บทที่ 317 ความผิดรัดตัว
ถังกู่จินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หลินเป่ยเฉิน เจ้าจะยอมรับตามที่พยานกล่าวอ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดด้วยสีหน้าจริงจัง สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่าเงียบเอาไว้ก่อนดีกว่า
คราวนี้ ทำตัวฉลาดไปก็ไร้ประโยชน์
หลินเป่ยเฉินเริ่มเกิดสังหรณ์ที่ไม่เป็นมงคลขึ้นมาอีกแล้ว
ฝ่ายตรงข้ามเตรียมตัวมาดีเกินไป
ถึงเขาจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่มันก็ยากที่จะพิสูจน์ความจริง
หรือต่อให้สิ่งที่คนรับใช้เหล่านั้นพูดออกมาคือความจริง แต่เขาก็ไม่รู้เรื่องด้วยอยู่ดี
ถังกู่จินกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร งั้นมาดูกันเถิดว่าเพื่อนร่วมสถาบันของเจ้าจะพูดว่าอย่างไรบ้าง”
อู๋ซางหยานที่ยืนอยู่ด้านข้างผู้ตรวจการมณฑลยกมือขึ้นโบกสะบัด
อู๋เสี่ยวฟางเป็นคนแรกที่เดินออกมาข้างหน้าด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา “ข้าน้อยมีนามว่า… อู๋เสี่ยวฟาง เป็นลูกศิษย์ชั้นปีที่ 2 ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม หลินเป่ยเฉินสามารถเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบคัดเลือกได้ ก็เพราะเขาสอบได้เป็นอันดับหนึ่งของสถาบัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ระดับพลังยุทธ์ของเขายังต่ำต้อย สติปัญญามืดบอด แต่เมื่อได้รับทราบว่าจวนสกุลหลินถูกบุกยึด หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ระดับพลังยุทธ์เริ่มแข็งแกร่งมากขึ้น…”
กวนเฟยตู้เดินออกมากัดฟันกรอดและพูดว่า “ข้าน้อยยืนยันในเรื่องนั้นได้ ทุกคนในสถานศึกษากระบี่ที่สามรู้ดีว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นคนเช่นใด…”
มู่ซินเยว่ก็เดินออกมาข้างหน้าเช่นกัน
ทุกคนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงในความสวยงามของเด็กสาว
นางสวมใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินซึ่งเป็นเครื่องแบบของสถานศึกษากระบี่ที่สาม ผมยาวสลวยผูกรวบเป็นหางม้า ร่างกายบอบบาง ใบหน้าขาวเนียนปราศจากราคี เพียงได้จ้องมอง บุรุษจำนวนมากก็รู้สึกว่าอยากจะดูแลนางไปตลอดชีวิต
หลังจากจ้องมองหลินเป่ยเฉินอยู่นานสองนาน ในที่สุดมู่ซินเยว่ก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“ข้ามีนามว่ามู่ซินเยว่ เป็นลูกศิษย์ชั้นปีที่ 2 จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม มีสถานะเป็นเพื่อนร่วมสถาบันของหลินเป่ยเฉิน และครั้งหนึ่งได้เคยเป็นเพื่อนสนิทของเขา…”
เด็กสาวเรียบเรียงคำพูดอย่างระมัดระวัง
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนนี้ทำให้มู่ซินเยว่ได้รับทราบแล้วว่ากำลังจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น อย่างแรกคือมีคนพยายามเอาผิดหลินเป่ยเฉิน และบุคคลเหล่านั้นก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการเสียด้วย เพราะฉะนั้น นางจะทำตัวยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับหลินเป่ยเฉินไม่ได้เด็ดขาด
มู่ซินเยว่รู้ดีว่าคนเหล่านั้นมีอำนาจมากมายเพียงใด
แค่ยกมือออกคำสั่ง นางก็สามารถถูกนำตัวไปประหารชีวิตได้ทันที
แต่สำหรับมู่ซินเยว่ นี่คือโอกาสพลิกชีวิตต่างหาก
ถ้าอยากออกไปจากเมืองนี้เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ได้ ก็มีแต่ต้องยอมเป็นพวกเดียวกับผู้มีอำนาจเท่านั้น
นั่นหมายความว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องตาย!
อีกอย่าง มู่ซินเยว่คิดว่าตนเองไม่ได้ใส่ความอันใดเขาเลย นางเพียงพูดสิ่งที่ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว
“ข้าเคยคิดว่าตนเองรู้จักหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ของพวกเราค่อนข้างสนิทสนมกันมากๆ” มู่ซินเยว่มีสีหน้าเยือกเย็น อากัปกิริยาดูสงบสุขุมและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอู๋เสี่ยวฟางกับกวนเฟยตู้
“หลายครั้งหลินเป่ยเฉินก็ประพฤติตัวเป็นคนดี ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือข้าน้อยยามลำบาก แต่บางครั้งเขาก็ทำตัวน่ารำคาญ น่าจะเป็นเพราะอาการทางสมองของเขากำเริบ… ระดับพลังก่อนเริ่มการสอบกลางภาคของเขาอยู่ในระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน”
“แต่เพราะเหตุใดไม่ทราบ หลังได้รับทราบข่าวการบุกยึดจวนสกุลหลิน อยู่ดีๆ เขากลับมีความสามารถแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ แล้วเขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน มีลูกศิษย์ร่วมสถาบันหลายคนที่เคยถูกเขารังแกอยากจะแก้แค้น แต่ข้าก็เข้าไปขัดขวางเอาไว้ นอกจากนั้นก็ยังมีอันธพาลในเมืองจำนวนมากมาดักรอเขาอยู่ที่หน้าสถาบัน แต่เรื่องนั้นข้าไม่สามารถช่วยเหลือได้ หลินเป่ยเฉินมีแต่ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในสถานศึกษา ไม่กล้าออกไปไหนอีกแล้ว…”
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย มู่ซินเยว่ก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
เด็กสาวพบว่าเขาก็กำลังมองมาที่นางอยู่เช่นกัน แต่สีหน้าไม่ได้แสดงความโกรธแค้นออกมาอย่างที่คิด
หลินเป่ยเฉินมีความสงบสุขุมได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นี่คือความสงบก่อนพายุใหญ่โหมกระหน่ำหรือไม่?
หรือว่าเขายอมรับโชคชะตาแล้ว?
มู่ซินเยว่สลัดความคิดฟุ้งซ่านและเริ่มให้การต่อไป
แต่ก็ไม่มีข้อมูลไหนน่าสนใจ นอกจากเรื่องที่ว่าอยู่ดีๆ หลินเป่ยเฉินก็มีพลังแข็งแกร่งมากขึ้น
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงคำที่ว่า ‘หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน’ มู่ซินเยว่ย้ำประเด็นนี้อยู่ถึง 4 รอบ สุดท้ายเด็กสาวก็สรุปความออกมาได้ว่า “เขาเคยทำดีกับข้าเสมอ ข้ารู้ว่าเขาหลงรักข้า แต่หลังจากคฤหาสน์สกุลหลินถูกบุกยึดโดยเจ้าหน้าที่ หลินเป่ยเฉินก็ไม่สนใจในตัวข้าอีกต่อไป เขาทำเหมือนข้าเป็นคนแปลกหน้า ข้ารู้สึกเหมือนตนเองไม่มีตัวตน ไม่รู้ว่าทำไม แต่ข้าเข้าใจว่านั่นคือความรู้สึกที่แท้จริงของเขา”
มู่ซินเยว่ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเสริมเติมแต่งอะไรอีก
นางเพียงรายงานทุกอย่างด้วยมุมมองของอดีตคนรัก และทุกอย่างที่กล่าวออกมาก็เป็นความจริง
แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่ใช่ความจริง
นี่แทบจะเป็นตะปูตอกฝาโลงให้เขาแล้ว
ชาวเมืองที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณลานจัตุรัสหน้าวิหารเริ่มส่งเสียงพูดคุยดังมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่อยู่ดีๆ เจ้าแกะดำจะกลายเป็นยอดอัจฉริยะขึ้นมาในเวลาเพียงไม่กี่วัน
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากเกินไปนำมาสู่ความน่าสงสัย
มู่ซินเยว่หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าขอโทษนะ”
พูดจบแล้ว เด็กสาวก็หมุนตัวเดินกลับไป
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคปิดท้าย เจ้าหน้าที่มือปราบระดับเหรียญเงินที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ก็อดปรบมือด้วยความชื่นชมไม่ได้
สมบูรณ์แบบเหลือเกิน
มู่ซินเยว่มีทั้งความฉลาดเฉลียว สามารถแสดงละครตบตาได้แนบเนียน จิตใจอำมหิต ดูจากสถานการณ์ขณะนี้แล้ว ไม่มีใครเหมาะสมต่อการตอกตะปูปิดฝาโลงให้แก่หลินเป่ยเฉินได้ดียิ่งไปกว่านางอีก
หลังจากนั้น กลุ่มลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามคนอื่นๆ ก็ออกมาพูดถึงหลินเป่ยเฉินไปในทิศทางเดียวกัน ว่าเจ้าแกะดำเปลี่ยนไปเป็นคนละคนในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น…
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าจะยอมรับในคำให้การของทุกคนหรือไม่?”
ถังกู่จินถามออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงดังกังวาน
“ข้าจะไม่ตอบคำถามใดๆ ทั้งนั้น ข้าต้องการทนาย… เอ๊ย ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ปฏิเสธว่าคำให้การของพวกเขาเป็นเรื่องโกหก แต่มันไม่ใช่หลักฐานที่จะมายืนยันเอาผิดข้อกล่าวหาที่ท่านว่าร้ายข้าได้”
พูดจบแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ได้แต่กัดฟันกรอด
ภายนอกเขาดูสงบสุขุม แต่ภายในกำลังร้อนรนใจสุดขีด
“ฮ่าฮ่า มาถึงขั้นนี้เจ้ายังไม่ยอมรับผิดอีกหรือ?”
ถังกู่จินพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “แต่มันไม่สำคัญหรอก ข้ามีหลักฐานที่จะทำให้เจ้าปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป เจ้าหน้าที่ เบิกตัวพยานมาเดี๋ยวนี้”
หะ?
ยังมีพยานอีกเหรอ?
ทำไมไม่เบิกพยานออกมาให้มันจบๆ ไปรอบเดียวเลยวะ
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่มือปราบก็ช่วยกันยกเปลหามเด็กหนุ่มออกมาอีก 4 คน
ผู้คนที่นอนอยู่บนเปลหามนั้นประกอบไปด้วยหลินอี้ ตงฟางจัน มู่อวี่ซุนและเจิ้งโจว
ทุกคนเป็นสมาชิกร่วมกลุ่มของเฉาพั่วเถียน
เด็กหนุ่มทั้งสี่นอนครวญครางไม่ได้สติอยู่บนเปลหาม ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยอักขระสีดำแปลกประหลาด โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า มีสภาพเหมือนถูกน้ำหมึกราดรดใส่อย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าเห็นแล้วหรือยัง?” ถังกู่จินพูด “พวกเขาเป็นผู้ที่ต่อสู้กับกลุ่มของเจ้าในศึกชิงธงเมื่อวานนี้ หลังการต่อสู้จบลง ทุกคนก็มีสภาพเหมือนเฉาพั่วเถียน แต่โชคดีที่พวกเขาไม่ได้บาดเจ็บสาหัส เนื่องจากว่าพลังปราณปีศาจยังทะลวงเข้าไปในร่างกายได้ไม่ลึกมากพอ…”
หลินเป่ยเฉินพูดขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าไม่เคยต่อสู้กับพวกเขาสักคน แล้วอาการของพวกเขาจะเกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไร?”
“เจ้าไม่ได้ต่อสู้กับเด็กหนุ่มทั้ง 4 คนนี้ก็จริง แต่เป็นสมาชิกกลุ่มของเจ้าต่างหากที่ต่อสู้ด้วย” ถังกู่จินชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ จากนั้นจึงยกมือชี้มาที่ไป๋ชินหยุน เยว่หงเซียง ฮันปู้ฟู่และมี่หรู่หยาน “นำตัวเด็กพวกนั้นทั้งหมดออกมาข้างหน้าเดี๋ยวนี้!”
พลัน เจ้าหน้าที่มือปราบตรงเข้าไปควบคุมตัวพวกของฮันปู้ฟู่
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกด้วยความเดือดดาล “ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“ข้ามีเหตุผลที่จะสงสัยว่าสมาชิกร่วมกลุ่มของเจ้าก็เป็นสาวกปีศาจเช่นกัน เนื่องจากพวกเขายืมพลังจากตัวเจ้า หรือไม่ก็เป็นเจ้าที่มอบพลังออกไปเพื่อควบคุมทุกคน และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้พวกของหลินอี้ต้องมีสภาพเป็นเช่นนี้…” ถังกู่จินพูดด้วยสีหน้าดุดัน “สมาชิกร่วมกลุ่มของเจ้า จะต้องถูกควบคุมตัวเพื่อทำการสืบสวน ห้ามไปไหนเด็ดขาด”
“ว่าไงนะ” ไป๋ชินหยุนพยายามดิ้นรนขัดขืนและตะโกนคำหยาบตลอดเวลา
มี่หรู่หยาน เยว่หงเซียงและฮันปู้ฟู่ก็พยายามโต้แย้งเช่นกัน
ถังกู่จินยิ้มเยือกเย็นพูดว่า “พวกเจ้าสามารถอธิบายเหตุผลได้จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นผู้ที่มีฝีมืออ่อนแออย่างพวกเจ้า อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้แข็งแกร่งจนสามารถเอาชนะพวกของหลินอี้ได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น? เวลาเพียงชั่วข้ามคืนทำไมระดับพลังของพวกเจ้าถึงได้สูงส่งมากกว่าเดิมหลายเท่า อย่าว่าแต่นี่คือความเปลี่ยนแปลงของหลินเป่ยเฉิน ข้าคิดว่าทุกคนที่รับชมการถ่ายทอดสดเมื่อวานนี้ ต่างก็สงสัยในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน !”