“ชื่ออะไร?” ลมฝุ่นเอาเข็มทิศออกมา มันดูคล้ายกับไม้เท้ากายสิทธิ์

 

“ฉัน ฉันชื่อกูยี่หมิง” ชายที่อ่อนแรงอยู่ในมุมตอบพลางมองไปที่เข็มทิศในมือของลมฝุ่น เข็มทิศหน้าตาประหลาดๆนั่น มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามันถูกเก็บมาจากซากขยะกองไหน

 

“กูยี่หมิง ชื่อเพราะดี สะกดยังไง?” ลมฝุ่นย่นคิ้วพลางมองไปที่เข็มทิศตรงหน้า หลังจากมีประกายแวบผ่านนัยน์ตาของลมฝุ่นไป เขาก็เอ่ยปากขึ้น “นายมีน้องชาย ใช่มั้ย?”

 

“เฮือก!”

 

มีเหงื่อไหลซึมที่แผ่นหลังของกูยี่หมิง ท่าทางวิตกกังวลขณะมองไปที่ลมฝุ่น “นาย ได้ยังไง? รู้ได้ยังไง?”

 

ลมฝุ่นจับหัวตัวเองและมองไปที่กูยี่หมิงอย่างไม่รู้จะตอบยังไง “ฉันไม่รู้ ฉันคิดว่าฉันควรถามคำถามต่อไป”

 

สมาชิกคนอื่นๆของทีมความลับของพระเจ้าที่ยืนหลบอยู่ข้างๆต่างตะลึงกันหมด ทุกคนมองมาที่ลมฝุ่นด้วยความตกใจ หลูปิงเซ่อเองก็ทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่งเช่นกัน เมื่อนึกถึงความสามารถของเขากับความสามารถของลมฝุ่นที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

 

“ก็ นายมีน้องชายคนหนึ่ง” ลมฝุ่นยังคงพูดต่อขณะมองเข็มทิศ จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้าไปใกล้กูยี่หมิงอีกสองก้าว หากจู่ๆเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้และตั้งคำถามออกไป “น้องชายของนายชื่ออะไรน่ะ?”

 

“กูเหลียงเฉิน” กูยี่หมิงไม่คิดจะปิดบังข้อมูล ทุกอย่างในวันนี้มันเหนือเกินความเข้าใจของเขาไปแล้ว

 

“โอ้ กูเหลียงเฉิน” ลมฝุ่นเริ่มก้าวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้นอีก “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน?”

 

“ฉันไม่รู้ เราขาดการติดต่อกันตั้งแต่เกิดการปะทุ” กูยี่หมิงตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นอย่างยอมแพ้กับคำตอบ

 

ลมฝุ่นส่ายหัวเมื่อได้ยินคำตอบและหลูปิงเซ่อที่คอยดูสถานการณ์อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้น “มันไม่มีเบาะแสอะไรเลย”

 

หลูปิงเซ่อสะบัดมือและคำราม “ไม่มีอะไร ถามต่ออีก!”

 

“สุดยอด” นอกเหนือจากเจิ้งเทียนอี้แล้ว ลมฝุ่นคือไพ่ตายของทีมความลับของพระเจ้า

 

ลมฝุ่นจับหูตัวเองและเกา เขาเหวี่ยงเข็มทิศในมือใส่กูยี่หมิงพร้อมพูดเสียงข่มขู่ “เฮ้! นายรู้จักชูฮันมั้ย?”

 

กลุ่มคนที่อยู่ถัดไปต่างถอนหายใจออกมาพร้อมๆกัน พฤติกรรมต่อต้านสังคมของลมฝุ่นนั่นเกินทน อีกทั้งวิธีการทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหันของเขาก็เกินจะเหลือรับ

 

อย่างไรก็ตาม กูยี่หมิงที่หวาดกลัวลมฝุ่นนั่นกลัวมากจนทำอะไรไม่ถูก “ฉันรู้ ฉันรู้ อย่าทำร้ายฉันเลยนะ”

 

พรึบ!

 

หลูปิงเซ่อและคนอื่นๆผุดลุกขึ้นยืนทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความจริงจัง มันมีความก้าวหน้าจริงๆใช่มั้ย?

 

ลมฝุ่นไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะได้เบาะแสจากคำถามสุ่มๆของเขา ดังนั้นเขาจึงถามต่อไป “นายรู้จักชูฮันได้ยังไง? ความสัมพันธ์ของนายกับเขาคืออะไร?”

 

“ฉันรู้จักเขาแต่เขาไม่รู้จักฉัน” กูยี่หมิงตอบอย่างเศร้าโศก “ชูฮันเป็นอันดับหนึ่งในรายชื่อของวิวัฒนาการระยะ 3  และได้คะแนนประเมิณ S+ อีก ใครจะไม่รู้จักเขา?”

 

“ไร้ประโยชน์” ลมฝุ่นปล่อยมือที่จับคอเสื้อของกูยี่หมิงออก ขณะคิดในใจ นั่นสิ ตอนนี้ใครจะไม่รู้จักชื่อชูฮันกันบ้างล่ะ?

 

“เดี๋ยวก่อน” หลูปิงเซ่อที่อยู่ด้านข้างมีประกายวาบขึ้นในแววตา เขาจ้องไปที่กูยี่หมิงพลางเอ่ยถาม “นายพูดถึงรายชื่อการประเมิณ? มันมีเสาหินตั้งอยู่ใกล้ๆเมืองอันลูใช่มั้ย?”

 

เหล่าสมาชิกของทีมความลับของพระเจ้าต่างนิ่งค้าง ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า…ตลอดทางพวกเขายังไม่เจอกับเสาหินประเมิณเลย แต่คนตรงหน้าเขาพึ่งพูดถึงรายชื่อประเมิณที่พวกเขายังไม่ได้พูดถึงเลย

 

“ใช่” อย่างไม่คาดคิดกูยี่หมิงไม่คิดจะปิดบังข้อมูบ เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไปทางฝั่งตรงกันข้าม ไม่ไกลจากทางตะวันตกของตัวเมือง มันมีค่ายเล็กๆตั้งอยู่ที่นั่น”

 

ทุกคนรวมตัวเข้าด้วยกัน หากแววตาแต่ละคนกลับแสดงออกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถระบุได้

 

“แม่ง!” อู๋เจียช่าวกระแทกลงกับโต๊ะ “ไปตามทางที่มันบอกกัน มันต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ”

 

“ไป นำทางไปเลย!” หนึ่งในสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของทีมความลับของพระเจ้าดึงตัวกูยี่หมิงขึ้นมา จากนั้นทุกคนออกตัวเดินผ่านประตูบ้านออกไป

 

มันมีค่ายตั้งอยู่ตรงนั้นและหยางเทียนจะต้องอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน!

 

กูยี่หมิงสะบัดไหล่อย่างเคืองๆ อาการบาดเจ็บบนร่างกายเขานั่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาพยายามอดทนต่ออาการมึนงงขณะกวาดตามองภาพรอบๆตัว คนกลุ่มนี้ต้องเป็นกลุ่มพิเศษแน่ๆ วิวัฒนาการทั่วไปไม่น่าจะสามารถขยับเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแบบนี้! หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน

 

ทุกคนในทีมของความลับของพระเจ้าได้เดินทางมาถึงทางเข้าของอาคารก่อสร้างจุดหนึ่ง

 

หลูปิงเซ่อและทุกคนทั้งตกใจและตะลึงกับภาพที่ได้เห็น ไม่ต้องพูดถึงความคิดว่ามันจะมีค่ายแบบนี้อยู่ในที่แบบนี้เลย แม้แต่ประตูทางเข้ายังอลังการขนาดนี้ การก่อสร้างค่อนข้างขัดแย้งกับหลักวิทยาศาสตร์ที่พวกเขารับรู้ในยุคศิวิไลซ์

 

“ใครกัน” บนหอสังเกตการณ์ปรากฏร่างของเจ้าหน้าที่ขึ้น เขาเอ่ยปากถามหลูปิงเซ่อและสมาชิกที่ยืนอยู่ด้านล่างตรงทางเข้า

 

“พวกเราผ่านมา เราคือผู้รอดชีวิต” หลูปิงเซ่อแสร้งเป็นคนทั่วไปที่ต้องการความช่วยเหลือ

 

เหล่าสมาชิกในทีมของหลูปิงเซ่อต่างก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที พวกเขาแสร้งทำเป็นหวาดกลัว มันคือความสามารถโดดเด่นขอวพวกเขา ในกรณีที่ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์และข้อมูลของอีกฝ่าย การปกปิดความสามารถของตัวเองนั้นเป็นนโยบายที่ดีที่สุด

 

เจ้าหน้าที่บนหอสังเกตการณ์ดูเหมือนกำลังปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงานของตัวเองอยู่ หลังจากพักหนึ่งประตูทางเข้าก็ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆเผยให้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนถือสมุดจดยืนอยู่ตรงทางเข้าพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้หลูปิงเซ่อและทุกคน

 

“ยินดีต้อนรับ กรุณาลงชื่อทีละคน”

 

หลูปิงเซ่อและคนอื่นๆยังคงตะลึงค้างตกใจไม่เลิก แต่พวกเขาก็เชื่อฟัง พวกเขาจัดระเบียบเรียงแถว แต่ในขณะที่คนคนแรกของทีมกำลังจะลงชื่อตัวเองลงในสมุดนั้น จู่ๆมันก็มีเสียงสนทนาหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหน้า

 

“นี่เป็นสถานการณ์ปกติของค่ายเรา ยินดีต้อนรับสู่ค่ายเขี้ยวหมาป่า” ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งแต่งตัวคล้ายๆกับผู้หญิงคนแรก เดินเข้ามาพลางพูดไปด้วย ด้านหลังของเธอมีคนตามมาอีกมากกว่าสิบคน

 

เมื่อได้เห็นภาพคนมากกว่าสิบคนปรากฏตัวขึ้น ทีมความลับของพระเจ้าก็มีการตื่นตัว ผู้หญิงที่เดินมากับทีมกุ้งเสือดำเดินตรงเข้ามาที่ทีมความลับของพระเจ้าพร้อมกับเสี่ยวเคินและสมาชิกของทีมกุ้งเสือดำที่ซึ่งมาถึงก่อหน้าทีมความลับของพระเจ้าได้ไม่นาน “ผู้จัดการสูงสุดของค่ายเราคือ ซางจิ่วตี้ และสำหรับหยางเทียนที่พวกนายกำลังตามหาตัวอยู่ เขาเองก็เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงของค่ายนี้ ในเมื่อแนะนำกันอย่างคร่าวๆไปแล้ว ฉันจะพาพวกนายไปดู—-“

 

ผู้หญิงคนที่เป็นคนแนะนำข้อมูลให้กับทีมกุ้งเสือดำไม่ได้พูดอะไร หากเธอสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นเธอก็หมุนตัวเดินหนีไป

 

ทันใดนั้นมันก็เสียงอุทานดังขึ้น “อ่า! พวกคุณยังเข้าไปไม่ได้ พวกคุณยังไม่ได้ลงบันทึก!”

 

สมาชิกบางคนของทีมกุ้งเสือดำรีบเข้ามาห้ามทีมความลับของพระเจ้า กัปตันหลูปิงเซ่อยืนทำหน้าตาบูดบึ้งไม่พอใจใส่เสี่ยวเคิน

 

“อย่ามายุ่ง!”

 

สมาชิกที่เหลือในทีมกุ้งเสือดำรีบเข้ามาสมทบ มันอาจะเกิดการต่อสู้ใหญ่ขึ้นได้