บทที่ 318 ผู้ที่ถูกเลือก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 318 ผู้ที่ถูกเลือก

คำพูดประโยคนั้นทำให้ชาวเมืองจำนวนมากเกิดความสงสัยขึ้นมาแล้ว

ระหว่างที่รับชมการถ่ายทอดสดเมื่อวานนี้ ทุกคนต่างก็เห็นว่าสมาชิกกลุ่มของหลินเป่ยเฉินสามารถเอาชนะพวกของหลินอี้ได้อย่างขาดลอย ส่งผลให้หลายคนเกิดความประหลาดใจเป็นอย่างมาก

“นั่นเป็นเพราะว่าคุณชายหลินใช้วิชาไหมฟ้าสยบโลกา แบ่งปันพลังลมปราณของเขามาให้พวกเราเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ต่างหาก” มี่หรู่หยานพูดเสียงดังขึ้นมาทันที

“วิชาไหมฟ้าสยบโลกาอย่างนั้นหรือ?” ไป๋ไห่ชินขมวดคิ้ว “ข้าอยู่ในเมืองไป๋หยุนมานานปี ผ่านตาวิชาวิทยายุทธ์มามากมาย เหตุไฉนข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อวิชานี้มาก่อน?”

ฉู่เหินอดไม่ได้ต้องสวนออกไปว่า “ในโลกนี้มีวิชาวิทยายุทธ์อยู่เป็นพันเป็นหมื่นวิชา อาศัยคนเพียงคนเดียวจะรู้จักหมดได้อย่างไร? นอกจากนั้น วิทยายุทธ์ยังมีมากมายหลายแขนง เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะเคยได้ยินชื่อทั้งหมด คิดกล่าวหากันเช่นนี้ ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ อาจารย์ไป๋?”

จังหวะนั้น องค์ชายเจ็ดที่นิ่งเงียบมาตลอดก็พูดออกมาเช่นกันว่า

“ถูกต้องแล้ว ในโลกนี้มีคัมภีร์ฝึกวิชาอยู่มากมาย และวิชาที่สามารถแบ่งปันพลังลมปราณได้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่มีคนสามารถใช้งานมันได้หยิบมือเดียวเท่านั้น เรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่สิ่งที่ทำให้ข้าประหลาดใจก็คือ ดูเหมือนสมาชิกกลุ่มของเฉาพั่วเถียน ก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นเดียวกัน”

ต่อให้องค์ชายเจ็ดยังคงเป็นเพียงชายหนุ่มผู้หนึ่ง ระดับความอาวุโสมีไม่มาก แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นทายาทขององค์จักรพรรดิ คำพูดจึงมีน้ำหนักมากกว่าออกมาจากปากของคนอื่น

หลิงจุนเซวียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยและไม่ให้ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอถามอาจารย์ไป๋สักหน่อยเถิด เพราะเหตุใดลูกศิษย์ของท่านถึงมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 4 ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น?”

ไป๋ไห่ชินยิ้มแย้มเย็นชาและตอบว่า “นั่นคือวิชาลับของเมืองไป๋หยุน…”

“ท่านพอจะบอกได้ไหมว่ามันคือวิชาอะไร?”

หลิงจุนเซวียนสอบถามต่อเนื่อง

ไป๋ไห่ชินพูดว่า “ในเมื่อเป็นวิชาลับ ย่อมไม่สามารถบอกได้”

หลิงจุนเซวียนกลับมามีสีหน้าเย็นชาอีกครั้ง เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ถังกู่จินก็ส่งเสียงกระแอมไอและขัดจังหวะขึ้นว่า “เรื่องอื่นช่างมันก่อน เรามาคุยเรื่องการสืบสวนหลินเป่ยเฉินกันต่อดีกว่า…ตกลงว่าพลังลมปราณของเจ้ามันคือพลังปีศาจใช่หรือไม่? ในเมื่อพวกเราไม่สามารถตัดสินเรื่องนี้ได้ ก็คงต้องขอให้นักพรตหญิงชินเป็นผู้ชี้ขาดในประเด็นนี้แล้ว”

คำพูดนี้มีเหตุผลควรค่าต่อการรับฟัง แม้แต่องค์ชายเจ็ดกับหลิงจุนเซวียนที่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ต้องกล้ำกลืนคำพูดกลับลงคอไปแล้ว

สายตาของทุกคนหันไปจ้องมองที่นักพรตหญิงชินเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่รู้ตัว

นักพรตสาวยังคงไม่พูดอะไร

ภายใต้การจ้องมองของดวงตานับหมื่นคู่ นางเดินเข้ามาหาไป๋ชินหยุนและสมาชิกร่วมกลุ่มคนอื่นๆ ของหลินเป่ยเฉิน นิ้วมือที่เรียวยาวขาวสวยของนักพรตหญิงชินแตะลงไปที่หน้าผากของเด็กหนุ่มเด็กสาว จากนั้น นางจึงเริ่มใช้พลังศักดิ์สิทธิ์สำรวจดูสิ่งชั่วร้ายที่แฝงตัวอยู่ในร่างกายฝ่ายตรงข้าม

ผ่านไปเพียง 3 ลมหายใจเท่านั้น

นักพรตหญิงชินหันกลับมาบอกทุกคนว่า “ไม่พบพลังปีศาจอยู่ในตัวของเด็กทั้ง 4 คนนี้”

เกิดเสียงอุทานด้วยความฮือฮาดังขึ้นจากกลุ่มคนดูอีกครั้ง

ในขณะที่หลิงจุนเซวียน ฉู่เหินและคณะอาจารย์คนอื่นๆ ต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

นักพรตหญิงชินเป็นผู้ที่มีสถานะสูงสุดของวิหารเทพกระบี่ โดยเฉพาะเรื่องราวการสืบสวนเกี่ยวกับสาวกปีศาจ ไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้มากไปกว่านางอีกแล้ว

อย่าว่าแต่ภายในเมืองหยุนเมิ่งเลย ชื่อเสียงของนักพรตสาวผู้นี้โด่งดังไปทั่วทั้งจักรวรรดิแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้น ทุกคำพูดของนางจึงรับประกันได้ว่าน่าเชื่อถือแน่นอน

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เมื่อเกิดการฆาตกรรมฟางเจิ้นหรู่ หน่วยมือปราบจึงไม่ต้องเชิญตัวนักพรตจากที่อื่นมาชันสูตรศพ

ทันใดนั้น นักพรตหญิงชินเดินเข้ามาดูอาการพวกของหลินอี้

หลังจากตรวจสอบอยู่เล็กน้อย นางก็หันกลับมาบอกทุกคนว่า “พวกเขาไม่ได้เป็นสาวกปีศาจ แต่พลังปีศาจที่อยู่ในตัวของเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ เป็นพลังที่ตกค้างจากการถูกปีศาจโจมตี”

พวกของเฉาพั่วเถียนก็ไม่ใช่สาวกปีศาจเหมือนกันหรือ?

เกิดเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจจากชาวเมืองอีกครั้ง

จังหวะนี้ ถังกู่จินกำลังพยักหน้าหงึกหงัก

นี่คือสิ่งที่เขาคาดเดาล่วงหน้าเอาไว้ได้นานแล้ว

ต่อมา นักพรตหญิงชินเดินเข้าไปตรวจอาการเฉาพั่วเถียนและใช้พลังศักดิ์สิทธิ์รักษาความเจ็บปวดของเขา ก่อนที่จะหันมากล่าวแก่ทุกคนว่าเฉาพั่วเถียนก็ไม่ใช่สาวกปีศาจเช่นกัน พลังที่อยู่ในตัวของเขา เป็นพลังที่ตกค้างจากการถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว

ไป๋ไห่ชินลอบระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“หืม? นักพรตหญิงชินสามารถรักษาอาการบาดเจ็บจากการถูกปีศาจโจมตีได้นี่หว่า แล้วทำไมถึงไม่รักษาเฉาพั่วเถียนตั้งแต่แรกวะ?”

หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็คิดด้วยความประหลาดใจ

ถ้านางรักษาเฉาพั่วเถียนก่อนหน้านี้ หมอนั่นก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้แล้ว

อืม…

น่าสนใจแล้วสิ

แต่คิดมาถึงตรงนี้ รู้ตัวอีกที นักพรตหญิงชินก็เดินมาเอานิ้วจิ้มหน้าผากของหลินเป่ยเฉินแล้ว

เด็กหนุ่มเกิดความรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาในทันใด ว่าเรื่องที่ตนเองทะลุมิติมาจากโลกอื่นจะถูกเปิดโปงก็ตอนนี้เอง

แต่สุดท้ายเขาก็สงบจิตใจลงได้

หลินเป่ยเฉินเคยเดินทางมาที่วิหารเทพกระบี่แล้วหลายครั้ง ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ เพราะฉะนั้น ความลับของเขาคงไม่มาแตกเอาตอนนี้หรอกกระมัง?

อีกอย่าง ถ้าเขาไม่ยอมให้นักพรตหญิงชินตรวจสอบร่างกาย เดี๋ยวพวกของไป๋ไห่ชินก็ได้มีข้ออ้างโจมตีเขาอีกเปล่าๆ

เด็กหนุ่มรับรู้ได้ถึงความรู้สึกร้อนวูบบริเวณกลางหว่างคิ้ว

ความร้อนจากปลายนิ้วมือของนักพรตหญิงชินไหลรินลงมาถึงหัวใจของเขา

ด้วยความที่ก่อนทะลุมิติมาโลกนี้ เขาเป็นโอตาคุที่หลงใหลในพี่สาวอายุ 20 ปีขึ้นไป และถ้าจะบอกตามตรงก็คือนักพรตหญิงชินนางเป็นสเปคของเขาชัดๆ นักพรตสาวมีเสน่ห์และดูใสซื่อบริสุทธิ์ เพียงมองเฉยๆ ก็ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้แล้ว นับประสาอะไรกับอยู่ชิดใกล้ชนิดหายใจรดหน้ากันขนาดนี้ ถ้าไม่เกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมา มันก็คงประหลาดเกินไปแล้ว

นักพรตหญิงชินหลับตาลงและเริ่มปล่อยพลังเข้าสู่ร่างกายของเขา

ขนตางอนยาวของนางขยับไหวเล็กน้อย

นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้มองหน้านักพรตหญิงชินในระยะใกล้ถึงเพียงนี้

กล่าวได้ว่านักพรตสาวมีความงดงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดโบราณ ต่อให้เอานางงามในโลกมนุษย์สักพันคนมารวมร่างกัน ก็ยังงามสู้นักพรตหญิงชินคนเดียวไม่ได้ ผิวพรรณขาวเนียนปราศจากตำหนิ ริมฝีปากแดงเป็นประกาย เส้นผมนุ่มสลวย กลิ่นกายหอมฟุ้งจากความบริสุทธิ์ของจิตใจ โดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำหอมแต่อย่างใด ยิ่งมองหลินเป่ยเฉินกลับยิ่งเป็นฝ่ายที่เขินอายมากขึ้นเรื่อยๆ…

เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความรู้สึกร้อนวูบจากบริเวณปลายนิ้วของนักพรตหญิงชินกำลังทะลวงเข้าไปในสมอง

ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำในโลกมนุษย์หรือความทรงจำในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ไม่ควรให้มีผู้ใดมาเปิดออกดูทั้งสิ้น ดังนั้น นี่จึงเป็นวินาทีอันตรายของหลินเป่ยเฉินที่ความลับของเขาอาจถูกเปิดโปงได้ตลอดเวลา

แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ขัดขืน

ผ่านไปสิบลมหายใจ ในที่สุดนักพรตสาวก็ดึงนิ้วกลับไป

นางหมุนตัวกลับไปโดยไม่ได้มองหน้าหลินเป่ยเฉินสักนิด

“ในร่างกายของหลินเป่ยเฉินไม่มีพลังปราณปีศาจ”

เสียงของนักพรตหญิงชินดังก้องกังวานถึงหูทุกผู้คน

ฉู่เหิน พานเว่ยหมินและคณะอาจารย์คนอื่นๆ แทบจะกระโดดด้วยความดีใจ

หากนักพรตหญิงชินประกาศผลการตรวจสอบตรงข้ามกับสิ่งนี้ หลินเป่ยเฉินก็คงถูกลากตัวไปแดนประหารโดยทันที

องค์ชายเจ็ดและหลิงจุนเซวียนหันมองหน้ากัน ทั้งสองคนต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ถังกู่จินมองเห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่าง รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากพลางคิดในใจว่า โล่งใจกันไปก่อนเถอะ นี่เพิ่งเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนี้ พวกเจ้าจะหวาดกลัวจนแม้แต่น้ำตาก็ไม่มีให้ไหลอีกแล้ว

แล้วผู้ตรวจการมณฑลก็หันกลับมาขยิบตาส่งสัญญาณให้แก่ไป๋ไห่ชิน

ไป๋ไห่ชินล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อข้างหนึ่งและดึงแผ่นยันต์หน้าตาประหลาดออกมา

มวลพลังงานขุมหนึ่งแผ่ออกไปทั่วบริเวณ

ในเวลาเดียวกันนั้น

นักพรตหญิงชินกำลังครุ่นคิดด้วยความสงสัยเต็มหัวใจ

เพราะเหตุใดนางจึงสัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ในตัวของหลินเป่ยเฉิน?

มันคือพลังศักดิ์สิทธิ์ชนิดเดียวกับที่นางสัมผัสได้จากเทพีกระบี่

นี่คือเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่สุด

เยว่เว่ยหยางยืนกรานมาตลอดว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้ที่ถูกเลือกตามที่คัมภีร์ระบุเอาไว้

นักพรตหญิงชินไม่เคยเชื่อ

แต่บัดนี้ จะไม่เชื่อก็คงไม่ได้เสียแล้ว !