บทที่ 297 ไม่มีใครธรรมดา

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

คนในจวนซุนเมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินทางมาก็ราวกับเห็นขอนไม้ใหญ่ลอยอยู่ท่ามกลางทะเลสาบ

“เฟิ่งซิ่ว บิดาของข้าไม่ได้ทุจริต เขาไม่ได้โกงเงินบรรเทาภัยนั้นอย่างแน่นอน!”

ตระกูลซุนมีบุตรชายอยู่สองคน คุณชายใหญ่ติดตามอวี่เหวินหยวนฮั่วไปที่เขตชายแดนแล้ว ส่วนคุณชายรองได้ศึกษาอยู่ที่ ตระกูลหวัง บัดนี้ผู้ที่เข้ามารับผิดชอบเรื่องนี้ก็คือคุณชายรองแห่งตระกูลซุนนั่นเอง

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินทางมา เขาก็เข้ามากล่าวแสดงถึงทัศนคติทันทีว่าบิดาของเขานั้นไม่ได้กระทำการผิดใด ใบหน้าอันอ่อนโยนดูเยาว์วัยของเขาแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งและไม่ยอมใครง่ายๆ

“วางใจเถิด บัดนี้ใต้เท้าซุนไม่เป็นอะไร” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เห็นด้วยกับคำที่เขากล่าวว่าบิดาของเขาไม่ได้ทำเรื่องเช่นนี้ออกมา

เพราะในวงการขุนนางไม่มีผู้ใดที่สะอาดสะอ้านหมดจน เพราะคนที่มือสะอาดจะไปได้ไม่ไกล และใต้เท้าซุนก็เห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่อาจไปได้ไกลประเภทนั้น

นางเชื่อว่าด้วยนิสัยของใต้เท้าซุน เขาจะไม่โกงเงินบรรเทาทุกข์ของประชาชน แต่แล้วอย่างไรเล่า?

เรื่องนี้ถูกใส่ร้ายหรือไม่สำคัญ การทุจริตก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือจะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้ได้อย่างไร สิ่งที่ทำให้รู้สึก ยังโชคดีอยู่นั่นก็คือองค์จักรพรรดิไม่ได้สั่งให้จับกุมตัวคนในตระกูลซุนทั้งหมดเข้าคุกไปด้วย

เจิ้นกั๋วกงฉวยโอกาสช่วงงานวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์จักรพรรดิและยื่นรายงานนี้ออกไป ทำให้องค์จักรพรรดิ โมโหยิ่งนัก เขาสั่งให้นำตัวใต้เท้าซุนเข้าไปขังไว้ในองครักษ์เสื้อโลหิตโดยไม่กล่าวถามสิ่งใด ในขณะเดียวกัน ก็ยังให้เวลาใต้เท้าลู่ก่อนที่งานวันเกิดถูกจัดขึ้น จะไม่จัดการคดีของใต้เท้าซุน

ดูเหมือนเจิ้นกั๋วกงจะคิดว่า เมื่อใต้เท้าซุนถูกขังอยู่ในองครักษ์เสื้อโลหิตแล้วก็จะตายอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่านางกับลู่เส้าหลินจะมีความสัมพันธ์กันไม่ธรรมดา การที่ลู่เส้าหลินต้องการจะไว้ชีวิตใต้เท้าซุนเป็นเพียงเรื่องง่ายๆ

“ท่านพี่ชิงเฉิน ท่านพ่อของข้าอยู่ในหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิต ที่นั่นคือองครักษ์เสื้อโลหิตเชียว! คนที่เดินทางเข้าไปนั้น หากไม่ตายก็คงต้องพิกลพิการ พี่ชิงเฉินขอร้องเถิด ช่วยบิดาของค่าได้หรือไม่ บิดาของข้าเป็นคนดีเขาไม่ทำเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน” ใบหน้าเล็กๆ ของซุนยี่ฉือดูเหมือนลูกแมวที่กำลังร้องไห้

ในวันนี้พวกเขาเดินทางไปขอร้องผู้คนมากมาย แต่ทุกคนล้วนปิดประตูไม่ต้อนรับ คนในตระกูลซุนไม่ยอมพบพวกเขา บัดนี้ทำให้พวกเขารู้สึกลำบากมากยิ่งขึ้น

เฟิ่งชิงเฉินตบลงไปที่หลังมือของซุนยี่ฉือเบาๆ แล้วปลอบโยนว่า “อย่ากังวลใจไปเลย บิดาของเจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้างในหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิด ข้าเองก็มีชีวิตรอดออกมาไม่ใช่หรือ?”

ขณะที่กล่าวคำนี้ออกมา ซุนฮูเหยินที่ใบหน้าเหี่ยวย่นผมเป็นสีขาวเงินก็เดินออกมาจากการพยุงของบ่าวรับใช้ เมื่อเห็นสภาพของซุนฮูหยินเป็นเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ ซุนฮูหยินอายุมากกว่าลู่ฮูหยินเพียงไม่กี่ปี แต่เมื่อทั้งสองยืนอยู่ข้างเคียงกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นคนล่ะช่วงอายุกันเลย

เมื่อครั้งก่อนที่ซุนยี่จิ่นเสียชีวิตไป ซุนฮูหยินก็เสียใจมากร้องไห้เสียจนตาบอด และในครั้งนี้……

เฟิ่งชิงเฉินติดหนี้บุญคุณของตระกูลซุนมากมายเหลือเกิน

“ซุนฮูหยิน” เฟิ่งชิงเฉินเดินไปข้างหน้าแล้วคุกเข่าลง

“เฟิ่งซิ่ว ทำอะไรกันรีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้นมาเถิด!” ซุนฮูหยินคิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะทำเช่นนี้ นางรีบโบกไม้โบกมือให้คนไปพยุงขึ้นมา

แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับปฏิเสธแล้วโค้งศีรษะคาราวะซูนฮูหยินถึงสามหน “ซุนฮูหยิน ทั้งสามครั้งเมื่อครู่ข้าคารวะในนามของยี่จิ่น การที่บัดนี้คุณหนูยี่จิ่นไม่อยู่ที่นี่แล้ว เรื่องของตระกูลซุน และก็เป็นเรื่องของข้าเช่นกัน”

“เด็กดีจงลุกขึ้น ลุกขึ้นเร็วเข้า!” ซุนฮูหยินกลืนน้ำลายลงคอแล้วพยุงเฟิ่งชิงเฉิน “เรื่องของยี่จิ่นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้า อย่าได้โทษตัวเองเลย เจ้าเด็กคนนั้นวาสนาน้อย จากไปแล้วก็ดี”

หากว่าซุนยี่จิ่นยังมีชีวิตอยู่คาดว่าจะต้องลำบากมากมาย อีกอย่างการที่ซุนยี่จิ่นเสียชีวิตไปนั้นจะโทษว่าเป็นความผิดของเฟิ่งชิงเฉินทั้งหมดก็ไม่ได้ และอย่างน้อยคนในตระกูลซุนไม่ได้โทษเฟิ่งชิงเฉินเลย

“ซุนฮูหยิน อย่าได้เป็นห่วงใต้เท้าซุนที่อยู่ในหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตเลย เขาสบายดี ข้าได้ฝากฝังคนให้คอยดูแลเขาแล้ว เขาจะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน” เฟิ่งชิงเฉินพยุงซุนฮูหยินเดินตรงไปที่โถงดอกไม้ ก่อนจะนั่งลงแล้วนำคำพูดของลู่เส้าหลินบอกให้แก่คนในตระกูลซุนฟัง ให้พวกเขาไม่ต้องกังวลใจไป ใต้เท้าซุนอยู่ที่ในหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตจะไม่ได้รับความลำบากแต่อย่างใด

“ซุนฮูหยิน หากว่าพวกท่านรู้สึกเป็นกังวลล่ะก็ ในวันพรุ่งนี้พวกท่านสามารถเข้าไปเยี่ยมเขาที่หน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตได้ นำอาหารที่เขาชอบไปให้ เมื่อพวกท่านเดินทางไปถึงที่หน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตแล้ว ให้ไปหาใต้เท้าลู่ ลู่เส้าหลิน เขาจะจัดการให้พวกท่านเอง”

“จริงหรือ ข้าสามารถไปหาท่านพ่อได้?” น้องชายของซุนยี่ฉือยิ้มออกมา ในใจก็กังวลว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกลับคำ

เฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่าบิดาของตนไม่เป็นไร แต่ถึงกระนั้นหากได้พบกับเขาก็คงจะวางใจกว่า

“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ข้าโกหกเจ้าเพื่อสิ่งใด วันพรุ่งนี้พวกเจ้าเดินทางไปที่องครักษ์เสื้อโลหิต แต่เกรงว่าข้าจะไม่อาจไปเป็นเพื่อนกับพวกเจ้าได้” เรื่องของใต้เท้าซุนนี้นางจะต้องเดินทางไปหาอีกหลายคนเพื่อช่วยเหลือ พึ่งพาเพียงตระกูลซุนไม่กี่คนนี้คาดว่าคงไม่ได้

ซุนฮูหยินและซุนยี่ฉือไม่เข้าใจเท่าไรนัก แต่คุณชายของตระกูลซุนเข้าใจเรื่องนี้ดี เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินกล่าวเช่นนี้เขาก็ก้าวขึ้นไปด้านหน้ายกมือคารวะ “เฟิ่งซิ่ว ต้องรบกวนท่านด้วย”

“คุณชายซุนเกรงใจเกินไปแล้ว เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำ” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ยอมรับการคารวะนั้น เมื่อเห็นว่าคุณชายซุนกำลังจะกล่าวบางอย่างออกมาอีก เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เอ่ยขาดขึ้นว่า “ซุนฮูหยิน คุณชายซุน ข้ายังต้องไปเยี่ยมเยียนสหายและผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยอีกสองสามคน ดังนั้นจึงไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นาน เอาเป็นว่าเรื่องของใต้เท้าซุนนั้นพวกท่านไม่ต้องเป็นกังวลใจไป และไม่จำเป็นต้องไปร้องขอผู้ได้แล้ว ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”

นางเกรงว่าคนในตระกูลซุนเหล่านี้ยิ่งช่วยจะยิ่งวุ่นวาย เนื่องจากเจิ้นกั๋วกงได้วางวางแผนไว้ก่อนหน้าแล้ว แน่นอนว่าจะไม่ลากเพียงใต้เท้าซุนลงน้ำแต่ผู้เดียว บัดนี้เพียงแค่นำใต้เท้าซุนลงไปคนเดียวก็ยากแล้ว หากว่าเอาทุกคนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนางคงจะบ้าตาย

“เฟิ่งซิ่ววางใจเถิด พวกเรารู้ว่าควรทำเช่นไร” ซุนฮูหยินและคุณชายซุนแม้ว่าจะค่อนข้างดื้อรั้น แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักคิด พวกเขารู้ดีว่าการที่เฟิ่งชิงเฉินทำเช่นนี้ก็เพราะว่าคิดแทนพวกเขา

“หากมีเรื่องใดให้ไปหาข้าที่จวนขุนนางผู้ภักดี” เฟิ่งชิงเฉินทิ้งท้ายไว้เพียงหนึ่งประโยชน์ แล้วปฏิเสธไม่ให้คนในตระกูลซุนออกมาส่งนาง จากนั้นนางก็ขึ้นรถม้าไป

“คุณหนูเจ้าคะ พวกเราจะไปที่ใดต่อ?” เมื่อสาวรับใช้เห็นใบหน้าอันอ่อนล้าของเฟิ่งชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ

เมื่อตอนบ่ายยังดีๆ อยู่แท้ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น ทำให้คุณหนูต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว จนบัดนี้อย่าว่าแต่รับประทานอาหารสักคำเลย แม้แต่น้ำก็ยังไม่ได้ดื่ม

“ไปไหนน่ะหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วขึ้น “ไปจวนซุนเจิ้งเต้า หมอหลวงซุน”

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเฉินกั๋วกงคือจักรพรรดินี ถ้าเช่นนั้นนางคงต้องยืมอำนาจของเซี่ยกุ้ยเฟยมาใช้

คนเดียวที่สามารถแข่งขันกับจักรพรรดินีในวังหลังได้ก็คือเซี่ยกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์ การต่อสู้ในวังหลังคือการต่อสู้ระหว่างตระกูล เจิ้นกั๋วกงมีหลักฐานในการจัดการใต้เท้าซุนและส่งเข้าไปในองครักษ์เสื้อโลหิต นั่นหมายความว่า ทำนองเดียวกัน คนจากตระกูลเซี่ยก็คงจะมีหลักฐานจำนวนไม่น้อยสำหรับจัดการคนที่อยู่ข้างกายจักรพรรดินีและส่งเข้าไปในคุกได้

รถม้าดำเนินไปอย่างเร่งรีบ เฟิ่งชิงเฉินซึ่งนั่งอยู่ในรถม้ากำลังไตร่ตรองถึงวิธีที่จะจัดการกับบ่อน้ำในราชสำนักนี้

ก่อนวันเฉลิมฉลองงานวันเกิดขององค์จักรพรรดิ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาแล้วคาดว่าคงจะไม่มีความสุขนัก

เฟิ่งชิงเฉินเผยอริมฝีปากขึ้นแล้วเผยถึงรอยยิ้มอันเย็นชาชั่วร้ายออกมา สาวรับใช้ที่ติดตามมาด้วยอีกสองคนเห็นแววตาของเฟิ่งชิงเฉินเช่นนั้นก็รู้สึกกลัว

เมื่อเดินทางมาถึงจวนของซุนเจิ้งเต้า ปรากฏว่าคนในจวนนั้นได้รับประทานอาหารค่ำไปเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินโชคร้ายเหลือเกินที่มาพลาดอาหารค่ำอีก แต่ก็ยังดีที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่เพื่อรับประทานอาหารค่ำ หลังจากไปตรวจอาการซุนฮูหยินมาแล้วก็ได้สนทนากับซุนฮูหยินและซุนซือสิง จากนั้นก็เดินไปห้องหนังสือพร้อมกับซุนเจิ้งเต้า

“เกิดเรื่องขึ้นงั้นหรือ?” ซุนเจิ้งเต้าเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจได้ทันที

เมื่อตอนเช้านางยังร่าเริงแจ่มใสและตบคนได้อย่างงดงามเหลือเกิน เหตุใดในตอนกลางคืนจึงดูเหนื่อยล้า แม้แต่เสื้อผ้างดงามยังไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้

เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เล่าเรื่องของพ่อลูกซุนยี่จิ่นออกมาให้ฟัง ยังไม่ทันกล่าวจบหนวดเคราของซุนเจิ้งเต้าก็ม้วนงอ เขาโมโหจนสบถออกมาว่า “เจิ้นกั๋วกง! ไอ้เฒ่าไม่รู้จักตาย! กล้าสร้างอุบายอันร้ายกาจและน่าเกลียดเช่นนี้ขึ้นมาได้ มารดาของนางก็เป็นหญิงชู้ที่น่ารังเกียจ คลอดบุตรออกมาก็หาได้ต่างกันเลย อนุภรรยาเลี้ยงดูบุตรของตนเติบโตมาก็อยากที่จะเงยหน้าได้ในสังคมจริงๆ มีเพียงจวนเจิ้นกั๋วกงอันเน่าเฟะเท่านั้นที่สามารถเลี้ยงดูคนหน้าด้านและอันตรายเช่นนี้ออกมาได้ เพื่อเห็นแก่ความร่ำรวยพวกเขายังสามารถขายบุตรสาวของตน……”

ซุนเจิ้งเต้ากล่าวออกมาอย่างช้าๆ และนุ่มนวล เฟิ่งชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าซุนเจิ้งเต้าผู้อาวุโสท่านนี้จะตะโกนดุด่าผู้คนได้อย่างนุ่มนวลถึงเพียงนั้น

เมื่อสังเกตเห็นสายตาของเฟิ่งชิงเฉิน ซุนเจิ้งเต้าจึงได้หยุดการกระทำลงแล้วกระแอมออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก ก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ว่ามาเถิด ต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”

“หา? ท่านยอมช่วยข้าง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึง นางรู้ว่าซุนเจิ้งเต้าเป็นคนที่ตรงไปตรงมาแต่นี่ก็……

ซุนเจิ้งเต้าตวาดออกมาด้วยความขุ่นเคือง “เจ้าเดินทางมาหาข้าเพราะต้องการความช่วยเหลือจากข้าไม่ใช่หรือ?”

“จะว่าเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่ท่านช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน และการตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้ข้าเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องใดผิดพลาดหรือไม่ อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้คุ้นเคยกันนัก การที่ข้าระมัดระวังก็ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาอย่างเรียบง่าย แต่หางตาของนางยังคงแหลมคมดูเหมือนซุนเจิ้งเต้าจะผิดปกติไป

“ไม่คุ้นเคยกันหรือ? บุตรชายของข้าคือลูกศิษย์คนเดียวของเจ้า เจ้าคิดว่าระหว่างข้ากับเจ้าจะไม่มีความสัมพันธ์ใดกันเลยหรือ?” ซุนเจิ้งเต้ากล่าวออกมาด้วยความโมโห ก่อนจะแอบด่าอยู่ในใจว่า นางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เจ้าจะทำตัวโง่เง่าหน่อยไม่ได้หรือไร เจ้าเป็นสตรีแต่กลับไม่นั่งเย็บปักถักร้อยอยู่ในเรือน เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก ไม่กลัวองค์จักรพรรดิจะตัดคอเอาหรือไร

“นี่ไม่ใช่เหตุผล” เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า การที่ซุนเจิ้งเต้าช่วยนางในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์กับซุนซือสิง ตัวตนของซุนเจิ้งเต้านั้นดูเหมือนนางจะพอเดาได้แต่ยังไม่ชัดเจน และเห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากกล่าวถึง

“หากนี่ไม่ใช่เหตุผล ถ้าเช่นนั้นข้าจะเพิ่มเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง ข้าเองก็แซ่ซุน คนที่มีแซ่เดียวกันในตงหลิงโดยมากก็จะมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด ใต้เท้าซุนที่อยู่ในองครักษ์เสื้อโลหิตบัดนี้เป็นคนตระกูลเดียวกันกับข้า เหตุผลนี้นับได้หรือไม่?” เหตุผลที่แท้จริงนั้นมีเพียงซุนเจิ้งเต้าที่เข้าใจ แต่เขาจะกล่าวมันออกมาไม่ได้……

เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ฝืนเขาอีก เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา นางเอาแต่จับจ้องไปที่ซุนเจิ้งเต้า เมื่อพบว่าซุนเจิ้งเต้าแทบจะทนไม่ไหวแล้ว นางจึงได้ละสายตากลับมา “จะว่าเช่นนั้นก็พอได้ ข้าเชื่อท่าน”

ข้าเชื่อท่าน บางทีสามคำนี้เป็นเสมือนกุญแจมือซึ่งมีความหมายว่าข้าเชื่อท่าน และท่านอย่าได้ทำให้ข้าต้องผิดหวัง แท้จริงแล้วก็หมายความว่าไม่เชื่อ เพราะถ้าเชื่อจะไม่กล่าวสามคำนี้ออกมา

ซุนเจิ้งเต้าตะโกนโมโหขุ่นเคืองว่า “อย่าทำเป็นอ้อมค้อมไป กล่าวมาเถิดต้องการให้ข้าทำสิ่งใด”

“ในวันพรุ่งนี้ท่านเดินทางไปที่ตระกูลเซี่ยเพื่อตรวจดูอาการให้แก่ท่านย่าในตระกูลเซี่ยสักหน่อย” เดิมทีเซี่ยกุ้ยเฟยต้องการที่จะเข้ามากอดขาของนางเอาไว้ แต่บัดนี้เป็นอย่างไรเล่า รีบร้อนเสียจนต้องการเข้าไปเกาะขาคนในตระกูลเซี่ย แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี เมื่อทั้งสองฝ่ายช่วยเหลือซึ่งกันและกันความร่วมมือก็จะแข็งแกร่งขึ้น

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกโชคดียิ่งนักที่ในขณะนั้นนางนับว่านิ่งเงียบ ไม่ได้ทำให้ตระกูลเซี่ยต้องขุ่นเคืองใจ ไม่อย่างนั้นความเป็นความตายของใต้เท้าซุนคงจะตกอยู่ในอันตราย

ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นศัตรูกันไปตลอดกาล และไม่มีมิตรแท้

“ตระกูลเซี่ยไม่ไว้หน้าเจ้าเช่นนั้น เจ้ายังจะร่วมมือกับเขาอีกหรือ?” ซุนเจิ้งเต้าเข้าใจดีในสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินทำว่าถูกต้อง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามทิ่มแทงใจเฟิ่งชิงเฉิน

การที่สตรีคนหนึ่งมีเหตุผลและกล้าแสดงออกเช่นนี้ ทำให้บุรุษเช่นพวกเขารู้สึกแย่เล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรซุนเจิ้งเต้าก็มีความสุขมาก เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ และตัวนางเช่นนี้จึงจะไม่ทำให้ตระกูลของเขาต้องขายหน้า!