ตอนที่ 432

The Divine Nine Dragon Cauldron

หลายวันต่อมา ที่ระยะล้านลี้ห่างจากเกาะคลื่นคราม

 

ลึกใต้ท้องทะเล ที่หุบเขาใต้วารี มีถ้ำมากมายติดอยู่กับกำแพงหิน มันมืดสนิทไม่เคยได้รับแสงตะวันเกินกว่าหมื่นปี ยังมีความเย็นสุดขั้วเมื่อลงลึกลงไป หลุมดำสนิทมากมายทำให้ทางเข้าถ้ำเหมือนกับปากยักษ์ที่รอกลืนกินสิ่งที่ผ่านไปผ่านมา

 

ซือหยูอยู่ที่เหนือหุบเหวนี้ เขารวบรวมพลังวิญญาณเพื่อปกป้องร่างกาย เขาแอบใช้เนตรวิญญาณเพื่อมองดูข้างใน

 

น่าแปลกที่เนตรวิญญาณของเขามองผ่านพลังหยินอันเยือกเย็นที่มีอยู่ข้างในไม่ได้! เขาเห็นแค่เพียงม่านวารีบางๆด้านนอกของแต่ละถ้ำ ยิ่งถ้ำใหญ่เท่าใดก็จะยังมีม่านวารีมากขึ้น ถ้ำที่ตื้นสุดจะมีม่านวารีหนึ่งชั้น ส่วนถ้ำใหญ่ยักษ์นั้นมีมากถึงสี่ม่าน! ม่านเหล่านั้นสลายพลังของเนตรวิญญาณออกไป

 

“ผนึก!”

 

ซือหยูอุถทานออกมาและหยุดใช้เนตรวิญญาณโดยไม่ลังเล

 

ฉีหมิงเก็บสมบัติเทพเอาไว้

 

“พวกเจ้าทุกคนรู้หรือไม่ว่าที่นี่เคยเป็นอะไรมาก่อน?”

 

ซือหยูกับเจิ่งปิงเงียบกริบและมองถ้ำประหลาดโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่ชิงจู้เหิงนั้นเลิกคิ้วและพูดออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

 

“หรือว่าที่นี่จะเป็นต้นกำเนิดตระกูลกุย? ห้องใต้ดินพันภูติ?”

 

ฉีหมิงแสดงการยอมรับ

 

“แม่นางชิงความรู้กว้างขวางนัก ที่นี่คือต้นกำเนิดของตระกูลกุยอย่างที่เจ้าว่า! ว่ากันว่ามันคือที่อยู่ของตระกูลกุยในครั้งโบราณ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ พวกเขาย้ายไปยังตอนใต้ของทวีปและทิ้งที่นี่เอาไว้”

 

ทุกคนเหลือบมองซือหยู ราชาปีศาจหิมะทมิฬนั้นมีสายเลือดปีศาจของตระกูลกุย ทั้งทวีปรับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

 

ฉีหมิงพูดต่อ

 

“สมุนไพรบาดาลอมตะคือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลกุย มีแค่การใช้พลังปีศาจของตระกูลกุยเท่านั้นที่จะทำให้เกิดการหล่อเลี้ยงสมุนไพรขึ้นมาได้! แม้ที่นี่จะถูกทิ้งร้าง พวกเราก็สืบเรื่องราวมาแล้ว ไม่มีใครมาที่นี่มาหลายยุคแล้ว! พวกเรากังวลว่าจะมีพลังปีศาจอยู่ที่นี่ พลังนั้นจะทำให้เกิดการกำเนิดของสมุนไพรบาดาลอมตะได้ ถ้าอยากจะได้สมุนไพรนั่น เราก็ต้องเข้าไป”

 

ทั้งกลุ่มมองหน้ากัน หลังจากที่หารือกันชั่วครู่พวกเขาก็พยักหน้ายินยอม ถ้าไม่มีใครเคยมาที่นี่เลยตลอดหลายยุคที่ผ่านมา สมุนไพรบาดาลอมตะก็น่าจะมีโอกาสเติบโตที่นี่

 

ฉีหมิงมองถ้ำที่อยู่ตรงกลางอย่างคาดหวัง

 

“ข้าอ่านตำรามาถึงได้รู้ว่าถ้ำกลางจะนำพาไปยังแท่นบูชายัญของตระกูลกุย ที่นั่นจะเป็นที่ที่ตระกูลกุยใช้ขอพรกับสวรรค์และมีพลังภูติอยู่มาก ที่นั่นมีโอกาสสูงสุดที่จะมีสมุนไพรบาดาลอมตะ”

 

เจิ่งปิงละสายตาไป

 

“เช่นนั้นข้าจะขอพูดก่อน ก่อนพวกเราไปถึงแท่นบูชายัญ เราจะไม่จู่โจมกันเอง! ถ้าได้เจอกับสมุนไพรบาดาลอมตะเมื่อใดก็จะเป็นเรื่องของพลัง ถ้าใครแหกกฎชิงลงมือก่อน สามคนที่เหลือจะร่วมมือกันสังหารคนคนนั้นทันที!”

 

ทั้งสี่มองหน้ากันและยอมรับ หากยังไม่พบสิ่งที่ต้องการจะตามหา การสังหารกันเองก็ยังถือว่าเร็วเกินไป

 

“ถ้าทุกคนเห็นด้วย ก็เอาตามนั้น”

 

ฉีหมิงหัวเราะ

 

“มีม่านผนึกสี่ชั้นปิดถ้ำเอาไว้! มันแข็งแกร่งอย่างมาก ถ้าเราบุกเข้าไปโดยไม่ระวังและทำให้ผนึกทำงาน เราจะถูกสังหารเพราะผนึก!”

 

เขามองดูผนึกและริมฝีปากบิดเบี้ยว

 

“ข้าไม่ได้โกหกพวกเจ้า ตอนที่กระโจมแสงทองมาดูที่นี่ครั้งแรก เราใช้ผู้คุมสวรรค์หนึ่งคน เขาทำให้ผนึกทำงานโดยบังเอิญและตายเพราะถูกสูบแก่นโลหิตไปจนหมด”

 

ทุกคนเสียวสันหลัง หากสังหารผู้คุมสวรรค์ได้อย่างดายเช่นนั้น ผนึกก็ต้องอันตรายเป็นอย่างมาก

 

“มีผนึกอยู่สี่ชั้น…”

 

“พลังของแต่ละชั้นนั้นพอๆกัน เพื่อความยุติธรรม เราแต่ละคนจะทำลายคนละหนึ่งผนึก ตามที่ข้าคิดเอาไว้ ผนึกที่อยู่นอกสุดจะอันตรายมากที่สุด! ข้าขอทำลายผนึกแรก ชิงจู้เหิงทำลายผนึกที่สอง เจิ่งปิงทำลายผนึกที่สาม และสุดท้ายก็คือราชาปีศาจหิมะทมิฬ แต่ถ้าหากต้องลงมือ พวกเราจะช่วยเขาทำลายผนึกด้วย”

 

ไม่มีปฏิเสธอะไรนอกจากเจิ่งปิงที่ไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกจัดลำดับให้ต่ำกว่าชิงจู้เหิง เพื่อทำให้ทั้งสามคลายใจ ฉีหมิงต้องเป็นคนลงมือก่อน เขาบินไปยังถ้ำใหญ่ รังสีพลังของผู้คุมสวรรค์แผ่ออกมา

 

ซือหยูแอบตกใจ ฉีหมิงซ่อนพลังเอาไว้! ถึงจะไม่แข็งแกร่งกว่าอีกสองคนแต่มันก็ไม่อ่อนแอเลย ฉีหมิงหยิบสร้อยสีครามเข้มออกมาและปล่อยพลังวิญญาณเข้าไป

 

ชิงจู้เหิงอ้าปากค้าง

 

“สร้อยทลายเทพ….ของที่มีพลังใกล้เคียงกับราชามนุษย์ ประมาทไม่ได้เลย ของล้ำค่าเช่นนี้มักจะเอาไว้ใช้ช่วยในยามชีวิตมีภัย แต่ท่านฉีกลับมีมันถึงสองชิ้น!”

 

ซือหยูแอบประหลาดใจ ช่างสิ้นเปลืองนัก! สร้อยแต่ละเส้นนั้นมีค่าเหนือกว่าแก้วทมิฬมากมายนัก!

 

ฉีหมิงใส่พลังวิญญาณสามส่วนลงไป ในตอนนั้น สร้อยเปล่งแสงสีครามออกมา แรงดันวิญญาณก่อตัวขึ้นราวกับคลื่น

 

ซือหยูกับคนอื่นถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเพื่อหลบแรงดันวิญญาณนั้น เมื่อสร้อยถูกใช้งาน ฉีหมิงรีบถอยอย่างรวดเร็วและขว้างสร้อยออกไปจากมือ แสงจ้าระเบิดพลังของราชามนุษย์ออกมาทำลายสิ่งรอบข้าง!

 

เมื่อสร้อยแยกออก แสงสีครามก็เริ่มรวมตัวกันอีกครั้งและกลายเป็นกระบี่ครามเฉือนม่านวารีชั้นนอก ม่านวารีรับการโจมตีเข้าไปเต็มๆและสั่นอย่างรุนแรง ผนึกถูกสะบั้นหายไปในเวลาต่อมา

 

เมื่อกระบี่ครามหายไป ม่านวารีก็เริ่มหยุดนิ่งเหลือไว้เพียงรอยกรีดที่ค่อยๆสมานกันกลับคืนมา

 

ทุกคนขมวดคิ้ว พลังจากราชามนุษย์ยังทำลายผนึกชั้นเดียวไม่ได้เลย! ผนึกนี้แข็งแรงยิ่งกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้

 

แม้แต่ฉีหมิงก็ตกใจอยู่เล็กๆ เขาเลิกคิ้วและบินกลับไปอีกครั้ง เขาใช้วิชาระดับอำมฤตที่บ่มเพาะจนถึงระดับสองขั้นสูง! พลังจากสวรรค์เข้ามารวมตัวกัน รอยเท้าครึ่งศอกเปล่งประกายแสงลมรกตกระทืบใส่ผนึกอย่างแรง

 

ตามมาด้วยเสียงแตก ชั้นแรกของม่านวารีสลายไป

 

ฉีหมิงหายใจหอบ เขาหน้าซีด เขาใช้สร้อยทลายเทพไปซึ่งกินพลังกายของเขาไปมาก ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีใครเข้ามาที่นี่ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา

 

“แม่นางชิง ขอความกรุณาด้วย”

 

ฉีหมิงยิ้ม เขากำลังรอดูว่านางจะทำลายผนึกได้อย่างไร

 

ชิงจู้เหิงก้าวออกไปอย่างไร้อารมณ์ ชุดคลุมสีเพลิงของนางพริ้วไหวในวารี นางขยับตัวสร้างผนึกพลังจากปลายนิ้ว พยัคฆ์ทมิฬตัวใหญ่ก่อตัวขึ้นที่ข้างหลังนาง

 

เจิ่งปิงเริ่มระวังตัว

 

“วิชาอัญเชิญวิญญาณงั้นรึ? เป็นไปได้ยังไง? วิชาลึกลับเช่นนี้มีแต่ในครั้งโบราณ ชิงจู้เหิงเป็นใครกันแน่?”

 

แม้แต่ฉีหมิงก็ตกใจ เขาแอบมองนางด้วยสายตาประหลาด