“อะไรนะ? เธอเตรียม ‘ของขวัญ’ ไว้ให้พวกนั้นงั้นหรอ? มันคืออะไร? จะมีประโยชน์หรอ? จะไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรอกหรอ? อย่างลืมนะว่าจำนวนคนของฝ่ายนั้นก็ไม่ได้น้อยเหมือนกัน พวกเราได้เปรียบเรื่องจำนวนไม่มากนัก ถ้าอยากเพิ่มอัตราการชนะ วิธีที่ดีที่สุดก็คือซุ่มโจมตีเท่านั้น”
ณ มุมหนึ่งในโกดังอาหาร ชายคนหนึ่งกำลังจ้องหน้าคู่สนทนาและถามอย่างร้อนใจ
พอได้ยินคำถาม เงาร่างนั้นหันหน้ากลับมาช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่ซีดขาวและไร้อารมณ์ เส้นผมและดวงหน้าเล็กๆ กว่าครึ่งส่วนถูกปกคลุมไว้ใต้ปีกหมวก นั่นยิ่งทำให้เธอดูลึกลับกว่าเดิม
เมื่อสายตาของทั้งสองสบประสานกัน ชายหนุ่มอดรู้สึกหนังศีรษะตึงชาไปชั่วขณะไม่ได้
“ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว…สายตาแบบนี้ เหมือนเคยเห็นจากคนอื่นๆ ด้วย…คิดไปเองงั้นหรอ? จากการหยั่งเชิง พวกเขาก็ดูปกติกันหมด…แต่ไม่ว่ายังไง สายตาแบบนี้ทำเอารู้สึกขนลุกตลอดเลย ฉันไม่มีทางรู้สึกไปเองแน่นอน…”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังคิดฟุ้งซ่าน หญิงสาวก็เปิดปากพูด ชายหนุ่มจึงได้สติทันที น้ำเสียงของหญิงสาวยามพูดนั้นแปลกมาก ราวกับไม่มีคลื่นอารมณ์ขึ้นลงใดๆ แฝงอยู่ ทว่าการแสดงออกอย่างนี้ กลับเข้ากับสีหน้าท่าทางของเธอเป็นอย่างดี
“เรื่องพวกนี้ที่หัวหน้ากังวล ฉันพูดได้แค่ว่า…ฉันไม่รู้” หญิงสาวกลับพูดสิ่งที่ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะได้ยิน
ไม่รู้?! แวบแรกที่ได้ยินคำตอบนี้ ชายหนุ่มลืมความรู้สึกแปลกๆ ก่อนหน้าไปจนสิ้น และรีบพูดขึ้นว่า “นี่เป็นการตัดสินใจโดยพลการของเธอเพียงคนเดียว และฉันที่เป็นหัวหน้าทีม กลับเพิ่งได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากเธอ! ถ้าหากว่าเธอไม่มีความมั่นใจ แผนการของพวกเราก็…”
“ไม่มีแผนการใดสำเร็จได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ พฤติกรรมของมนุษย์มีแต่ตัวแปรเต็มไปหมด ถึงแม้ว่าฉันจะเตรียมตัวและวางแผนอย่างรอบคอบแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายจะเดินตามเส้นทางที่ฉันวางไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้ล่วงหน้าเลย” หญิงสาวกลับตอบอย่างไม่เร่งร้อนใจ
“นอกจากนี้ จากที่ฉันรู้มา…ยิ่งสร้างกับดักที่ซับซ้อน กลับจะยิ่งเป็นการทำให้ศัตรูระวังตัว ถึงแม้สามารถอำพรางสายตาของพวกเขาได้สำเร็จ แต่ข้างกายพวกเขายังมีมนุษย์คนอื่นอยู่อีก ตัวแปรจึงเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นหลังจากพิจารณามาอย่างถี่ถ้วน ฉันจึงตัดสินใจใช้วิธีที่ง่ายที่สุด” หญิงสาวพูดต่อว่า “ซึ่งนั่นก็คือ…สร้างความสับสน เพื่อส่งผลกระทบไปถึงการตัดสินใจของพวกเขา”
“มีเพียงตอนที่พวกเขาเป็นฝ่ายเผยช่องโหว่ออกมาเอง ถึงจะถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา ไม่ว่าการซุ่มโจมตีใด ก็ไม่สู้รอให้เหยื่อเดินมาหาถึงที่ และการที่พวกเราใช้กลยุทธ์เฝ้าตอรอกระต่าย ก็จะทำให้พวกเราไม่ถูกจับได้ง่ายๆ เสียก่อน ฉันคิดว่า ฉันน่าจะอธิบายแผนการของฉันได้ชัดเจนมากพอแล้วนะ” หญิงสาวพูดจบก็มองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง
ชายหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถามขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันยังมีอีกหนึ่งคำถาม…เธอวางแผนอะไรไว้กันแน่?”
ทั้งสองสบตากัน หญิงสาวหันไปมองหน้าต่างที่อยู่ไม่ไกล พูดเสียงเบาว่า “ง่ายมาก…ฉันทิ้งคำถามไว้ให้พวกเขาหนึ่งข้อ…”
…เวลานี้ หลิงม่อมีแต่ความสงสัยอยู่ในใจเต็มไปหมด ความจริงไม่ใช่แค่เขา นอกจากเหล่าซอมบี้สาว มนุษย์ธรรมดาคนอื่นต่างก็กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดกันทั้งสิ้น
ทว่าระหว่างที่กำลังเดินเข้าใกล้โกดังอาหาร พวกเขาไม่ได้พูดคุยถกเถียงกันส่งเดช ใครจะไปรู้ว่าผู้รอดชีวิตที่หายตัวไปกลุ่มนั้นอยู่ที่ไหน? ซึ่งคำถามนี้ สร้างความกดดันที่มองไม่เห็นให้แก่พวกเขาอย่างมาก และยิ่งพวกเขาเข้าใกล้โกดังอาหาร ความกดดันนี้ก็ยิ่งสูงขึ้น
โกดังอาหารที่เดิมทีดูสะอาดสะอ้านแห่งนี้ เวลานี้กลับกำลังแผ่กลิ่นอายวังเวงน่ากลัวออกมา
“เอาล่ะ พวกเราแบ่งออกเป็นสองทีมดีกว่า ด้านนอกไม่มีอะไรให้สำรวจ ดังนั้นหากจะสำรวจ พวกเราก็ต้องเดินเข้าไปในอาคารพวกนั้น แต่ถ้าหากเข้าไปพร้อมกัน ไม่มีใครรับประกันได้ว่าข้างนอกจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ เราอาจถูกปิดทางหนีก็ได้ ดังนั้น…”
มู่เฉินโบกมือไปมา “นายจัดการมาเลย พวกเราเข้าใจทั้งนั้น”
“โอเค ฉันแนะนำว่าให้แบ่งทีมโดยให้มีความสามารถในการสำรวจและพลังต่อสู้เท่าเทียมกัน แต่ในอีกด้าน ทุกคนต้องเคลื่อนไหวได้พร้อมกัน ห้ามตัดสินใจอะไรโดยลำพังเด็ดขาด เรื่องนี้ก็สำคัญมากเหมือนกัน ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเราจะเจอมนุษย์หรือซอมบี้…ถ้าหากเป็นอย่างหลัง ก็จะต้องเป็นซอมบี้ที่แข็งแกร่งมากแน่นอน แต่ถ้าหากเป็นอย่างแรก…ก็มีความเป็นไปได้ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่อีกฝ่ายจะเป็นศัตรูของพวกเรา ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร ทุกคนต้องตื่นตัวไว้เสมอ” หลิงม่อบอก
ทั้งหมดสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็แบ่งทีมกันอย่างรู้หน้าที่
พวกซย่าน่าย่อมเป็นกำลังต่อสู้สำคัญของทีม แต่ด้านการให้ความร่วมมือ พวกเธอกลับเข้าขากันได้เฉพาะพวกเธอเองและหลิงม่อเท่านั้น ดังนั้นนอกจากเฮยซือและอวี๋ซือหรานที่ถูกแบ่งให้ไปอยู่ในทีมมนุษย์ ซอมบี้สาวที่เหลือล้วนอยู่ทีมเดียวกับหลิงม่อ ซึ่งนั่นรวมถึงสวี่ซูหานด้วย
ทว่าตอนที่แบ่งทีมอย่างนี้ อวี่เหวินซวนและมู่เฉินต่างก็ส่งสายตาแฝงความหมายไปให้สวี่ซูหาน กระทั่งยังเลื่อนสายตาไปมองหลิงม่อด้วย พอสวี่ซูหานเห็นสายตาแฝงความนัยที่โจ่งแจ้งอย่างนั้น ก็กลอกตาขาวมองบนและถลึงตาใส่พวกเขา แต่พอทำอย่างนั้นได้ไม่นาน เธอก็จำต้องฝืนเดินไปอยู่ข้างหลังหลิงม่อ ไม่อย่างนั้นจะยิ่งดูเหมือนร้อนตัวเข้าไปใหญ่
กู่ซวงซวงเองก็เข้าร่วมทีมของหลิงม่อด้วย และเจ้าลิงผอมที่มีพลังต่อสู้ต่ำ แต่กลับมีความสามารถในการได้ยินอันยอดเยี่ยม ก็เดินไปยืนข้างหลังทีมอวี่เหวินซวนเช่นกัน
“ฉันจะเป็นหัวหน้าทีมย่อย” อวี่เหวินซวนบอก
“ไสหัวไปเลย ฉันเป็นโค้ชนะเว้ย” มู่เฉินถลึงตาจ้องเขา
เย่ไคกอดอกแล้วพูดว่า “ความจริงที่ผ่านมาผมก็ถือว่ามีตำแหน่งเป็นรักษาการแทนหัวหน้าไม่ใช่หรอ…”
“เฮยซือจะเป็นหัวหน้าทีมย่อย” พอหลิงม่อเปิดปาก ทั้งสามก็พลันไหล่ตกไปตามๆ กันทันที
เฮยซือกลับดูเหมือนไม่แยแสนัก…เหตุผลที่หลิงม่อตัดสินใจอย่างนี้ ก็เพราะเขามีสายสัมพันธ์ทางจิตเชื่อมต่อกับเฮยซือ นอกจากนี้ถึงแม้ว่าภายนอกสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตัวนี้อาจดูเหมือนเด็กอายุสี่ห้าขวบ แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังต่อสู้หรือสติปัญญาล้วนยอดเยี่ยมมากพอที่จะนำทีมได้
“ส่วนทีมของเรา…” หลิงม่อหันไปมองพวกเธอที่อยู่ข้างหลัง ในใจพลันอดคิดไม่ได้ “ทีมนั้นสัตว์ประหลาดนำทีมมนุษย์ ส่วนทีมของเรากลับเป็นมนุษย์นำทีมสัตว์ประหลาด…ช่างเป็นการแบ่งทีมที่เหมาะสมเสียจริงๆ…”
“ถ้าอย่างนั้น…เป้าหมายแรกของพวกเราคือที่ไหน?” ซยาน่าละสายตาออกจากประตูใหญ่ แล้วหันมาถาม
และขณะเดียวกับที่ถาม เธอยังกวัดแกว่งเคียวดาบเล่มใหญ่ในมือซึ่งมีน้ำหนักไม่ธรรมดา เพื่อวาดภาพลงบนพื้น นอกจากหลิงม่อกับอวี่เหวินซวนที่มองเห็นด้วยตาตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่คนอื่นๆ ได้เห็นภาพรวมของโกดังอาหารแห่งนี้
“สี่เหลี่ยมพวกนี้คือโกดังอาหาร นอกจากสี่เหลี่ยมก็เป็นพื้นที่โล่ง ที่นี่กับที่นี่ คืออาคารเล็กๆ สองหลังนั้น” ซย่าน่าอธิบาย “ส่วนสภาพถนนด้านในยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้ จากมุมของฉัน มองเห็นรายละเอียดได้ไม่มากนัก”
อวี่เหวินซวนอดถามขึ้นไม่ได้ “ทำไมถึงวาดหัวกะโหลกสามมิติที่ดูเหมือนมีชีวิตแทนอาคารที่พักอย่างเดียวล่ะ?”
ซย่าน่าเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ตอบว่า “ที่นั่นเป็นที่พักของมนุษย์”
“มีเหตุผล…” อวี่เหวินซวนพยักหน้า ในขณะที่คนอื่นๆ กลับรู้สึกขนลุกเบาๆ
วาดแผนที่ง่ายๆ แค่นี้ จำเป็นต้องเจาะจงตรงไปตรงมาขนาดนี้ด้วยหรอ…
“เอาล่ะ กลับมาที่เรื่องสำคัญเถอะ” หลิงม่อชี้ไปที่อาคารสองหลังนั้น แล้วบอกว่า “ดูจากตำแหน่ง พวกมันอยู่ใกล้ประตูมากที่สุด อีกอย่างถ้ามีซอมบี้หรือผู้รอดชีวิตอยู่ เป็นไปได้สูงที่พวกเขาอาจซ่อนตัวอยู่ในอาคารสองหลังนี้ ดังนั้นสถานที่แรกที่พวกเราต้องค้นหา ย่อมต้องเป็นสองที่นี้”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย…ในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ถือได้ว่าคำพูดของหลิงม่อถือเป็นคำขาดของคนในทีม ไม่ได้หมายความว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ แต่คนที่สามารถใจเย็นได้ตลอด และพูดภาษาคนรู้เรื่อง ก็มีเพียงขาคนเดียวเท่านั้น…
“ทุกคนไม่มีความเห็นอื่นใช่ไหม? ดีมาก ถ้าอย่างนั้น ฉันจะนำทีมไปสำรวจที่นี่เอง” หลิงม่อชี้ไปยังหนึ่งในอาคารสองหลังนั้น “กะโหลกเล็กๆ อันนั้นมอบหมายให้ทีมเฮยซือจัดการแล้วกัน”
“เข้าใจแล้ว!”
“ไม่มีปัญหา!”
“เดี๋ยวก่อน…ทำไมถึงชื่อทีมเฮยซือ*ล่ะ? ฉันจะไม่สงสัยว่าทำไมเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถึงได้ชื่อเฮยซือ…แต่ทำไมพวกฉันถึงถูกเรียกเหมารวมว่าเฮยซือล่ะ! เปลี่ยนชื่อไม่ได้หรอ อย่างเช่นทีมคุณลุงโรคจิตอะไรแบบนี้…” มู่เฉินพลันฉุกคิด และรีบคัดค้านทันที (เฮยซือ แปลว่า ถุงน่องสีดำ)
ทว่าคนในทีมกลับไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูด และทยอยยื่นมือออกมาประสานกันด้านหน้า หลิงม่อยิ่งพูดเสียงเคร่งเครียดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น…ก็เริ่มภารกิจได้!”