คิดไม่ถึงว่าในขณะที่กำลังจะไปถึงปากถ้ำของนางปีศาจกับเซียวเถี่ยเฟิง พวกนางก็ได้ยินเสียงพึมพำของนางปีศาจดังขึ้นเสียก่อน
ทั้งสองรีบเงี่ยหูฟังว่านางปีศาจกำลังพูดอะไร
นางปีศาจกำลังพึมพำอยู่คนเดียวด้วยเสียงที่ได้ยินไม่ชัดนัก
“@$% นี่เพิ่งจะผ่านมานานแค่ไหนก็ก่อเรื่องมากมายขนาดนี้ ดีแต่หาเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮัสกี้$%@& $%&ยังจะมีหน้าอยู่ที่นี่อีกงั้นรึ?”
“$%@ หมายตาเอาไว้นานแล้ว $%& ฉันเองก็เคยเข้าไปดู @$%$ คิดแบบนั้นเหมือนกัน แย่งของคนอื่น $@%!”
ทั้งสองเบิกตากว้าง เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ต่างฝ่ายต่างเห็นแววตื่นตะลึงในดวงตาของอีกฝ่าย สุดท้ายทั้งสองก็รีบถอยกลับไปที่หลังเนินเขา
“เมื่อ…เมื่อครู่นางพูดอะไร?”
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่านางเอาคำพูดที่เราเตรียมเอาไว้มาพูดก่อนนะ?”
“ใช่ๆๆ ข้าเองก็รู้สึกเหมือนกัน หรือนางจะทำนายทายทักได้จริงๆ ก็เลยได้ยินที่เราปรึกษากัน? ดูเหมือนนางจะพูดว่าก่อเรื่อง แล้วก็พูดว่าลองอะไรสักอย่าง!”
“นี่…”
ชุนเถาตกใจจนหน้าซีด มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น “ถ้าอย่างนั้น… ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไปเถิด เรากลับไปก่อนดีไหม?”
ถึงพี่เถี่ยเฟิงจะเป็นผู้ชายที่ดี แต่จนใจที่นางปีศาจน่ากลัวมากเกินไป
จ้าวยาจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอนึกถึงผ้าที่แม่ของชุนเถารับปากว่าจะมอบให้ นางก็กัดฟันพูดว่า “ไม่ได้ จะกลับไปมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้! บางทีเมื่อครู่อาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ คราวนี้พอไปถึงเราก็ด่านาง ถามนางว่ารู้ไหมว่าเซียวเถี่ยเฟิงถูกขับออกจากหมู่บ้านก็เพราะนาง!”
“แต่ข้ากลัว…”
ขาของชุนเถาสั่นระริก
จ้าวยาจื่อกุมมือชุนเถาเอาไว้ “ไม่กล้าเสียรองเท้าแล้วจะจับหมาป่าได้หรือ เราต้องเสี่ยงดูสักตั้ง ทำให้นางอับอายจนไม่มีหน้าอยู่ต่อไปอีก!”
ชุนเถาจนปัญญา สุดท้ายก็จำต้องติดตามจ้าวยาจื่อปีนขึ้นไปบนภูเขาแล้วเดินผ่านป่าไปอีกรอบ ในที่สุดก็ไปยืนอยู่ตรงหน้านางปีศาจด้วยอาการตัวสั่นงันงก
นางปีศาจเหลือบมาเห็นนางก็นิ่งอึ้งไปแวบหนึ่ง ชุนเถาเห็นเช่นนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่านางปีศาจใช่ว่าจะไม่กลัวเกรงอะไรเอาเสียเลย พอนึกถึงเซียวเถี่ยเฟิง นางก็รวบรวมความกล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตพูดกับนางปีศาจว่า
“หากไม่ใช่เจ้า เขาคงไม่ถูกขับออกจากหมู่บ้าน!”
“หากไม่ใช่เจ้า เขาคงไม่ถูกขับออกจากหมู่บ้าน!”
ชุนเถาคิดไม่ถึงเลยว่านางปีศาจจะกล่าวคำพูดเดียวกับนางไม่ผิดเพี้ยน
นางเบิกตามองนางปีศาจด้วยสายตาตะลึงพรึงเพริด เห็นแววตาที่เหมือนจะมองทะลุหัวใจผู้คนได้ เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับปีศาจบนภูเขาที่เคยได้ยินมาสมัยยังเด็กก็ผุดขึ้นในสมอง พริบตานั้น นางตกใจจนใบหน้าซีดขาว ปัสสาวะแทบราด ขาทั้งสองตะเกียกตะกายวิ่งหนีไป “อ๊าย…”
จ้าวยาจื่อเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายก็ได้แต่วิ่งตามชุนเถาไป
ฝ่ายกู้จิ้งน่ะหรือ เธอกำลังงง ตอนแรกเธอกำลังกังวลว่าหากท่านบรรพบุรุษกลับมาเมื่อไหร่จะเอาเรื่องเธอที่ทำร้ายฮัสกี้ เพราะเธอเคยแทงมันมาแล้วครั้งหนึ่ง นี่ยังฟันอีกเป็นครั้งที่สอง เรียกได้ว่าก่อเรื่องไม่หยุดไม่หย่อนจริงๆ
เธอกำลังคิดว่า ถึงตอนนั้นท่านบรรพบุรุษจะตำหนิเธออย่างไร เธอควรแก้ตัวอย่างไร
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะคิดจบ สาวน้อยใบหน้ารูปผลท้อก็โผล่มา เธอย่อมอดเอ่ยถามไม่ได้
สาวน้อยใบหน้ารูปผลท้อนี่ไม่ใช่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ท่านบรรพบุรุษของเธอถูกขับออกจากหมู่บ้านหรอกหรือ? แถมนางยังเป็นหนึ่งในสองคนที่มีสิทธิ์เป็นบรรพบุรุษฝ่ายหญิงของเธออีกด้วย!
แต่พอเธอเอ่ยถาม สาวน้อยใบหน้ารูปผลท้อก็ลนลานเผ่นหนีไป ทำให้เธอถึงกับนิ่งอึ้ง
หลังจากหายอึ้ง กู้จิ้งก็ขยี้เท้าด้วยความร้อนใจ “แย่แล้ว! ฉันไม่ควรล่วงเกินหล่อน! ไม่แน่ว่าต่อไปหล่อนอาจจะได้อยู่กับท่านบรรพบุรุษของฉัน ถ้าหล่อนรู้ความเป็นมาของฉันแล้วทิ้งคำสั่งเสียอะไรไว้แกล้งฉันทีหลัง ฉันมิต้องซวยๆๆ หรอกหรือ?”
พอคิดเช่นนี้ เธอก็อดกังวลใจไม่ได้ ใจคิดว่าควรจะตามไปขอโทษบรรพบุรุษฝ่ายหญิงห้าสิบเปอร์เซ็นต์คนนี้ดีหรือไม่
กำลังสับสนอยู่ จู่ๆ บรรพบุรุษฝ่ายหญิงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็วิ่งกลับมาอีก
เธอดีใจมาก ดังนั้นจึงรีบเดินไปหาแล้วกล่าวด้วยความจริงใจว่า “เมื่อครู่ฉันไม่ควรพูดแบบนั้นเลย ฉันพูดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ หวังว่าแม่นางอย่าได้ถือสา”
ใครจะรู้ว่าในตอนนั้นเองบรรพบุรุษฝ่ายหญิงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ซึ่งมีใบหน้ารูปผลท้อจะทรุดกายลงคุกเข่าแล้วพึมพำขึ้นพร้อมกับเธอว่า “เมื่อครู่ข้าไม่ควรพูดแบบนั้นเลย ข้าพูดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ หวังว่าต้าเซียนอย่าได้ถือสา”
ได้ยินคำพูดของฝ่ายตรงข้าม เธอก็ถึงกับตะลึงงัน
คิดไม่ถึงว่าบรรพบุรุษฝ่ายหญิงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ตรงหน้าจะตกใจยิ่งกว่าเธอเสียอีก ใบหน้าของนางซีดขาว ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก เท้าก้าวถอยหลังเหมือนกำลังเห็นผี
“เฮ้! แม่นางอย่าหนีสิ เราต้องพูดกันให้รู้เรื่องก่อน ฉันไม่ได้มีความหมายอื่นจริงๆ ฉันไม่ใช่ปีศาจ ยิ่งไม่ใช่ต้าเซียนอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะคนอื่นเข้าใจผิดกันไปเอง เธอหมายความว่ายังไง เรามานั่งลงพูดเปิดอกกันให้รู้เรื่องดีไหม?”
เธออยากจะนั่งลงพูดกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่องจริงๆ
“ต้าเซียนไว้ชีวิตด้วย ข้าผิดไปแล้ว ต้าเซียนไว้ชีวิตด้วย!” บรรพบุรุษฝ่ายหญิงห้าสิบเปอร์เซ็นต์กรีดร้องโหยหวนก่อนจะเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับมีหมาป่าวิ่งไล่ตามหลัง
“ฉันไม่ใช่ปีศาจจริงๆ ฉันเป็นคน พวกเขาเข้าใจผิดกันไปเอง!”
กู้จิ้งร้องตะโกนตามหลังบรรพบุรุษฝ่ายหญิงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ซึ่งมีใบหน้ารูปผลท้อไป แต่อีกฝ่ายกลับวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม
นับแต่วันนั้นมา ผู้คนบนเขาเว่ยอวิ๋นก็พากันร่ำลือว่า มีสตรีนางหนึ่งไปล่วงเกินต้าเซียนเข้า ก็เลยถูกกระชากวิญญาณไป วันๆ นางจะเอาแต่พึมพำว่า “ต้าเซียนไว้ชีวิตด้วย ต้าเซียนไว้ชีวิตด้วย ข้าผิดไปแล้ว…”
ส่วนในถ้ำบนเขาซึ่งมีผู้คนมากมายมากราบไหว้ไม่ขาดสาย กู้จิ้งกำลังกินเกาลัดคั่วซึ่งชาวบ้านนำมาเซ่นไหว้ไปพลาง ลูบปากที่ได้รับบาดเจ็บของเจ้าหมาไปพลาง แล้วก็ทอดถอนใจ
“ท่านบรรพบุรุษกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะพูดยังไงดี ตอนนี้ฉันไม่เพียงแต่ทำร้ายฮัสกี้ ทว่ายังล่วงเกินคนที่มีสิทธิ์จะเป็นบรรพบุรุษฝ่ายหญิงในอนาคตอีกด้วย…”
นี่เรียกว่าดื่มน้ำเย็นก็ติดฟัน ผายลมก็โดนส้นเท้า!
โชคร้ายไม่มาเพียงเรื่องเดียว เงยหน้าถอนใจยาว
“ต้าเซียนช่วยด้วย ช่วยผัวของข้าด้วยเถิด**!”**
วันนี้ ในขณะที่กู้จิ้งเพิ่งจะคิดหาวิธีป้องกันไม่ให้บรรพบุรุษฝ่ายหญิงเป่าหูท่านบรรพบุรุษให้มีคำสั่งสอนแปลกๆ อะไรตกทอดไปถึงลูกหลานได้นั้นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากนอกถ้ำ
เธอเลิกคิ้ว “ไม่รู้ว่าผัวใครหายไปอีกแล้ว… ไม่สนๆ”
จากนั้นเธอก็นั่งเล่นบล็อกตัวต่อไม้อยู่ในถ้ำต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน
บล็อกตัวต่อไม้ชุดนี้ ซุนโม่ลี่เพื่อนรักของเธอเป็นคนซื้อมา เวลาอยู่ที่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรทำพวกเธอก็จะเอาออกมาเล่นด้วยกัน ต่อมามันถูกโยนทิ้งไว้ให้ฝุ่นเกาะ คิดไม่ถึงว่าภายหลังจะถูกโยนลงไปในกระเป๋าแล้วก็ตามเธอมาสู่สมัยโบราณด้วย
กำลังเล่นอยู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่นอกถ้ำ จากนั้นก็มีเสียงตะโกนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นว่า “เฮ้ย! คนในถ้ำน่ะ เถี่ยเฟิงบอกให้เจ้าไปรักษาอาการบาดเจ็บให้คนที่หมู่บ้าน!”
กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกว่าเสียงนี้ฟังดูคุ้นๆ อยู่บ้าง เธอจึงลุกขึ้นเดินไปที่ปากถ้ำแล้วโผล่หน้าออกไปดู ทันใดนั้น เธอก็จำได้
นี่คือผู้ชายที่พูดจา ‘@$%&’ กับเซียวเถี่ยเฟิงที่นอกเพิงในสวนแตงตอนที่เธอเพิ่งมาถึงที่นี่ใหม่ๆ ดูท่าจะเป็นเพื่อนสนิทกับเถี่ยเฟิงของเธอ
ดังนั้น ถึงแม้เขาจะพูดจาไร้มารยาท เธอก็ยังตอบกลับไปอย่างใจเย็น “ใครได้รับบาดเจ็บหรือ?”
“เถี่ยเฟิง แล้วก็พี่น้องในหมู่บ้านอีกหลายคน ทุกคนต่างมีเลือดไหลไม่น้อยเลย!”
ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของกู้จิ้งก็เปลี่ยนไปทันที เธอรีบคว้ากระเป๋าสีดำมาควานหากล่องปฐมพยาบาลกับยาชนิดต่างๆ ที่น่าจะจำเป็นต้องใช้โดยไม่สนใจจะเก็บบล็อกตัวต่อไม้อีก จากนั้นก็หันไปร้องบอกหนิวปาจินว่า “เร็วๆๆ รีบพาฉันไปเร็ว!”
บังเอิญบนเนินเขานอกถ้ำมีคนมากราบไหว้ต้าเซียนอยู่พอดี เห็นต้าเซียนตัวเป็นๆ เดินตามหนิวปาจินออกมาพวกเขาก็พากันโขกศีรษะด้วยความตกใจ
รอจนกระทั่งกู้จิ้งกับหนิวปาจินลับสายตาไปแล้ว พวกเขาถึงได้ลุกขึ้น
“วันนี้ต้าเซียนไม่อยู่บ้าน เรากลับบ้านกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
“ใช่ๆๆ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
ว่าแล้วกลุ่มคนที่มากราบไหว้เซียนก็แยกย้ายกันไป
กู้จิ้งมีเวลามาสนใจเสียที่ไหนว่าคนกลุ่มนี้กำลังพึมพำอะไรกัน เพราะยามนี้เธอกำลังเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเซียวเถี่ยเฟิง หลังจากวิ่งตามหนิวปาจินไปถึงหมู่บ้าน เธอก็พบว่าที่นอกหมู่บ้านมีผู้ชายยืนเฝ้าอยู่หลายคน แต่ละคนต่างก็มีผิวคล้ำรูปร่างบึกบึน สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดและคราบสกปรก ที่ข้างกายพวกเขามีสัตว์ที่ล่ามาได้กองอยู่ มีทั้งสัตว์ที่เห็นกันบ่อยๆ อย่างไก่ป่า, กระต่ายป่า นอกจากนี้ก็มีเก้ง, กวาง, หมูป่า, หมีดำ บ้างก็มีชีวิตอยู่บ้างก็ตายไปแล้ว แต่ละตัวต่างก็มีคราบเลือดเกรอะกรัง ผู้หญิงในหมู่บ้านกลุ่มหนึ่งกำลังช่วยกันทำคอก ดูเหมือนคิดจะเอาพวกที่ยังมีชีวิตอยู่ไปขังเอาไว้ในนั้นก่อน ส่วนที่ตายจะได้รีบนำไปจัดการ