บทที่ 152 ภูมิหลังที่ยิ่งใหญ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ณ คฤหาสน์หลังเล็กในแถบชานเมือง

เย่เทียนนั่งไขว่ห้างอยู่บนพื้น ซึ่งข้างหน้าเขามีเตาปรุงยาขนาดใหญ่และมีวัตถุดิบทางการแพทย์มากมาย

หลังจากการปรากฏตัวของนักพรตชิงชาน ทำให้เขารู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ดังนั้น ในเมื่อจะต่อกรกับคุณยายกระดาษไหว้เจ้า เขาจึงจำเป็นต้องเตรียมให้ดีที่สุด

อันที่จริง ในชาติที่แล้วเขาเคยเผชิญหน้ากับคุณยายกระดาษไหว้เจ้ามาครั้งหนึ่งแล้ว เขาจึงรู้ถึงกลอุบายของเธอดี

เธอไม่ได้เก่งทางด้านการต่อสู้ แต่เก่งเรื่องการใช้ยาพิษมาก ซึ่งฝีมือในการใช้ยาพิษของเธอนั้นอยู่เหนือคน และทำให้ยากที่จะต่อกรได้

ที่สำคัญกว่านั้น มีคนลือกันว่าเธอเป็นศิษย์ที่ถูกไล่ออกจากสำนักพิษห้าที่ซึ่งเป็นสำนักของนักบู๊ และเธอยังมีแมงมุมร้อยพิษเจ็ดสี ซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่าสาวกของสำนักพิษห้าต้องการมาก!

แมงมุมร้อยพิษเจ็ดสีนั้นเป็นยาพิษที่กลายพันธุ์มาจากแมงมุมร้อยพิษ อย่าว่าแต่ถูกมันกัดเลย เพียงแค่การสัมผัสใยแมงมุมของมัน ถ้าไม่มีวิธีการรักษาที่ถูกต้อง เกรงว่าไม่มีทางรอดได้อย่างแน่นอน!

แน่นอนว่านี่คือคุณยายกระดาษไหว้เจ้าที่เย่เทียนรู้จักในชาติที่แล้ว ส่วนคุณยายกระดาษไหว้เจ้าในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องรอดูกันต่อไป

แต่ว่านี่ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเย่เทียนในการเตรียมตัวให้พร้อม

ส่วนวัตถุดิบของยาเหล่านี้ เขาแวะซื้อมาจากร้านขายยาเพียงแค่สองร้านในระหว่างทางที่เขามาที่นี่ เพราะยาที่ต้องปรุงนั้น โชคดีว่ามันไม่ใช่ยาเสริมกระดูกหรือยาอายุวัฒนะ มิฉะนั้น เขาไม่สามารถหาวัตถุดิบยาทั้งหมดได้อย่างเร็วขนาดนี้อย่างแน่นอน

ด้วยการเคลื่อนไหวหลายครั้งของโคจรมหาจักรวาลจากคัมภีร์หวง และหลังจากสงบสติอารมณ์ เย่เทียนสูดหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มปรุงยาอย่างเป็นทางการ

เนื่องจากเขาเคยลองปรุงยายาเพิ่มพลังมาแล้ว ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่มีอุปสรรคใดๆ และหลังจากใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง กลิ่นหอมจาง ๆ จากเตาปรุงยาก็ลอยออกมา

เย่เทียนเอนศีรษะไปมองด้วยความพึงพอใจ และเห็นเม็ดยาสีเขียวเข้มที่อยู่ในกระถางใส่ยานั้น

“ไม่นึกเลยว่าจะสำเร็จในครั้งเดียว อุตส่าห์ซื้อวัตถุดิบมาเผื่อแล้วนะเนี่ย!”

เย่เทียนพึมพำกับตัวเอง จากนั้นเก็บเม็ดยาจากกระถางใส่ยาลงในขวดที่เตรียมไว้ด้วยรอยยิ้ม

นี่คือยาแก้พิษ ซึ่งสามารถรู้ถึงสรรพคุณของยาจากชื่อของมันได้ ถึงแม้สรรพคุณของมันจะน้อยไปหน่อย แต่มันเป็นเหมือนยาวิเศษเลยก็ว่าได้

อย่างน้อย ถ้าหากไม่มียาชนิดนี้ ชาติก่อนเย่เทียนคงไม่รู้ว่าต้องตายในน้ำมือของคุณยายกระดาษไหว้เจ้าไปกี่รอบแล้ว!

……

เช้าวันถัดมา

ณ สถานีตำรวจภูธรในเมืองเอก

เมื่อวานเย่เทียนค่อนข้างเร่งรีบ ก็เลยไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อของกงหย่วนไว้ เขาจึงโทรหาจี้เยียนหรันแต่ไม่มีใครรับสาย ดังนั้นจึงตรงมาที่สถานีตำรวจเลย

“เย่เทียน คุณมาได้สักทีนะครับ!”

แต่ว่า ก่อนที่เย่เทียนจะเดินเข้าไปในพื้นที่ของสถานีตำรวจ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากไม่ไกล

เมื่อมองไปตามเสียงนั้น เขาก็เห็นโจ๋หย่วนหัน ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าตำรวจจากเจียงหนัน!

นอกจากนี้ ยังมีชายร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างเขา ชายคนนี้คือชายวัยกลางคนที่สวมชุดตำรวจเช่นกัน ถ้าดูจากยศตำรวจบนบ่าแล้ว เขาน่าจะมียศตำแหน่งที่ไม่ต่างอะไรกับโจ๋หย่วนหันเลย!

“ผู้บัญชาโจ๋ คุณมาที่นี่ทำไมครับ?”

เย่เทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“เยียนหรันก็มาแล้ว แล้วผมจะไม่มาได้ยังไงล่ะ?”

โจ๋หย่วนหันส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “คุณก็รู้ว่าท่านจี้เป็นห่วงหลานรักของเขาแค่ไหน ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะรับผิดชอบไหวเหรอ?”

เย่เทียนที่ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น เขาไม่คาดคิดเลยว่าจี้เยียนหรันคนนี้จะมาถึงที่นี่ได้

“เยียนหรันก็มาด้วยเหรอ?”

“เหล่าโจ๋ ท่านนี้คือ?”

แต่ว่า ก่อนที่โจ๋หย่วนหันจะอธิบายให้กับเย่เทียนฟัง ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเขาก็ถามขึ้นก่อน

“เหล่าซือ ผมจะแนะนำให้รู้จักกันก่อนนะ ท่านนี้คืออัจฉริยะของการสืบสวนคดีอาชญากรรมที่ผมเคยเล่าให้คุณฟัง ท่านชื่อว่าเย่เทียน”

โจ๋หย่วนหันรีบพูดต่อ “เย่เทียน ท่านนี้คือรองผู้บัญชาการจากสถานีตำรวจของเมืองเอก ท่านชื่อว่าซือเฮ่าเจีย”

“อืม” เย่เทียนเหลือบมองซือเฮ่าเจีย จากนั้นพยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการทักทาย

แต่ พฤติกรรมของเขาเมื่ออยู่ในสายตาของซือเฮ่าเจียแล้ว มันกลับทำให้ซือเฮ่าเจียรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

เพราะต่อให้เขาเป็นท่านรอง แต่อย่างน้อยก็เป็นผู้กำกับไม่ใช่เหรอหรือ?

ปกติประชาชนทั่วไป เมื่อเจอกับเขาทุกคนก็ให้การเคารพเขา แต่ทำไมเย่เทียนถึงเฉื่อยชาขนาดนี้? ดูถูกเขางั้นหรือ? หรือรังเกียจเขา?

เนื่องจากเขาเพิ่งเจอเย่เทียนเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงไม่รู้จักนิสัยของเย่เทียนคนนี้

ไม่จำเป็นต้องพูดถึงสถานะตัวตน แค่การฟื้นคืนชีพก็สามารถทำให้เย่เทียนมองทุกอย่างเป็นเรื่อยเล็กแล้ว

แต่แน่นอน เรื่องผู้หญิงไม่เกี่ยว โดยเฉพาะสาวสวย!

เพราะถึงอย่างไรแล้วเขาไม่ใช่เทพพระเจ้า เขาก็คือคนที่มีอารมณ์ความรู้สึกและมีความปรารถนาเช่นกัน

สิ่งสวยงามมักจะเป็นจุดสนใจของการดำรงอยู่เสมอ ฉะนั้นในพจนานุกรมของเย่เทียนไม่มีคำว่า ‘มองได้อย่างเดียวแต่จับต้องไม่ได้’ คำนี้!

“เหล่าโจ๋ หมอนี่สามารถจับผู้ร้ายที่หลบหนีมาหลายปีภายในวันเดียวอย่างที่คุณบอกจริงเหรอ?”

สำหรับท่าทีเฉยเมยของเย่เทียนนั้น ซือเฮ่าเจียก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ และคำพูดของเขาก็มุ่งเน้นไปที่เย่เทียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“เหล่าซือ ผมเคยโกหกคุณเมื่อไหร่ล่ะ?”

โจ๋หย่วนหันผู้ซึ่งอยู่ในวงการตำรวจอยู่แล้ว แล้วเขาจะไม่เข้าใจความคิดของซือเฮ่าเจียได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงลงเสียงลงเล็กน้อยเพื่อเตือนเพื่อนเขา

“อีกอย่าง นายท่านจี้ให้ความสำคัญกับเขามากด้วยนะ”

เมื่อคำนี้ถูกพูดออกจากปาก สายตาของซือเฮ่าเจียที่มีต่อเย่เทียนก็ซับซ้อนขึ้นในทันใด

เย่เทียนจะเก่งหรือไม่เขาไม่สนใจหรอก เพราะคนเก่งในโลกนี้มีตั้งมากมาย เขาจะสามารถไต่เต้าไปถึงไหนก็ยังไม่รู้

แต่ ถ้าบอกว่าเขาเป็นคนสำคัญสำหรับจี้เจิ้งโก๋แล้ว มันก็ต่างกัน

เพราะถึงอย่างไรแล้ว ตระกูลจี้ก็เป็นตระกูลในเขตทหาร ต่อให้จี้เจิ้งโก๋เกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่ลูกศิษย์ที่เขาสอนและรุ่นน้องที่เขาเลื่อนตำแหน่งก็ยังปะปนอยู่ในระบบนี้ แล้วมีเรื่องอะไรที่เขาทำไม่ได้อีก?

พูดอย่างตรงไปตรงมา ถ้าหากเย่เทียนยินดีที่จะเข้าร่วมกองทัพโดยมีท่านจี้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จในอนาคตของเขาก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น!

แต่ทหารกับรัฐบาลเป็นสองฝ่ายเสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้เลย!

แต่สำหรับโจ๋หย่วนหันแล้วมันต่างกัน เพราะเขาทำงานในเมืองเอกและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวตระกูลจี้ ฉะนั้นถ้าตระกูลจี้ต้องการจัดการเขาจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ซือเฮ่าเจียก็ทำหน้าบูดบึ้งและแสยะยิ้มออกมา

“พ่อหนุ่ม ในโลกนี้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนนะ”

“ไม่ว่าจะยังไง ที่นี่คือเมืองเอก ต่อให้คุณมีที่พึ่งอย่างตระกูลจี้ แต่คุณคิดว่าคุณจะทำอะไรที่เมืองเอกก็ได้งั้นเหรอ?”

“เหล่าซือ!” โจ๋หย่วนหันถึงกับตกใจและขยิบตาให้กับซือเฮ่าเจีย

ตาแก่คนนี้กินยาลืมเขย่าขวดหรือ? ก็แค่เรื่องเล็ก ทำไมต้องหัวร้อนขนาดนี้?

แต่ว่า การแสดงออกของโจ๋หย่วนหันกลับทำให้ซือเฮ่าเจียยิ่งหมั่นไส้เย่เทียนมากขึ้น

ในความคิดเขา โจ๋หย่วนหันคงถูกเย่เทียนรังแกที่เจียงหนันจนเคยชินไปแล้ว ฉะนั้น ในตอนนี้พวกเขาอยู่เมืองเอกถิ่นของตัวเอง เขาจึงต้องช่วยเพื่อนร่วมงานของเขาไม่ใช่หรือ?

เย่เทียนขมวดคิ้วเบาๆ “คุณหมายความว่าไง?”

“ผมถามเรื่องคร่าวๆ ของคุณกับเหล่าโจ๋แล้ว การที่คุณมีความสัมพันธ์กับตระกูลจี้ คุณอาจจะทำอะไรตามใจชอบที่เจียงหนันได้”

“แต่คุณต้องเข้าใจใหม่นะ ที่นี่คือเมืองเอก ไม่ใช่เจียงหนัน! บารมีของตระกูลจี้ใช้ในนี้ไม่ได้หรอก!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซือเฮ่าเจียทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจและมองเย่เทียนด้วยความดูถูก

“ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังได้ยินเหล่าโจ๋บอกว่าคุณมีเรื่องกับตระกูลเจิ้นในเจียงหนัน แล้วถ้าตระกูลเจิ้นจะเอาเรื่องคุณจริงๆ คุณคิดว่าตระกูลจี้จะกล้าปกป้องคุณงั้นเหรอ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่เทียนก็หันมองไปที่โจ๋หย่วนหันอย่างไม่พอใจ ไอ้หมอนี่ปากโป้งไม่รู้จักยั้งคิดจริงๆ!

โจ๋หย่วนหันถึงกับทำตัวไม่ถูก ถ้ารู้อยางนี้ เขาจะเล่าเรื่องของเย่เทียนให้กับซือเฮ่าเจียเพื่ออะไร?!