กู้จิ้งฟังจากที่หนิวปาจินเล่าถึงได้รู้ว่า พวกผู้ชายที่ได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวไปที่บ้านของหัวหน้าพรานจ้าวจิ้งเทียนแล้ว เธอไม่กล้าเสียเวลาอีก ดังนั้นจึงรีบวิ่งไปที่บ้านของจ้าวจิ้งเทียนทันที

ระหว่างทางย่อมมีคนในหมู่บ้านเห็นกู้จิ้ง พอเห็นเธอเข้าทุกคนต่างก็ตะลึงงันกันไปหมด

คนที่เคยไปจุดธูปกราบไหว้จำได้ว่าเป็นต้าเซียน ต่างก็พากันคุกเข่าลงโขกศีรษะ

คนที่คิดว่าเธอเป็นปีศาจต่างพากันถอยกรูดด้วยความตกใจ

ส่วนคนที่คิดว่าเธอเป็นพวกต้มตุ๋นต่างพากันร้องถากถางเยาะเย้ยเสียดสี

แต่เวลานี้กู้จิ้งมีอารมณ์สนใจเสียที่ไหน เธอวิ่งตามหนิวปาจินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงบ้านของจ้าวจิ้งเทียน บ้านหลังนี้ใหญ่มากแถมยังมีถึงสองตอน พอไปถึงก็พบว่าที่นั่นมีชายฉกรรจ์อยู่ประมาณสิบเจ็ดสิบแปดคน แต่ละคนต่างก็มีบาดแผล บางคนที่มีเลือดไหลนองกำลังนอนร้องครวญครางอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด

มองเพียงปราดเดียวกู้จิ้งก็เห็นเซียวเถี่ยเฟิง เขาเปลือยร่างท่อนบน ตรงโคนผมมีคราบเลือดเหนียวๆ ติดอยู่ กางเกงที่สวมอยู่แทบจะถูกย้อมเป็นสีแดงแถมยังเปียกชุ่มอีกด้วย

เธอนิ่งงันไปทันที

เขา…บาดเจ็บหนักขนาดนี้เชียว?

เธอโผไปหาเขาแล้วคว้าแขนเขามาตรวจดูโดยไม่สนใจสักนิดว่ากำลังอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย “นายบาดเจ็บหรือ? บาดเจ็บตรงไหน? เป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเธอมาถึง ดวงตาก็ฉายแววอบอุ่น เขาส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร แค่โดนหมาป่าข่วนหลังเท่านั้น”

หมาป่าข่วน?

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็รีบตรวจดูแผ่นหลังของเขา พอได้เห็น หัวใจของเธอก็แทบจะหยุดเต้น เพราะบนแผ่นหลังแข็งแรงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนั้นมีบาดแผลที่ลึกจนแทบเห็นกระดูกยาวตั้งแต่คอไปถึงเอว

เนื้อที่แยกออกจากกันนั้นดูน่าหวาดหวั่นมาก ดูเผินๆ ราวกับคนที่ถูกผ่าร่างออกเป็นสองซีกไม่มีผิด

กู้จิ้งเกือบจะเป็นลม บรรพบุรุษของใครใครก็รัก ทำไมถึงได้บาดเจ็บมากขนาดนี้!

“ยังจะพูดว่าไม่เป็นไรแค่ถูกข่วนเท่านั้นอีก บาดเจ็บขนาดนี้ทำไมไม่ทำแผล นายไม่รักชีวิตแล้วหรือไง? คนโง่ ทำไมถึงต้องไปตอแยหมาป่าด้วยนะ?”

แค่รังแกหมาแบบเธอไม่ได้หรือ? ไม่รู้จักหลบงั้นหรือ?

กู้จิ้งรีบควานหาอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มลงมือทำความสะอาดบาดแผล ฆ่าเชื้อเย็บแผล แล้วก็พันแผลให้เซียวเถี่ยเฟิงอย่างคล่องแคล่ว แต่ปากก็ยังไม่ยอมละเว้นเขา

“เป็นคนจะโลภมากไม่ได้ เรากินของเซ่นไหว้ไม่ดีรึไง ทำไมต้องไปล่าสัตว์ด้วย? ทำจนตัวเองเป็นแบบนี้ นายไม่ปวดใจแต่ฉันปวดใจนะ! ถ้านายเป็นอะไรไป ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือ?”

เซียวเถี่ยเฟิงกุมมือเธอเอาไว้ “เจ้าไปดูจ้าวซู่หยุ่นทางด้านนั้นก่อน เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลย”

กู้จิ้งเห็นเขามองไปอีกด้านหนึ่งก็ส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะพยักหน้า “ได้”

หลังจากจัดการพันแผลให้เซียวเถี่ยเฟิงเสร็จเรียบร้อย เธอก็เดินไปหาจ้าวซู่หยุ่นแล้วเริ่มตรวจดูอาการ คิดไม่ถึงว่าในตอนนั้นเอง ชายร่างสูงผอมคนหนึ่งจะหิ้วหีบไม้วิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน

ชายร่างสูงผอมผู้นี้มีผิวขาวละเอียด แตกต่างจากชาวบ้านคนอื่นๆ พอมาถึงเขาก็หยุดพักหอบหายใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรายตามองกู้จิ้งแวบหนึ่งก่อนจะเริ่มทำแผลให้จ้าวซู่หยุ่นทั้งที่ยังมีเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก

ผู้คนรอบด้านต่างพากันส่งเสียงทักทาย

“ท่านหมอเหลิ่ง ข้าถูกข่วนตรงนี้”

“ท่านหมอเหลิ่ง แผลของข้าคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

ท่านหมอเหลิ่งผู้นี้ตรวจดูอาการพลางกล่าวปลอบใจทีละคนๆ

กู้จิ้งเห็นท่านหมอเหลิ่งผู้นี้มีฝีมือร้ายกาจ สามารถรับมือสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้ เธอก็ไม่ยื่นมือเข้าไปสอดแทรกอีก เธอเดินกลับไปหาเซียวเถี่ยเฟิงแล้วตรวจดูร่างกายของเขาอีกรอบ เห็นว่าไม่มีบาดแผลอื่นถึงได้วางใจ

ท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง ไม่นานนักจ้าวฝูชางบิดาของจ้าวจิ้งเทียนก็มาถึง เขาเริ่มปลอบใจทุกคน จากนั้นก็รับปากว่าจะช่วยออกค่ารักษาและจัดการเรื่องต่างๆ ให้ ทุกคนฟังแล้วย่อมซาบซึ้งใจและพากันสรรเสริญเยินยอเป็นการใหญ่

จ้าวฝูชางบอกว่าเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ทุกคนไปกินได้

เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งก่อนทำให้กู้จิ้งไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อจ้าวฝูชาง ยามนี้เธอจึงไม่คิดอยากกินอาหารของบ้านเขาสักนิด กำลังคิดจะจากไป เซียวเถี่ยเฟิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ไป เรากลับถ้ำกัน”

กู้จิ้งรีบช่วยประคองเซียวเถี่ยเฟิงให้ลุกขึ้น คิดไม่ถึงว่าจ้าวฝูชางจะกล่าวเสียงหนักขึ้นว่า “เถี่ยเฟิง ช้าก่อน”

เซียวเถี่ยเฟิงหยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง “ท่านลุง มีอะไรหรือ?”

จ้าวฝูชางปรายตามองกู้จิ้งแวบหนึ่ง “ข้าได้ยินจิ้งเทียนบอกว่าครั้งนี้โชคดีที่มีเจ้า ไม่เช่นนั้นคงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ ข้ายังคิดจะเรียกเจ้าไปกินข้าวดื่มเหล้าด้วยกันเพื่อขอบคุณสักครั้ง ทำไมถึงจะรีบร้อนจากไปเล่า?”

เซียวเถี่ยเฟิงตอบว่า “ท่านลุง ข้าออกจากบ้านมาหลายวันแล้ว สมควรกลับไปเสียที รออีกสองสามวัน ข้าค่อยกลับมาดื่มสุราเป็นเพื่อนท่านดีไหม”

จ้าวฝูชางยังคิดจะพูดต่อ แต่กู้จิ้งกลับกระตุกแขนของเซียวเถี่ยเฟิงแล้วชิงเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ฉันอยากกินที่นี่”

เซียวเถี่ยเฟิงมองเธอด้วยความประหลาดใจ เขาคิดว่าเธอไม่ชอบกินข้าวกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน โดยเฉพาะต้องกินที่บ้านตระกูลจ้าว เขาถึงได้คิดจะกลับไปที่ถ้ำ คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะพูดแบบนี้ออกมา

เขาย่อมไม่รู้แผนการในใจของกู้จิ้ง

นับแต่กู้จิ้งคิดขึ้นได้ว่าเซียวเถี่ยเฟิงเป็นบรรพบุรุษของเธอ เธอก็คิดว่าตัวเองสมควรต้องหาทางทำให้ท่านบรรพบุรุษสั่งสมทรัพย์สินเงินทองให้มากขึ้น จะได้เก็บเอาไว้ให้ลูกหลานรุ่นหลัง ที่ไม่กี่ไร่บนเขาเว่ยอวิ๋นของยายเป็นมรดกที่ตกทอดกันมารุ่นต่อรุ่น แม้กระทั่งในยามที่ประเทศชาติตกอยู่ในภาวะวุ่นวายที่สุด ขอเพียงหลบซ่อนอยู่ในป่าลึกก็สามารถรอดพ้นเภทภัยมาได้ทุกครั้ง ที่แปลงนั้นจึงตกทอดต่อมาเรื่อยๆ

ลูกหลานคนอื่นๆ ของตระกูลเซียวเองก็มีที่นาของตัวเอง ซึ่งก็ล้วนแต่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษทั้งสิ้น

หากท่านบรรพบุรุษไม่พยายามให้มาก ต่อไปลูกหลานคงต้องเหนื่อยไม่น้อย

กู้จิ้งกอดแขนของเซียวเถี่ยเฟิงเอาไว้พลางพึมพำเบาๆ “ฉันเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าคนอื่นๆ ในหมู่บ้านใช้ชีวิตยังไง อยู่ในถ้ำทุกวันฉันก็เบื่อเป็นเหมือนกันนะ”

เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจทันที

ตอนที่บำเพ็ญตบะ ปีศาจน้อยอาศัยอยู่บนภูเขา คิดว่าน่าจะอยู่ในถ้ำเหมือนกัน ตอนนี้ยังมาอยู่กับเขาในถ้ำอีก นางคงอยากเห็นอะไรที่แปลกใหม่บ้างสินะ

เซียวเถี่ยเฟิงรู้สึกสงสารนางขึ้นมา ต้องโทษเขาที่ไม่รู้จักคิดให้รอบคอบ คิดได้เช่นนี้เขาก็เงยหน้าขึ้นกล่าวกับจ้าวฝูชางว่า “เช่นนี้ คงต้องรบกวนท่านลุงแล้ว”

จ้าวฝูชางพยักหน้า “เจ้ากินตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ มาที่นี่ก็เหมือนกับมาที่บ้านของตัวเอง”

ทั้งสองพูดจากันอีกสองสามประโยค จ้าวฝูชางก็เรียกเซียวเถี่ยเฟิงไปดูคนเจ็บที่เรือนด้านหลังแล้วปรึกษาอะไรกันก็ไม่รู้ กู้จิ้งไม่มีอะไรทำก็เลยเข้าไปช่วยท่านหมอเหลิ่ง

ก่อนอื่น เธอสังเกตดูก่อนว่าท่านหมอเหลิ่งจัดการกับบาดแผลอย่างไร

ท่านหมอเหลิ่งมีมือที่ไม่เหมือนกับชายคนอื่นๆ บนภูเขา มือขาวสะอาดของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาจัดการทำความสะอาดแผล ใส่ยาแล้วก็พันแผลให้กับเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหลายอย่างคล่องแคล่ว

พอเธอเข้าไปช่วย ท่านหมอเหลิ่งไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเพียงแค่ชี้ไปที่ขวดกระเบื้องที่วางไว้ข้างๆ แล้วพูดว่า “ยาอยู่ตรงนั้น”

เธอรู้ว่าหมอบางคนกลัวจะถูกแย่งลูกค้า หรือจะเรียกว่าแย่งอาณาเขตก็ได้ ดังนั้นตอนแรกที่เห็นท่านหมอเหลิ่งปรากฏตัว เธอจึงไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่บาดแผลภายนอก ไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เธอไม่จำเป็นต้องดึงดันรักษาบาดแผลให้ผู้อื่นเพื่อโอ้อวดตัวเอง

ยามนี้เห็นท่านหมอเหลิ่งแม้ไม่พูดไม่จา แต่ก็ไม่ใช่คนใจคอคับแคบ เธอก็เลยเข้าไปช่วยเขาทำแผลให้คนบาดเจ็บ

คนบาดเจ็บเหล่านั้นบางคนยังพอว่า ไม่มีท่าทีผิดปกติอะไร แต่บางคนปักใจเชื่อว่าเธอเป็น ‘ต้าเซียนบนเขา’ พอเห็นเธอเข้าไปช่วยทำแผลให้ บางคนก็หวาดกลัว บางคนก็ตื่นตระหนก ทำเอากู้จิ้งถึงกับหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

ระหว่างที่ทำแผล ชาวบ้านบางคนก็เริ่มพูดถึงการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ขึ้นมา

เธอก้มหน้าลงตรวจดูขาที่ได้รับบาดเจ็บของคนเจ็บคนหนึ่งพลางแอบเงี่ยหูฟัง แม้จะมีคำพูดบางประโยคที่ฟังไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะฟังออกเจ็ดถึงแปดส่วน

ที่แท้ในการล่าสัตว์ครั้งนี้ ชาวบ้านแปดหมู่บ้านบนเขาเว่ยอวิ๋นจับกลุ่มเข้าไปในป่าลึกด้วยกัน ส่วนเซียวเถี่ยเฟิงเคลื่อนไหวตามลำพัง แต่คิดไม่ถึงว่าพอเข้าไปในป่าลึก ทั้งสองฝ่ายจะไปเจอกันเข้าพอดี

ตอนนั้นมีทางแยก เซียวเถี่ยเฟิงบอกจ้าวจิ้งเทียนว่าไม่ควรไปทางซ้าย เพราะทางนั้นจะนำไปสู่ป่าโบราณที่ลึกมาก เขาคิดว่าในนั้นน่าจะมีฝูงหมาป่าอยู่ แม้พวกเขาจะมีคนมาก แต่หากเข้าไปโดยพลการอาจจะมีอันตรายได้ ถึงเข้าไปแล้วจะล่าสัตว์ได้มากมาย แต่ทุกคนต่างก็มีพ่อแม่ลูกเมีย จะเอาชีวิตไปเสี่ยงแลกกับผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไร สมควรเลือกหนทางที่ปลอดภัยจะดีกว่า

แต่จ้าวจิ้งเทียนกลับคิดว่าในป่าโบราณแบบนั้นน่าจะหาจิ้งจอกขาวมีค่ากับโสมชั้นดีได้ง่าย หากหาพบ ฤดูหนาวปีนี้ทุกคนคงได้อยู่กันอย่างสุขสบาย แถมจะว่าไป เข้าไปแล้วก็ใช่ว่าจะต้องเจอกับฝูงหมาป่าแน่นอน หรือต่อให้เจอ พวกเขาก็ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้