บทที่ 315 ข้าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
แต่ช่างน่าเศร้าที่คำสาบานของหลินเป่ยเฉินไม่ก่อให้เกิดผลใดๆ เลย
เจ้าหน้าที่มือปราบ 4 นายกรูเข้ามาห้อมล้อมเด็กหนุ่มเอาไว้ทั้งซ้ายและขวา
เจ้าหน้าที่ทั้ง 4 นายนี้มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 6
หลินเป่ยเฉินคำนวณดูความเป็นไปได้ หากเขาทุ่มเทสุดกำลังน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 30 ลมหายใจหลบหนีการจับกุมตัวได้สำเร็จ แต่นั่นต้องมีเจ้าหน้าที่มือปราบแค่ 2 คนเท่านั้น แต่นี่เล่นยกโขยงกันมาถึง 4 คน หลินเป่ยเฉินรู้ชะตากรรมแล้วว่าเขาไม่มีทางหลบหนีได้เลย
ให้ตายสิ
เขาอุตส่าห์ออกปากสาบานแล้วแท้ๆ
ทำไมถึงไม่มีใครเชื่อใจกันบ้างเลยนะ
หลินเป่ยเฉินบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ
ไม่นานหลังจากนั้น องค์ชายเจ็ด ถังกู่จิน หลิงจุนเซวียนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกหลายชีวิต ก็ออกเดินทางตรงไปที่จวนสกุลหลินทันที
ไป๋ไห่ชินไม่ได้ติดตามไปด้วย
เขาอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าดูหลินเป่ยเฉิน
บรรยากาศในลานจัตุรัสกลับมาอยู่ภายใต้ความสงบอีกครั้ง
สายตาจำนวนมากจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัย
การเป็นสาวกปีศาจคือความผิดที่ไม่อาจให้อภัย มันเท่ากับเป็นการทรยศต่อความศรัทธาของผู้คน แม้แต่องค์จักรพรรดิหากถูกกล่าวหาเช่นนี้ ก็จะต้องรับบทลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดเช่นกัน
“ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ องค์ชายเจ็ดกับใต้เท้าหลิงจะต้องทวงคืนความยุติธรรมมาให้ท่านได้แน่นอน”
เยว่หงเซียงพยายามปลอบใจ
หลินเป่ยเฉินได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร
น้องสาวเอ๋ย ทำไมถึงได้โลกสวยขนาดนี้นะ
รู้ทั้งรู้ว่าพ่อเขาสร้างห้องใต้ดินไว้บูชาปีศาจขนาดนั้น ยังจะมองโลกในแง่ดีได้อีก
ฮันปู้ฟู่ก็พยายามให้กำลังใจเช่นกัน “ศิษย์น้องหลินไม่ต้องเป็นห่วง หากมีผู้คนใส่ร้ายเจ้า เดี๋ยวความจริงก็เปิดเผยออกมาเองนั่นแหละ”
มี่หรู่หยานพูดว่า “พวกเราทุกคนสามารถเป็นพยานให้ท่านได้”
ไป๋ชินหยุนพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “มิผิด อย่าลืมสิว่าข้ามีเงินมากมายขนาดไหน หลินเป่ยเฉินผู้น่ารัก ถ้าเกิดเจ้าต้องติดคุกขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยวข้าจะใช้เงินทั้งหมดประกันตัวเจ้าออกมาเอง”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขาเพิ่งจะสูญเสียตำแหน่งผู้ชนะการแข่งขันประจำปีไปไม่ทันไร ยัยเด็กแซ่ไป๋กลับมาเรียกเขาเป็นเพื่อนเล่นอีกแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้ ไป๋ไห่ชินหัวเราะในลำคออย่างมีความสุข
เด็กพวกนี้น่ะหรือที่จะมาเป็นพยานให้แก่หลินเป่ยเฉิน?
เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าพวกเจ้าจะเอาตัวเองไม่รอดด้วยซ้ำ
ฉู่เหินและคณะอาจารย์คนอื่นๆ เดินขึ้นมาบนเวที แต่ยังไม่ทันจะเข้าถึงตัวหลินเป่ยเฉิน เจ้าหน้าที่มือปราบทั้ง 4 นายก็ได้ขยับมายืนขวาง คณะอาจารย์จึงทำได้เพียงยืนพูดปลอบใจเด็กหนุ่มอยู่ตรงนั้น ไม่กี่อึดใจให้หลัง ก็เริ่มมีเสียงตะโกนให้กำลังใจจากเพื่อนร่วมสถาบันดังออกมาจากกลุ่มคนดูบ้างแล้ว
ห่างออกมาไม่ไกล
ภายใต้รูปปั้นเทพีกระบี่
ดวงตาของนักพรตหญิงชินจับจ้องที่หลินเป่ยเฉิน
ดวงตาของนางปราศจากอารมณ์ความรู้สึก นักพรตหญิงชินเพียงจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลาด้วยเหตุผลบางประการ
แล้วกาลเวลาก็เดินผ่านไป
มีคนมาชุมนุมกันที่จัตุรัสหน้าวิหารมากขึ้นเรื่อยๆ
เสียงพูดคุยยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ
“มีห้องบูชาปีศาจถูกสร้างอยู่ที่จวนสกุลหลินอย่างนั้นหรือ?”
“มันก็พูดยากนะ…”
“เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะถูกใส่ร้าย?”
“บัดนี้องค์ชายเจ็ด ผู้ตรวจการมณฑลถังกู่จิน และท่านเจ้าเมืองหลิงจุนเซวียน กำลังเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยตนเองแล้ว”
“แต่เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือว่าในช่วงหลังหลินเป่ยเฉินมีระดับพลังน่ากลัวขนาดไหน จากคนโหลยโท่ยกลายมาเป็นยอดอัจฉริยะในเวลาเพียงไม่นาน มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน”
“มิหนำซ้ำ พลังของเขามันก็แปลกๆ…”
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่านั่นเป็นพลังปีศาจ หรือว่าเจ้าเป็นสาวกปีศาจเสียเอง?”
เริ่มเกิดการโต้เถียงขึ้นในกลุ่มคนดู
ไป๋ไห่ชินรับฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“อาจารย์ขอรับ… อาจารย์ ช่วยข้าด้วย… ข้าเจ็บเหลือเกิน… ช่วยข้าด้วยขอรับ…”
พลัน เฉาพั่วเถียนที่นอนอยู่บนเปลหามร้องครวญครางออกมาอย่างน่าเวทนา ร่างกายที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลชักกระตุกอยู่ตลอดเวลา
ไป๋ไห่ชินเดินเข้าไปส่ายหน้าและพูดว่า “ลูกศิษย์เอ๋ย เจ้าถูกพลังปราณปีศาจเล่นงาน อาจารย์ไม่สามารถช่วยเจ้าได้เลย ได้โปรดอดทนอีกสักนิด อาจารย์จะฆ่าหลินเป่ยเฉินเพื่อแก้แค้นให้เจ้าเอง…”
“ไม่เอาแล้วขอรับอาจารย์ ข้าน้อย…” เฉาพั่วเถียนพูดด้วยน้ำเสียงหมดหวัง “ได้โปรดอาจารย์ฆ่าข้าทิ้งเสียเถิด… ปลดปล่อยข้าน้อยให้เป็นอิสระ ข้าน้อยทนเจ็บปวดไม่ไหวอีกแล้ว”
ดูจากสีหน้าของเด็กหนุ่มผมทอง สำหรับเขา การมีชีวิตอยู่ก็ไม่แตกต่างไปจากการตกนรกทั้งเป็น
ไป๋ไห่ชินยังคงส่ายหน้า และหันมาพูดผ่านกระแสจิตแทนว่า “เฉาพั่วเถียน เจ้าจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป มิเช่นนั้นแล้ว ข้าจะแก้แค้นอาจารย์ของเจ้าได้อย่างไร?”
เฉาพั่วเถียนสะดุ้งเฮือก
ไม่รู้ทำไม เขากลับรู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
เด็กหนุ่มผมทองพลันเริ่มคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
แต่จังหวะนั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นจากที่ห่างไกล
ปรากฏว่ากลุ่มคนที่เดินทางไปสืบสวนที่เกิดเหตุในจวนสกุลหลิน ได้เดินทางกลับมาถึงวิหารเทพกระบี่แล้ว
หลินเป่ยเฉินหันหน้ามองด้วยความสนใจ
องค์ชายเจ็ดและหลิงจุนเซวียนมีสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด
มีเพียงถังกู่จินคนเดียวเท่านั้นที่พยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ แต่ถึงอย่างนั้น มุมปากของเขาก็ได้ปรากฏรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
หลินเป่ยเฉินหัวใจหล่นวูบ
งานเข้าแน่ๆ อีแบบนี้
นับว่าบิดาเขาสร้างห้องใต้ดินเอาไว้ฝังบุตรชายตนเองแท้ๆ
ภายใต้การจับจ้องของสายตาผู้คนจำนวนมาก หลิงจุนเซวียนเดินกลับขึ้นมายืนอยู่บนเวทีอีกครั้ง เขาหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ และหันกลับไปพูดกับกลุ่มคนดู “จากการสืบสวนห้องใต้ดินที่จวนสกุลหลิน พวกเราก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าห้องใต้ดินแห่งนั้น ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่บูชาปีศาจจริงๆ มันถูกสร้างขึ้นมาได้สิบกว่าปีแล้ว หลักฐานสำคัญคือแท่นบูชาปีศาจที่พบอยู่ในห้องใต้ดิน มีสภาพการใช้งานที่บอกชัดว่า…”
พูดมาถึงตรงนี้ท่านเจ้าเมืองก็หยุดเล็กน้อย
หัวใจของผู้คนที่ยืนอยู่รอบตัวหลิงจุนเซวียนแทบจะหยุดเต้นด้วยความลุ้นระทึก
ได้ยินหลิงจุนเซวียนกล่าวต่อ “สภาพการใช้งานของมันบอกว่าแท่นบูชาปีศาจถูกสร้างขึ้นมานานแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใส่ความผู้คน นั่นเท่ากับว่าบิดาของหลินเป่ยเฉินใช้งานมันเพื่อบูชาปีศาจจริงๆ”
ชาวเมืองส่งเสียงอุทานออกมาดังสับสนอลหม่าน
เสียงอุทานของทุกคนดังไม่ต่างไปจากเสียงคลื่นลมในมหาสมุทรยามเกิดพายุ
ฉู่เหิน หลิวฉีไห่และพานเว่ยหมินยืนตกตะลึง
คณะอาจารย์คนอื่นๆ และลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามยืนทำอะไรไม่ถูก
ผู้เข้าแข่งขันรอบศึกชิงธงที่ยืนร่วมอยู่บนเวที ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน
แต่คนที่ตกตะลึงมากที่สุดก็คือหลินเป่ยเฉิน
“เป็นไปไม่ได้”
เขาตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว
แต่ไม่มีใครเชื่อหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
ชาวเมืองที่เคยตะโกนเรียกชื่อและปรบไม้ปรบมือให้กำลังใจเขาอยู่เมื่อสักครู่นี้ กำลังจ้องมองเขาเหมือนเด็กหนุ่มเป็นปีศาจร้ายตนหนึ่ง
ทุกอย่างกลับไปสู่จุดเริ่มต้นตอนที่เขาทะลุมิติมาอยู่ที่นี่วันแรก
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนเทวดาตกสวรรค์ ความใฝ่ฝันทุกอย่างพังทลาย ความรู้สึกเดียว ณ บัดนี้ที่สัมผัสได้ ก็คือความเกลียดชังของผู้คนนับหมื่นที่พุ่งตรงมาหาเขาเป็นจุดเดียว
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉิน เจ้ามีคำใดจะพูดอีกหรือไม่?”
ไป๋ไห่ชินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ
หลินเป่ยเฉินสวนกลับไปเสียงแข็งกระด้าง “สิ่งที่บิดาของข้าเคยทำไว้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าด้วยสักหน่อย อีกอย่างข้าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ซ้ำยังเป็นเด็กที่สมองมีปัญหา…”
“นั่นเป็นเพราะว่าบิดาเจ้าตามใจเจ้ามากเกินไปต่างหาก ทุกคนในเมืองรู้ดี แล้วทำไมเจ้าถึงยังไม่รู้ตัวอีก?” ไป๋ไห่ชินแสยะยิ้มเหยียดหยาม “ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสาวกปีศาจก่อนหน้านี้ จะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าเลยอย่างนั้นหรือ? ไม่ว่าจะเป็นเซินเฟยหรือใต้เท้าฟาง ต่างก็ต้องตายเพราะถูกพลังปราณปีศาจเล่นงานหลังมีปัญหากับเจ้า เฉาพั่วเถียนลูกศิษย์ของข้าที่ต่อสู้กับเจ้า ก็ถูกพลังปราณปีศาจเล่นงานเช่นกัน… หรือเจ้าจะบอกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ?”
“สิ่งที่ข้ากำลังจะบอกก็คือ…” หลินเป่ยเฉินอยากจะโต้เถียงกลับไปแต่ก็พูดไม่ออก
เพราะว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
เด็กหนุ่มพบว่าตนเองไม่มีหนทางอธิบายความบริสุทธิ์ได้เลย
“เจ้าหน้าที่ คุมตัวหลินเป่ยเฉินไปขังคุก ยุติพิธีมอบรางวัลผู้ชนะประจำปีไว้เพียงเท่านี้ รอจนกระทั่งสืบสวนได้ความจริงเมื่อไหร่ เราจะมาตัดสินใจกันอีกที”
หลิงจุนเซวียนออกคำสั่งเสียงดังเฉียบขาด
“ช้าก่อน”
ทันใดนั้น ถังกู่จินเดินออกมาข้างหน้า
ผู้ตรวจการมณฑลร่างผอมบางขึ้นมายืนอยู่บนเวที เขากวาดตามองชาวเมืองที่อยู่ด้านล่างและพูดเสียงดังฟังชัด “ข้าเชื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จำเป็นต้องอธิบายให้ชาวเมืองทุกคนได้รับฟัง การสืบสวนหลินเป่ยเฉินจะเกิดขึ้นที่นี่ ต่อหน้าประชาชนและการถ่ายทอดสด มีแต่ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้นถึงจะป้องกันไม่ให้เกิดการช่วยเหลือผู้กระทำผิดได้… หึหึ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เมื่อคืนข้าได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปสืบสวนเรื่องราวบางอย่างและได้พบหลักฐานมากมายที่สามารถเอาผิดหลินเป่ยเฉินได้อย่างแน่นหนา เมื่อประกอบกับการค้นพบห้องบูชาปีศาจในจวนสกุลหลิน ข้าก็เชื่อว่าเด็กหนุ่มผู้ชั่วร้ายคนนี้ ไม่มีทางรอดพ้นโทษประหารได้เด็ดขาด…”
ถังกู่จินตบมือส่งสัญญาณและพูดว่า “เบิกตัวพยานมาเดี๋ยวนี้ !”