อาโนเป็นแฟนเก่าของเธอ เมื่อก่อนสอนเด็กระดับมัธยมปลาย และเพราะว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกัน คนทั้งสองจึงมีอายุใกล้เคียงกัน พอต้องพูดคุยกัน คนทั้งสองก็เริ่มใกล้ชิดกัน
แต่เวลาผ่านไปไม่นานนัก มีประกาศออกมาจากโรงเรียนว่าให้เขาไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนระดับประถม
เธอรู้สึกแปลกใจ ไม่นานหลังจากนั้น อาโนก็มาหาเธอและบอกกับเธอว่าต้องการห่างกับเธอ เราสองคนไม่เหมาะสมกัน เลิกกันจะดีกว่า
ที่ทั้งสองคนคบกันมาได้จนถึงตอนนี้ เป็นเพราะว่าคุณครูในโรงเรียนส่วนใหญ่จะมีอายุมากแล้ว เหลือพวกเขาเพียงสองคนเท่านั้นที่อายุไม่ต่างกันมาก
นอกจากนี้ ยังมีคุณครูที่สำนักงานพวกนั้นคอยเชียร์ทั้งคู่อีก ทำให้ทั้งสองคนตัดสินใจลองคบกันดู
เมื่อได้ยินเขาขอเลิก เชอร์รีนกลับมีท่าทางเงียบสงบ ในใจของเธอไม่รู้สึกอะไรเลยแม้สักนิดเดียว ไม่ว่าจะเจ็บใจหรือปวดใจก็ตาม
ชัดเจนว่านอกเหนือจากระยะเวลาที่เสียไปแล้ว เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับอาโนเลย
หลังจากที่ได้ยินเขาพูดประโยคนี้ เธอเลยพยักหน้าตอบตกลง จากนั้นจึงไปกินกาแฟด้วยกันอย่างสงบ
ผ่านไปได้ไม่นานนัก คุณครูที่โรงเรียนต่างพากันพูดกันให้ทั่วว่า เพราะอาโน จีบลูกสาวของผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการเลยทำให้เขาได้ตำแหน่งสูงขึ้น อีกไม่นานทั้งสองคนก็จะแต่งงานกัน
ตอนนั้นเธอถึงจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่เธอกลับไม่ได้ใส่ใจ
สำหรับเธอแล้ว อาโนก็เป็นแค่ความเจ็บๆ คันๆ ส่วนเล็กๆ ที่ไม่สำคัญในชีวิตของเธอ ราวกับหินก้อนเล็กๆ ที่ตกลงไปในแม่น้ำ ที่ทำให้เกิดเพียงระลอกคลื่นเพียงชั่วครู่แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ในชีวิต
หากบ่ายวันนี้เขาไม่ได้มาฟังการสอนของเธอ และไม่ได้เข้ามาทักเธอก่อน เธอเองก็คงจะจำเขาไม่ได้
“คุณจะไปไหน เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ต้อง” เธอกล่าวปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม
อาโนถอนใจ “ไม่ได้เจอเพื่อนร่วมงานมาตั้งนาน ออกไปนั่งเล่นกินกาแฟสักแก้วไม่ดีเหรอ เรื่องแค่นี้ก็ขอไม่ได้เหรอ”
เธอคิดในใจว่าถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยู่บ้าน เธอกลับไปคอนโดก็ต้องอยู่คนเดียวและคงรู้สึกเหงาแน่ๆ
เชอร์รีนไม่ได้ตอบปฏิเสธอีกครั้ง แต่เปิดประตูรถและเข้าไปนั่งข้างใน
อาโนออกรถแล้วขับมุ่งหน้าไปยังถนนพีรา
ถนนพีราเป็นถนนที่เจริญที่สุดในเมือง S เป็นแหล่งรวมตัวทั้งตลาด ร้านกาแฟ ร้านอาหารและสถานบันเทิงต่างๆ
ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในเมือง S มากที่สุด
ทั้งสองเลือกร้านกาแฟร้านหนึ่งแล้วนั่งหันหน้าเข้าหากัน อาโนสั่งกาแฟมาสองแก้วและขนมชื่อดังราคาแพงมาอีกสองสามอย่าง
“ไม่เจอกันหลายปี คุณสวยขึ้นนะ ผมเกือบจำไม่ได้แน่ะ” อาโนยิ้ม
“คุณเองก็หล่อขึ้นนะ ฉันเองก็จำคุณไม่ได้” ระหว่างที่พูดเชอร์รีนก็ส่งกาแฟคืนให้อาโน แล้วกินเพียงแค่ขนม “ขอโทษนะคะ ฉันท้องอยู่กินกาแฟไม่ได้ค่ะ”
อาโนพยักหน้าแล้วถอนหายใจยาว “ดูแล้วคุณน่าจะท้องได้สี่เดือนแล้ว คุณกับสามีเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดี แล้วคุณล่ะ” เธอชิมขนมจึงพบว่าขนมรสชาติดีไม่หวานเลี่ยน
“ผมน่ะหรือ”
น้ำเสียงของเขาระหว่างที่พูดเปลี่ยนไป “ผมไม่อยากจะพูดเลย ชีวิตในทุกๆ วันของผมเหมือนอยู่ท่ามกลางน้ำเดือดปุดๆ วันไหนผมกลับบ้านช้าไปหน่อยเดียว เธอจะทำหน้าที่เหมือนหน่วย FBI ที่ไล่บี้ถามผมไม่หยุด พอคุยกับเธอทางโทรศัพท์จบแล้ว เธอยังจะโทรกลับมาอีกเพื่อพิสูจน์อีก พอผ่านไปพักหนึ่งเธอก็จะบุกมาโวยวายที่โรงเรียน ทะเลาะทั้งเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ไม่หยุด ผมล่ะปวดหัว”
เชอร์รีนคว้าทาร์ตไข่เข้าปากแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เธอก็แค่เป็นห่วงคุณมากไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“ห่วง?” อาโนแค่นยิ้มอย่างขยะแขยง “เธอห่วงผมตรงไหนเหรอ โดนตามใจจนเคยตัว เวลาผมกลับถึงบ้าน เธอก็ใช้ผมให้ไปทำงานบ้านซักผ้า ตากผ้าให้อีก ถ้าผมไม่ทำ เธอก็จะโทรไปฟ้องพ่อ ร้องไห้ไปด่าไป”
“นี่เป็นเส้นทางที่คุณเลือกเอง ของบางอย่างเราก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน” เธอพูดเรียบๆ เธอไม่ได้รู้สึกเห็นใจอะไรกับชะตากรรมที่เขาต้องเผชิญ
ผู้ชายบางคนก็เป็นแบบนี้ ในเวลาที่ชีวิตของตัวเองไม่มีอนาคต ก็จะหาหนทางทุกอย่างเพื่อทำให้ตัวเองได้เจริญเติบโต อย่างเช่นให้ผู้หญิงช่วยตนให้ได้ตำแหน่ง
แต่เมื่อพวกเขามีเส้นทางชีวิตที่สดใสแล้ว ก็จะเริ่มรู้สึกรำคาญผู้หญิงคนนั้น คิดว่าเธอมีแต่ข้อเสียเต็มไปหมด
การแต่งงานด้วยเหตุแบบนี้มักจะอยู่กันได้ไม่นาน สุดท้ายแล้วก็คงจะไปจบกันที่การหย่าร้าง และต่อให้ไม่หย่าก็คงจะอยู่ด้วยกันแค่ในนามเท่านั้น
อีกด้านหนึ่ง
เมื่อกินฟัวกรากันไปแล้วครึ่งหนึ่งแล้ว สุนันท์ก็หาข้ออ้างไปเข้าห้องน้ำ และในตอนที่เธอกำลังจะออกไปก็หันไปส่งสายตาให้หยาดฝน
แน่นอนว่าหยาดฝนเข้าใจความหมายดี จึงพยักหน้าน้อยๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น
สายตาล้ำลึกของออกัสจับจ้องไปที่ฟัวกรา เขาไม่มีความอยากอาหารใดๆ จึงกินแต่ไวน์แดงอยู่เงียบๆ
ในตอนนั้นเอง เสียงมือถือดังขึ้นเป็นสายมาจากสุนันท์ เขาจึงกดรับสาย
“ออกัส พอดีแม่เจอเพื่อนที่นี่ แม่เลยจะไปเลือกดอกไม้กับเพื่อน อีกเดี๋ยวถ้าลูกจะกลับก็ไม่ต้องเป็นห่วงแม่นะ แต่ว่าพาอาของลูกกลับไปด้วยล่ะ ตามนี้นะ แค่นี้ก่อน”
สุนันท์วางโทรศัพท์ไปโดยออกัสยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร เพราะเธอต้องการเปิดช่องให้คนทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน
ในตอนนั้นหยาดฝนกินอิ่มพอดี มือขาวสะอาดของเธอหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ด สายตาของเธอคล้ายมีแผนการชั่วร้ายบางอย่างปรากฏขึ้น
“อิ่มแล้วเหรอ เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาวางแก้วไวน์ลง น้ำเสียงของเขาไร้อารมณ์
“พอดีเพื่อนของฉันคนหนึ่งจะหมั้นพรุ่งนี้น่ะค่ะ ฉันเลยอยากจะไปหาของประเภทเดียวกับของขวัญวันเกิดให้เธอหน่อย พอเสร็จแล้วคุณค่อยไปส่งฉันกลับนะคะ……”
ระหว่างที่พูด หยาดฝนก็ขยับตัวลุกขึ้นยืน นี่เป็นข้ออ้างของเธอที่ตั้งใจยืดเวลาออกไปเท่านั้น
ตลอดการกินอาหารค่ำวันนี้ เธอคอยสังเกตอาการของเขาอยู่ตลอด แต่กลับสังเกตว่าจิตใจเขาไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่และมักจะเหม่อลอยเป็นระยะๆ
ออกัสขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้กล่าวอะไร ถือเป็นการตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้
ด้านข้างของร้านอาหารเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่สุดในเมือง S หยาดฝนเดินเลือกอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังร้านเครื่องประดับ
ในร้านกาแฟ
อาโนเห็นด้วยกับคำพูดของเชอร์รีน แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำใจยอมรับพฤติกรรมของภรรยาตัวเองได้อยู่ดี
เธอฟังเขาพูดจนเวียนหัว จึงยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง “อย่างนั้นคุณก็ค่อยๆ หาวิธีเปลี่ยนเธอสิคะ”
อาโนถอนหายใจอย่างไม่ใส่ใจ “ชาติหน้าเถอะ เธอแข็งยิ่งกว่าหินซะอีก ต่อให้ใช้ค้อนทุบก็คงเป็นก้อนไม่บุบสลายอยู่ดี”
เชอร์รีนฟังไปเงียบๆ จนเริ่มรู้สึกเบื่อมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเบื่อจนเอนกายพิงพนักพิงโซฟาอย่างเกียจคร้านแล้วเหม่อมองผ่านกระจกใสของร้านออกไปด้านนอก
ถนนด้านนอกมีแสงไฟระยิบระยับ ผู้คนเดินไปมากันอย่างขวักไขว่ บรรยากาศดูครึกครื้นแต่ออกจะวุ่นวายไปสักหน่อย
เนื่องจากร้านกาแฟตั้งอยู่ชั้นหนึ่ง ดังนั้นเมื่อมองผ่านกระจกออกไปจะทำให้เห็นร้านที่อยู่ตรงข้ามได้ชัดเจน
ร้านตรงข้ามคือร้านขายเครื่องประดับ คนส่วนใหญ่ที่มาเลือกซื้อมักจะเป็นคู่รักหรือไม่ก็คู่สามีภรรยาที่เดินจับมือคลอเคลียกันมา
ทว่าในตอนนั้นเอง สายตาของเธอก็บังเอิญเหลือบไปเห็นผู้ชายสูงสันทัดคนหนึ่ง ดวงตาของเธอชะงัก ร่างกายของเธอแน่นิ่งไม่ขยับ
ยังไม่พอ เธอยังเห็นหยาดฝนใส่ชุดเดรสพลิ้วไหวยืนอยู่ข้างๆ ในมือของเธอถือสร้อยคออยู่เส้นหนึ่ง ใบหน้าของเธอกำลังยิ้มแย้มและกำลังหันหน้าไปถามความเห็นจากเขา
เขายังคงสวมใส่เสื้อตัวคลุมตัวเดิมกับตอนกลางวัน ร่างสูงโปร่งแข็งแกร่ง เขากำลังขยับปากพูดอะไรบางอย่างอยู่
ผู้ชายดูหล่อเหลา หุ่นสมาร์ตสมส่วน ส่วนผู้หญิงก็อ่อนโยนราวสายน้ำ คนทั้งสองยืนอยู่เคียงข้างกันเหมาะสมกันราวกิ่งทองกับใบหยก