บนภูเขาหิมะ บางคนที่กระจัดกระจายไปถูกฝังลึกอยู่ในหิมะ บางคนก็ตัวแข็งค้างอยู่ในอาการโคม่า และบางคนที่แข็งแรงก็สามารถเดินกลับมาตามเก็บอาหารที่หล่นกระจายและเจอพรรคพวกได้

 

ส่วนหลูเหวินเชิงนั่นน่าจะเป็นในหนึ่งคนที่น่าสงสารมากที่สุด เมื่อตอนที่หิมะถล่มหลูเหวินเชิงกลิ้งหลุนๆเป็นลูกบอลหิมะ และหลังจากพายุหิมะถล่มจบลง ผลลัพธ์ก็คือหลูเหวินเชิงถูกฝังอยู่ในหิมะลึก 10 เมตร ถึงแม้เขาจะเป็นพรสวรรค์ระยะ 4 และการรับมือกับซอมบี้ระยะ 4 ได้นั่นก็ถือว่าเก่งกล้าแล้วทว่าพละกำลังทางกายภาพของเขานั่นยังไม่แข็งแรงพอ ร่างกายของเขาปรับเปลี่ยนตามระยะพรสวรรค์ไม่ทัน จึงลงท้ายด้วยการถูกฝังอยู่ในชั้นหิมะลึก 10 เมตรเป็นเวลาสองวันเต็มๆ หลูเหวินเชิงยิ้มออกมาอย่างปลงๆจากนั้นก็ปิดตาลง นี้คือพลังเฮือกสุดท้ายของเขาแล้ว เขาเกรงว่าในอนาคตเขาคงจะถูกทิ้งให้อยู่ที่นี้ไปตลอด

 

การปะทุของโลกาวินาศ ความหวั่นวิตก ความสิ้นหวัง ทุกคนเข้าร่วมกับกองทัพเพื่อหวังที่จะแข็งแกร่งขึ้น ภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ไหลย้อนวนเข้ามาในหัวของหลูเหวินเชิง มันมีทั้งความขื่นขมและความพอใจผสมกันอยู่ การเป็นพรสวรรค์ระยะ 4 นั่นเพียงพอแล้วสำหรับความภาคภูมิต่อหน้าคนหลายพันคน แต่วันนี้เป็นเพราะเหตุการณ์หิมะถล่มนี้ ทำให้เขาถูกฝังลึกและทิ้งให้ตายอยู่ที่นี้

 

“เฮือก” และในขณะที่สติของหลูเหวินเชิงกำลังจะหายไป เปลือกตาที่หนักอึ้งและฝืนไม่ไหวจนเริ่มปิดลง และทันใดนั้นเองจู่ๆหลูเหวินเชิงก็สัมผัสได้ถึงแสงสีขาวและบางอย่างที่เจาะเข้ามา

 

หลูเหวินเชิงพยายามฝืนอาการตัวเองและลืมตาขึ้น หลังจากสายตาปรับเข้ากับแสงได้แล้วหันไปเจอกับภาพที่มือที่กำมีดไว้แน่นพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของชายคนหนึ่ง

 

“นาย…กูเหลียงเชิน?”

 

———

 

ในขณะเดียวกัน ที่ลาดชันสูงบนภูเขา เฉินเสี้ยนกาวเดินนำทีม ตามมาด้วยคนหลายสิบคนที่พบเจอระหว่างทาง หลี่ชวน เย๋เฉินและเยวจึก็อยู่ท่ามกลางในทีมนี้เช่นกัน แต่ละคนผิวขาวซีดเนื้อตัวแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งจากความหนาว

 

“มาร่วมมือกันเถอะ มาช่วยกันหาที่ข้างหน้าเพื่อพัก” เฉินเสี้ยนกาวพยายามกระตุ้นทุกคนเพื่อสร้างกำลังใจขณะเดินไปด้วย

 

ด้านหลังสุดของทีมถูกปิดท้ายด้วยคนสองคนที่เอาแต่มองหน้ากันและกันไปมา ทั้งคู่ค่อยๆผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อทิ้งห่างจากขบวนทีมที่เดินอยู่ข้างหน้าพลางแอบกระซิบคุยกัน

 

“นายจะเริ่มเมื่อไหร่”

 

“มีแต่ขยะเต็มไปหมด พวกวิวัฒนาการก็มีอยู่ไม่เยอะเท่าไหร่แต่พวกมันแข็งแกร่งเกินไปที่เราจะรับมือได้ รอจนพวกมันเหนื่อยและหมดแรงก่อนค่อยฆ่าพวกมันทิ้ง”

 

“ไม่ให้เหลือทิ้งสักคน?”

 

“ไม่ให้เหลือรอดสักคน! อย่าลืมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และมันจะเป็นอันตรายใหญ่หลวงในอนาคตถ้าปล่อยให้คนพวกนี้มีชีวิตรอด”

 

“ดี งั้นฆ่าไม่ให้เหลือสักคน”

 

“หลี่ซิงยู ฮัวหมิง ตามให้ทัน!” หลี่ชวนที่อยู่ด้านหน้าหันกลับมาและพูดกระตุ้น “อย่าทิ้งห่างจากทีม มันใกล้จะมืดแล้ว!” “กำลังตามไปครับ!”

 

———-

 

“พรึบ!”

อีกที่หนึ่ง หิมะหนาแต่ละจุดถูกตัดเปิดและหลิวยู่ติงก็คอยดึงคนที่ถูกหิมะฝังอยู่ออกมา ปาดเหงื่อบนหน้าตัวเองออกจากนั้นก็หันไปพูดกับติงเซวที่อยู่ข้างๆ “เอาน้ำร้อนให้เขา”

 

“พลตรีครับ มีตรงนี้อีกคนหนึ่ง!” ทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาห่างออกไป

 

หลิวยู่ติงวุ่นวายอยู่กับการช่วยเหลือคน แต่ละคนถูกฝังไว้ลึกมาก

 

หลิวยู่ติงเป็นคนนำทำการช่วยเหลือ และคนอื่นๆก็ค่อยๆทำตามจนสามารถช่วยคนขึ้นมาจากกองหิมะได้เยอะขึ้นเรื่อยๆ โชคยังดีที่ถึงแม้ว่าทุกคนจะกระจัดกระจายกันไปคนละทางทว่าก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันไปไกล ตอนนี้พวกเขารวมตัวคนได้มากกว่า 50 แล้ว แต่ยังเหลือเพียงแค่เฉินเสี้ยนกาวที่พวกเขายังหาตัวไม่เจอ

 

ส่วนชูฮันและเฉินช่าวเย่นั้นหลิวยู่ติงนั้นเห็นชัดเจนเลยว่าทั้งคู่รีบหนีไปอีกทางหนึ่งก่อนที่ทุกคนจะถูกคลื่นหิมะซัดหายไป ซึ่งทางที่ทั้งคู่ไปนั้นเป็นทางตรงกันข้ามของพวกเขาโดยสิ้นเชิง มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอกับสองคนนั้น ถึงแม้จะมีความกังวลอยู่บ้างแต่หลิวยู่ติงก็พยายามสร้างกำลังใจให้ตัวเองและนำพาทุกคนปีนข้ามภูเขาไป เขาได้ยินคำสั่งของชูฮันอย่างชัดเจนก่อนจะแยกจากกันและด้วยความสามารถของชูฮันเขามั่นใจชูฮันจะรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเจอกันบนยอดเขา!

 

ขณะที่ความมืดเริ่มคลืบคลานเข้ามา ผู้คนเริ่มมีอาการส่ันจากความหนาว หิมะถล่มไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเขาพลัดหลงและแตกออกเป็นกลุ่มเท่านั้นแต่ยังทำให้พวกเขาสูญเสียเสบียงส่วนใหญ่ไปด้วย ถึงแม้พวกเขาจะพบเจอเสบียงที่หายไประหว่างทางทว่ามันก็ยังไม่เพียงพอและยากลำบากเหลือเกิน

 

มื้อค่ำของพวกเขาเป็นเพียงแค่เนื้ออบแห้ง

 

ในเวลากลางคืนมันไม่มีเต้นท์สำหรับนอนพัก ทุกคนต่างนอนขดตัวกลมกันอยู่หน้ากองไฟด้วยความหนาว คนห้าสิบคนต่างเบียดอัดกันแน่นเพื่อสร้างความอบอุ่นหากมันก็ยังไม่เพียงพอ

 

และในขณะที่ทุกคนต่างหมดแรงและเริ่มหายใจแผ่วด้วยความทรมาน จู่ๆมันก็มีเสียงดังลั่นขึ้นมาตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่เหยียบลงบนหิมะไม่ห่างออกไปเท่าไหร่จากจุดที่พวกเขาตั้งกองไฟ

 

“ใคร?” หลิวยู่ติงเป็นคนแรกที่ได้ยินเสียง เขารีบแตะอาวุธของตัวเองและเพิ่มความระวังขึ้นทันที

 

ผู้คนเริ่มค่อยๆตื่นตัวขึ้นตามกันมาอย่างกระวนกระวายขณะหันไปเพ่งมองความมืดข้างหลัง นอกเหนือจากความลำบากที่ต้องนอนท่ามกลางหิมะแล้วมันยังมีสิ่งมีชีวิตอันตรายมากมายอาศัยอยู่บนภูเขา อย่างเมื่อวานนี้พวกเขาก็เจอกับหมาป่าคลั่งที่มีรูปร่างคล้ายกับหมาป่าในยุคศิวิไลซ์ทว่าตัวใหญ่กว่าจนแทบจะเหมือนกับสิงโต มีฟันเยอะกว่าแถมยังแหลมคมจนสามารถกัดทะลุเหล็กได้ พวกเขาใช้เวลานานมากกว่าจัดการกับมันได้และมีหลายคนได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นั้น

 

เสียงนั้นค่อยๆคลืบคลานเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ และมันเริ่มชัดเจนว่าเสียงนั้นมาจากคน ทุกคนรู้สึกโล่งอก แสงจากกองไฟทำให้พวกเขาเห็นหน้าคนที่กำลังเข้ามาใกล้ชัดเจน

 

“กูเหลียงเฉิน?!” หลิวยู่ติงโพล่งขึ้นมาพร้อมกับร่องรอยของความไม่ไว้ใจในน้ำเสียงของเขา เขาจำได้แม่นถึงชื่อสามชื่อที่ชูฮันพูดถึงไว้ก่อนหน้านี้

 

ต่อมาหลิวยู่ติงก็ต้องกระพริบตาอีกครั้งเมื่อเขาเห็นกูเหลียงเฉินลากคนมาด้วยในมือของเขา กูเหลียงเฉินจับที่ข้อเท้าของชายคนหนึ่งและลากมาตามพื้นหิมะราวกับถุงกระสอบทราย

 

“หลูเหวินเชิง?”

 

กลุ่มคนรีบวิ่งถลาเข้าไปเพื่อช่วยหลูเหวินเชิงที่นอนไม่ได้สติอยู่ที่พื้น

 

กูเหลียงเฉินเองก็ปล่อยมือทันทีเช่นกัน พร้อมกับนั่งลงพักผิงกับหินก้อนใหญ่ใกล้ๆและปิดตาลงด้วยความเหนื่อยล้า

 

หลิวยู่ติงมองตามกูเหลียงเฉินอย่างสงสัย จากนั้นก็หยิบน้ำและอาหารส่งให้ “กินก่อนสิ”

 

กูเหลียงเฉินเปิดเปลือกตาจากนั้นก็ปิดลงอีกครั้ง เขาไม่ได้รับของจากหลิวยู่ติง

 

มือของหลิวยู่ติงค้างเติ่งอยู่ในอากาศเป็นเวลาพักใหญ่ ความสงสัยในอกของเขายิ่งขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ไอ้คนนี้มันอะไรกัน?

 

“เขาตัวแข็งเป็นน้ำแข็ง” เสียงของติงเซวดังขึ้นจากด้านหน้า หลูเหวินเชิงในตอนนี้ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมผืนหนา ต่อมาติงเซวก็ตะโกนขึ้นมาต่อ “ฉันจะต้มน้ำร้อนมาให้เขา พอเขาตื่นมาเราค่อยป้อนอาหารให้เขา ตอนนี้เขายังไม่มีแรงพอ เราต้องค่อยๆ”

 

“เข้าใจครับ”

 

ทุกคนปฏิบัติตามอย่างลำบาก เพราะตอนนี้ทุกคนเองก็ต่างลำบากอยู่พอตัวอยู่แล้ว หลังจากรอให้หลูเหวินเชิงรู้สึกตัว ทุกคนก็เริ่มกลับมาพักผ่อนต่อ พวกเขาเองก็ต้องรักษาพลังงานของตัวเองไว้เพื่อพยุงชีพเช่นกัน

 

“ท่านพลตรี” ซูเซียงหลงซูดน้ำมูกในจมูก จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นผสมกับขึ้นจมูก “ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ?”

 

หลิวยู่ติงที่หลับตาแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนแรง “พูดมาสิ”

 

“วัตถุดิบอาหารที่เรามีในตอนแรกนั้นมันมากกว่าสำหรับสัดส่วนของคนสามร้อยคนสำหรับหนึ่งอาทิตย์ใช่มั้ยครับ?” ซูเซียงหลงรู้สึกว่ามันมีเรื่องคาใจบางอย่างที่เขาต้องการคำตอบ

 

สายตาหลายคู่ของหลายคนจับจ้องมาที่ทั้งคู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาให้ความสนใจกับหัวข้อสนทนานี้เหมือนกัน ทุกคนไม่ได้โง่ ทรัพยากรในการเดินทางปกติแล้วไม่ได้มีมาก ทางค่ายซางจิงต้องการกระตุ้นให้พวกเขาพึ่งพาตัวเอง ถึงอย่างไรแล้วทั้งจีนนั้นมีซุปเปอร์มาร์เก็ตมากมายก็แค่เดินเข้าไปหาอาหารสักที่ก็ได้

 

หูของกูเหลียงเฉินกระดิก หากตาไม่ได้กระพริบ เขายังคงแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย

 

หลิวยู่ตองถอนหายใจ “มันเป็นชัยชนะของพลเอกชูฮัน วัตถุดิบที่เราสามารถเอามาได้นั่นจริงๆมีแค่เพียงรถห้าคัน อาหารสำหรับคนหนึ่งร้อยคนสำหรับเวลาเจ็ดวันและเต้นท์นอนอีกห้าสิบเต้นท์”

 

“น้อยเหลือเกิน?” ซูเซียงหลงที่เกิดและโตมาในกองทัพส่งเสียงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ถึงแม้จะไม่นับพวกของเฉินเสี้ยนกาวเข้ามา แต่แค่จำนวนแรกเริ่มของหน่วยทหารของพวกเราก็สองร้อยแล้ว นอกเหนือจากพาหนะและเต้นท์นอน สัดส่วนอาหารมันควรจะเป็นสำหรับคนสองร้อยคนสำหรับเจ็ดวันไม่ใช่เหรอครับ?”