมบี้ฝูงนี้ก็ได้ อย่างเช่นมีซอมบี้ระดับสูงถือกำเนิดขึ้นมาหนึ่งตัว? เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลยซะทีเดียวนะ ใครจะไปรู้ว่าในโกดังนั่นอาจมีข้าวสารดัดแปลงพันธุกรรมซ่อนอยู่ก็ได้”

“บ้าหรือเปล่า?! เอาเถอะ…ถ้าหากฉันยอมถอยออกมาซักหมื่นก้าว แล้วถือว่ามันมีข้าวสารแบบนั้นอยู่จริงๆ…แต่ซอมบี้ที่ไหนกินข้าวสารกันวะ!” ถูกเฮยซือป่วนความคิดอย่างนี้ กลับทำให้หลิงม่อใจเย็นลงไม่น้อย “ไม่หรอก ไม่ใช่ซอมบี้ที่มีปัญหา…เสี่ยวป๋ายเคยเจอซอมบี้ของที่นี่แล้ว พวกมันเป็นแค่ซอมบี้ธรรมดา ซึ่งนี่ก็ทำให้สามารถตัดความเป็นไปได้เรื่องสัตว์กลายพันธุ์ออกไปได้ด้วย…เพราะถ้าหากว่ามีสัตว์กลายพันธุ์อยู่ ซอมบี้พวกนี้คงถูกกินเกลี้ยงไปนานแล้ว…”

“ดังนั้นปัญหาก็คือ…” หลิงม่อมองไปที่หน้าต่างรถ จ้องมองเงาสะท้อนกลับด้านที่อยู่ในนั้น และยกนิ้วมือนวดหว่างคิ้ว บอกว่า “คนที่นั่งอยู่ในรถคันนี้ เป็นใครมาจากไหน…และตอนนี้ เขาอยู่ที่ไหน…”

หลังจากพบเบาะแสใต้ท้องรถ หลิงม่อก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า…เรื่องนี้ จะใช่ขวากหนามที่คาใจเขามาตั้งแต่แรกหรือเปล่านะ?

แต่พอคิดอีกที เขากลับเงียบไปอีกครั้ง…

ไม่…ไม่ใช่เรื่องนี้…เป็นเรื่องที่อันตรายกว่านี้…

แต่ไม่ว่าเขาจะคิดยังไง ก็คิดไม่ออก…

“ฮู่ว…”

หลิงม่อสูดหายใจลึกๆ เพื่อพยายามสงบจิตใจ

พอเขาหันไปมอง กลับพบว่าทุกคนต่างกำลังจ้องมาที่เขา

อวี่เหวินซวนเองก็คลานออกมาจากใต้ท้องรถ ยกนิ้วที่เปียกน้ำของตัวเองขึ้นสูดดมแรงๆ สองสามที และพูดขึ้นคล้ายพึมพำกับตัวเองว่า “เหมือนเป็นน้ำฝนธรรมดา…”

สายตาของหลิงม่อกวาดมองตัวเขา และเลื่อนไปยังคนอื่นๆ เขาหัวเราะเฝื่อนๆ แล้วบอกว่า “ดูท่า พวกเราคงโชคไม่ค่อยดีแล้วล่ะ”

“ไม่เห็นเป็นอะไร เดิมทีพวกเราก็แข่งเวลากับพวกนิพพานอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเรายึดครองโกดังอาหารที่ใหญ่ที่สุดได้แล้ว มองยังไงพวกเราก็เป็นฝ่ายชนะอยู่ดี” เย่ไคพูดด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม

“ตอนนี้ยังมั่นใจไม่ได้ว่าเป็นพวกนิพพาน…” หลังจากเรียบเรียงคำพูด หลิงม่อก็พูดสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกมา แน่นอนว่าเรื่องส่วนที่เกี่ยวกับซอมบี้ ถูกเขา “แก้ไข” ไปเล็กน้อย โดยเปลี่ยนจากเสี่ยวป๋ายที่เป็นผู้ลงมือตัวจริง เป็นหนวดสัมผัสของเขาแทน

เวลานี้ “หนวดสัมผัส” ผู้แข็งแกร่งตัวนี้กำลังซุ่มอยู่นอกโกดังอาหาร เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่ยักษ์ของมัน ถึงแม้หลิงม่ออยากจะให้มันเข้าไปค้นหาข้างในซักรอบ แต่ก็ทำได้เพียงยอมล้มเลิกความคิดนี้ไปแต่โดยดี เพราะถึงยังไงก็ไม่อาจปล่อยให้โกดังอาหารถูกพังง่ายๆ เกิดถ้ามันไปมุดไปเบียดจนเสียหาย เสบียงอาหารเหล่านั้นจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ?

หลังจากฟังเขาเล่าจนจบ ทุกคนก็มองหน้ากันอย่างตื่นตกใจระคนสงสัย

“มีคนที่ไม่สนใจซอมบี้อยู่ด้วยหรอ?”

“แต่ถึงแม้พวกเขาไม่สนใจ ซอมบี้ก็ไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปหรือเปล่า?”

“นั่นน่ะสิ ถึงพวกเขาจะเข้าไปซ่อนตัวในโกดังแล้ว แต่ซอมบี้ก็คงจะหาทางเข้าไปโจมตีอย่างสุดชีวิตแน่นอน”

“แต่ฟังจากที่หัวหน้าบอก ตอนที่เขาเจอซอมบี้ ซอมบี้พวกนั้นแค่เดินเร่ร่อนอยู่ในป่าเท่านั้น…”

“ไม่ใช่แล้ว มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…”

หลิงม่อยืนฟังทุกคนถกเถียงกัน ขณะเดียวกันก็เงยหน้าทอดมองไปยังโกดังอาหารอันเงียบสงัดที่อยู่ไม่ไกลแห่งนั้น

“คงต้องเข้าไปสำรวจกันซักรอบแล้วล่ะ…”