บทที่ 316 คนจะซวยช่วยไม่ได้

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 316 คนจะซวยช่วยไม่ได้

มีพยานด้วยอย่างนั้นหรือ?

ความสงสัยปรากฏขึ้นบนสีหน้าของชาวเมือง

ไม่มีใครรู้เลยว่าถังกู่จินได้ค้นพบอะไรมา

กลุ่มคนแหวกออกเป็นทาง

เจ้าหน้าที่มือปราบจำนวนหลายสิบนายเดินเข้ามา

ทุกสายตาจ้องมองไปยังเจ้าหน้าที่มือปราบเหล่านั้น

“เป็นเจ้าพวกนี้เองหรือ?” หลินเป่ยเฉินเบิกตามองกลุ่มเด็กหนุ่มและเด็กสาวที่เดินตามหลังขบวนเจ้าหน้าที่

กวนเฟยตู้ มู่ซินเยว่ อู๋เสี่ยวฟาง เจาอู๋หยาง…

นอกจากนั้นก็ยังมีลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม และคณะอาจารย์อีกหลายคน

รวมถึงหญิงชราและชายชราที่หลินเป่ยเฉินเคยเห็นหน้าค่าตาอยู่บ้าง แต่เขาจำชื่อไม่ได้

“หลินเป่ยเฉิน เจ้ารู้จักคนพวกนี้หรือไม่?”

ถังกู่จินหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและถามด้วยน้ำเสียงสอบสวน

สายตาของทุกคนหันมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉินอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปโดยไม่ลังเล “ไม่รู้จัก”

ก่อนหน้านี้ พวกของฉู่เหินก็มีความวิตกกังวลอยู่มากแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กหนุ่ม พวกเขาก็แทบจะกระอักเลือดตาย

นี่มันโกหกกันหน้าด้านๆ เลยไม่ใช่หรือไง?

หลินเป่ยเฉินจะไม่รู้จักคนเหล่านั้นได้อย่างไร?

ถังกู่จินยืนนิ่ง เหมือนคิดไม่ถึงเช่นกันว่าเด็กหนุ่มจะหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้ สุดท้ายเขาก็แค่นหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้จักแน่นะ? พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมสถาบันของเจ้า บางคนก็เคยเป็นข้ารับใช้ในจวนสกุลหลินมาก่อน หลินเป่ยเฉิน ทุกคำพูดของเจ้าจะถูกบันทึกเอาไว้ใช้เป็นหลักฐาน ข้าหวังว่าเจ้าจะตอบคำถามตามความจริง”

หลินเป่ยเฉินสวนกลับไปเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ “สถาบันของข้ามีลูกศิษย์เป็นพันคน ข้าจะไปจำพวกเขาหมดได้อย่างไร? แล้วพวกคนรับใช้ในจวนสกุลหลินก็มีอยู่หลายร้อยชีวิต ข้าจำพวกเขาได้ไม่หมดหรอก ยิ่งไปกว่านั้น บ้านข้าออกจะใหญ่โต ดีไม่ดีข้ายังเห็นหน้าพวกคนใช้ได้ไม่ครบหมดทุกคนเลยด้วยซ้ำ…”

“เจ้านี่มันหน้าไม่อายเหลือเกิน” ไป๋ไห่ชินหัวเราะเยาะ

“หลินเป่ยเฉิน เจ้าโต้แย้งไปก็เปล่าประโยชน์ มาดูกันเถอะว่าพยานเหล่านี้มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเจ้าบ้าง” ถังกู่จินพยักหน้า

อู๋ซางหยาน หัวหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบยกมือส่งสัญญาณ และคนผู้หนึ่งที่เด็กหนุ่มไม่รู้จักก็ถูกนำตัวออกมาข้างหน้า

“พยานคนนี้เคยเป็นข้ารับใช้ให้กับบิดาของหลินเป่ยเฉิน เขาสามารถยืนยันได้ว่าหลินเป่ยเฉินเข้าพักอยู่ในบ้านที่มีห้องใต้ดินบูชาปีศาจ…”

“ข้าน้อยมีนามว่าหวังปู่เอ้อร์ มีสถานะเคยเป็นข้ารับใช้อยู่ในจวนสกุลหลิน และข้ามาที่นี่เพื่อยืนยันว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดนั้นเป็นความจริง สมัยก่อนข้าทำงานเป็นคนสวน หลังออกแบบเรือนเพาะแล้ว นายท่านก็สั่งให้ข้าช่วยออกแบบห้องใต้ดินในบ้านพักหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนายน้อย…”

“นับตั้งแต่ที่นายน้อยยังเป็นทารก เขาเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูจากแม่นม เพราะมารดาที่แท้จริงของเขาเสียชีวิตไปหลังการคลอดบุตร ภายหลังเกิดข่าวลือว่านายน้อยมีปัญหาทางด้านสมองและชอบทำร้ายคนรับใช้ นายท่านถึงกับเรียกกลุ่มคนรับใช้มาลงโทษที่มีข่าวลือนี้หลุดรอดออกไปสู่โลกภายนอก”

“แต่เรื่องราวที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นายน้อยจะตระเวนรักษาอาการทางสมองไปทั่วจักรวรรดิ อาการของเขาก็ไม่เคยดีขึ้นเลย แต่เมื่อนายน้อยมาพักรักษาตัวอยู่ในบ้านที่มีห้องใต้ดินอยู่ด้านล่าง อาการของเขากลับดีขึ้นอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ และสุดท้ายก็กลับกลายเป็นคนปกติผู้หนึ่ง…”

“ข้าเป็นคนออกแบบห้องใต้ดินก็จริง แต่ไม่มีส่วนรู้เห็นในการก่อสร้างด้วยเลย นั่นเป็นเพราะว่านายท่านใช้คนงานก่อสร้างจากที่อื่น และเกิดข่าวลือขึ้นในภายหลังว่าคนงานเหล่านั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นนายทหารจากกองทัพ”

เมื่อจบการให้ปากคำจากหวังปู่เอ้อร์ บุคคลต่อมาที่ขึ้นให้การก็คือหลินเอ้อร์เหนียง ซึ่งเป็นหมอตำแยที่ทำคลอดในเมืองหยุนเมิ่งมายาวนานมากกว่า 30 ปี

“ข้าจำได้ดีว่าในคืนที่คุณชายหลินถือกำเนิด ทันทีที่เขาแผดเสียงร้อง ท้องฟ้าก็ส่งเสียงคำราม แล้วอยู่ดีๆ ฝนก็ตกลงมาเหมือนมีพายุใหญ่ตลอดทั้งคืน มิหนำซ้ำ ท้องทะเลยังปั่นป่วนมีคลื่นลมแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ได้ข่าวว่ามันเป็นคืนที่มีเรือประมงล่มไปหลายลำ และหลังจากที่ให้กำเนิดคุณชายหลินออกมาแล้ว มารดาของเขาก็เสียชีวิตเพราะเสียเลือดมากเกินไป… นี่คือตราบาปในชีวิตของข้า ตลอดชีวิตของการเป็นหมอตำแย นี่เป็นเพียงครั้งเดียวที่มารดาของเด็กต้องเสียชีวิต ช่างน่าสงสารนางยิ่งนัก…”

ผู้ที่ขึ้นให้การเป็นคนต่อมาเคยเป็นอดีตสาวรับใช้ในจวนสกุลหลิน

“ข้าเคยรับใช้อยู่ในจวนสกุลหลินตั้งแต่ตอนที่คุณชายยังมีอายุไม่ถึง 5 ขวบ จึงได้เห็นพัฒนาการของเขาตั้งแต่แรกเจ้าค่ะ คุณชายไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนปกติได้ เพราะถ้าอาการกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาจะกลายเป็นเด็กที่โมโหร้ายและก้าวร้าว…”

“นายท่านต้องพาคุณชายไปหาหมอทั่วทั้งจักรวรรดิ ทว่าก็ไม่มีหนทางรักษาคุณชายได้เลย แต่เมื่อเติบโตขึ้น อาการของคุณชายก็ค่อยๆ ทุเลาลง ในยามที่เขาเป็นปกติ คุณชายหลินถือว่าเป็นเด็กอัจฉริยะคนหนึ่ง เพียงอายุ 5 ขวบ คุณชายก็… สนใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงแล้ว…”

“…เขามักจะกระทำเรื่องราวต่างๆ กับสาวรับใช้ ในรูปแบบที่เด็กน้อยคนอื่นไม่มีทางทำได้เด็ดขาด สาวรับใช้คนหนึ่งทนทรมานอยู่ถึงหนึ่งเดือนเต็ม นางจึงได้หาข้ออ้างลาออกจากจวนสกุลหลิน แต่เนื่องจากนายท่านเป็นคนดี นางจึงไม่เคยคิดนำเรื่องนี้มาเปิดเผยต่อผู้ใดให้เป็นที่เสื่อมเสีย และการที่พวกเรามาให้การในวันนี้ ทุกคนมาด้วยความตั้งใจของตนเอง ไม่มีใครว่าจ้างมาทั้งสิ้น ข้าน้อยขอยืนยันว่าทุกสิ่งที่กล่าวออกไปนั้นเป็นความจริงทั้งหมด…”

เชี่ย!

หลังได้ยินคำให้การ หลินเป่ยเฉินก็ได้แต่สบถออกมาเท่านั้น

แม่ง

ทำไมหลินเป่ยเฉินตัวจริงถึงได้เป็นเด็กเปรตขนาดนั้น

อายุแค่ 5 ขวบ ก็รู้จักการลวนลามผู้หญิงแล้วเหรอ

ต้องเป็นเด็กที่มีจิตใจลามกขนาดไหนกันนะ

สงสัยคงต้องหิวมากแน่ๆ

แต่อยากยิงปืนแต่ไม่มีกระสุน แล้วจะทำเรื่องนั้นได้อย่างไร

ทว่า เมื่อมองสีหน้าของกลุ่มคนที่เคยเป็นข้ารับใช้ในจวนสกุลหลิน เด็กหนุ่มก็พบกับความใสซื่อบริสุทธิ์ จนตัวเขาเองก็ต้องเชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนพูดออกมาคือความจริง

ชักน่าสนใจแล้วสิ

พ่อของเขาทำอะไรเอาไว้กันแน่

“ฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉิน เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม?” ไป๋ไห่ชินหัวเราะในลำคอ “ยังคิดที่จะปฏิเสธอยู่อีกหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินไม่ให้ความสนใจชายชราเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะเหลียวมอง

สีหน้าของคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนไปแล้ว

โดยเฉพาะหลิงจุนเซวียนที่มีสีหน้าลำบากใจมากที่สุด

องค์ชายเจ็ดหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินอย่างใช้ความคิด

แม้แต่ฉู่เหิน พานเว่ยหมินและคนอื่นๆ ก็ไม่รู้แล้วว่าจะช่วยแก้ต่างให้แก่หลินเป่ยเฉินอย่างไรดี

บรรดาคนรับใช้เหล่านี้มีชื่อเสียงเรียงนามชัดเจน สามารถตรวจสอบประวัติได้ว่าเคยทำงานอยู่ในจวนสกุลหลินจริงหรือไม่ และนี่ยังเป็นการสืบสวนที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วเมือง ไม่มีทางเลยที่กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบจะว่าจ้างคนธรรมดามาใส่ร้ายหลินเป่ยเฉิน

เมื่อนำคำให้การของทุกคนมารวมกัน ก็สรุปได้ใจความว่า

ในวันที่หลินเป่ยเฉินถือกำเนิดขึ้นมา เมื่อเขาแหกปากร้อง ท้องฟ้าก็เกิดความวิปริตแปรปรวน อากาศเกิดความปั่นป่วน และมารดาของเขาก็ต้องเสียชีวิตเพราะตกเลือดมากเกินไป

อาการทางสมองของหลินเป่ยเฉินสามารถดีขึ้นมาได้เองอย่างเป็นปริศนา บ่งชี้ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับห้องบูชาปีศาจใต้ดินแน่นอน

และถ้าจะนำข้อมูลทั้งหมดมาเชื่อมโยงกัน ก็จะได้ข้อสันนิษฐานที่น่าตกตะลึง

อย่างเช่น หลินเป่ยเฉินเป็นสาวกปีศาจตั้งแต่เกิดใช่หรือไม่?

บิดาของเขารู้เรื่องนี้มานานแล้ว จึงพยายามหาทางปกปิดมาตลอด

ไม่ว่าบิดาของเขาจะเป็นสาวกปีศาจด้วยหรือไม่ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือหลินจิ้นหนานเคยสร้างความดีความชอบเอาไว้มากมายในสนามรบ และช่วยทำให้ภาพลักษณ์ของกระทรวงกลาโหมเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งน่าหวาดกลัว

บัดนี้ สายตาของชาวเมืองที่มองหลินเป่ยเฉินเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ