เชอร์รีนใช้สายตาที่ปราศจากอารมณ์ใดมองไปที่เขา ออกัสยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เชอร์รีนจึงถอนหายใจ เมื่อเห็นเธอเริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมา เขาจึงตั้งใจพูดต่อหน้าสายตาของทุกคน “คุณหญิงเชอร์รีนจะไม่ไปส่งหน่อยเหรอ”
เมื่อเชอร์รีนได้ยินดังนั้นก็ยังไม่ได้กล่าวอะไร แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับแย่งเธอตอบด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “ไปส่งๆ ต้องไปส่งแน่นอน จะไม่ไปส่งได้ยังไงล่ะ ใช่ไหมคุณครูเชอร์รีน”
“……” เชอร์รีนรู้สึกราวกับใบหน้าของตัวเองกระตุก
เธอยังไม่ยอมขยับ ผู้อำนวยการโรงเรียนจึงแอบดันหลังเธอเบาๆ แล้วส่งสายตาให้เธอ
สายตาที่แสดงออกชัดเจนเช่นนั้น คงมีเพียงคนตาบอดเท่านั้นที่มองไม่ออก แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนยังคงพยายามต่อไปอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นทั้งสองเดินออกจากออฟฟิศไป ผู้อำนวยการโรงเรียนจึงยิ้มอย่างพึงพอใจพลางเอ่ยชื่นชม “ทำไมพักนี้ถึงรู้สึกว่าครูเชอร์รีนสวยขึ้น”
คุณครูคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวนั้นจึงตอบว่า “ครูเชอร์รีนสวยตลอดอยู่แล้ว!”
“พูดถูกๆ เธอสวยตลอดอยู่แล้ว” ผู้อำนวยการโรงเรียนตบมือแล้วเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้ม
เชอร์รีนเดินไปส่งออกัสที่รถ จากนั้นจึงหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว
แต่ออกัสไม่ยอมปล่อยเธอ เขาคว้ามือของเธอเอาไว้แล้วดึงเข้าไปจูบอย่างเร่าร้อน
ริมฝีปากของเธอฉาบไปด้วยลิปกลอสที่ใสและเป็นประกาย สีแดงระเรื่อราวกลีบดอกไม้ เย้ายวนใจคนอย่างยิ่ง
เมื่อกินลิปกลอสบนริมฝีปากของเธอไปหมดแล้ว เขาก็จูบที่ริมฝีปากล่างของเธออีกแล้วกัดเบาๆ ก่อนจะปล่อย “ไปก่อนนะ คุณหญิงเชอร์รีน……”
กว่าเชอร์รีนจะรวบรวมสติกลับมาได้ ออกัสก็เข้าไปนั่งบนรถแลนด์ โรเวอร์สีดำเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ
เชอร์รีนส่องกระจกดูริมฝีปากของตัวเองแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปมองรถที่เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ เธอมองอยู่สักครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในโรงเรียน
……
ตอนที่สุนันท์กลับมาจากสวนดอกไม้ก็เพิ่งจะรู้ว่าออกัสกลับไปแล้ว หยาดฝนนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก เธอจึงเดาได้ทันทีว่าผลลัพธ์จะต้องไม่ดีเท่าไหร่
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ สุนันท์จึงโทรหาออกัสแล้วสั่งให้เขากลับมาที่บ้านสิริไพบูรณ์ภายในบ่ายวันนี้
แต่กว่าออกัสจะกลับมาถึงก็ปาเข้าไปเป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว สุนันท์เหล่มองดูนาฬิกาก่อนจะเอ่ยว่า “เราไม่ได้กินฟัวกรากันมานานแล้วนะ วันนี้เราไปกินด้วยกันดีไหม”
“หมอบอกว่ายังไงบ้างครับ” ออกัสถามพลางเหล่มองนาฬิกาแบบเนียนๆ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเปลี่ยนท่าทาง
“หมอไม่ได้ห้ามไม่ให้แม่กินฟัวกรานะ แค่บอกว่าพยายามอย่าโมโห ลูกเองก็ไม่ได้กินอาหารเย็นเป็นเพื่อนแม่มาตั้งนานแล้วนะ วันนี้ไปกินเป็นเพื่อนแม่หน่อยนะ ไปกินฟัวกราคนเดียวน่าเบื่อแย่ ตอนนี้เลอแปงก็ไม่อยู่แล้ว แม่ไม่มีแม้กระทั่งคนเป็นเพื่อนคุย เฮ้อ……”
สุนันท์ถอนใจอย่างน่าสงสาร เธอตั้งใจเล่นบทดราม่า “ถ้าลูกมีธุระด่วนก็ไม่เป็นไร จะกลับก็ได้ เดี๋ยวแม่ก็คงไปอาบน้ำนอนแล้วล่ะ”
ออกัสขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยนลง “อยากไปกินฟัวกราร้านไหนครับ”
พอสุนันท์ได้ยินอย่างนี้สีหน้าก็เต็มไปด้วยความยินดี “พูดแบบนี้แสดงว่ายอมไปเป็นเพื่อนแม่แล้วใช่ไหม ลูกแม่ใจดีที่สุดเลย ไปกันเถอะ”
ออกัสเห็นเธอสวมเสื้อผ้าบางเบาจึงหันไปสั่งคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ว่า “ขึ้นไปหยิบเสื้อคลุมข้างบนมาให้คุณหญิงหน่อยสิ”
คนรับใช้จึงขึ้นไปข้างบน ตอนนี้สุนันท์ทั้งดีใจและพอใจ ก่อนจะสบโอกาสเอ่ยต่อไปว่า “ถ้าเราสองคนไป ที่นี่ก็จะเหลือแค่หยาดฝนคนเดียว และเธอก็ยังไม่ได้กินข้าวด้วย แม่ว่าพาเธอออกไปด้วยดีไหม”
“ครับ……” ออกัสตอบรับ
สายตาของสุนันท์จับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอพยายามจะค้นหาว่าเขามีความรู้สึกเช่นไร ทว่าอารมณ์ของเขาลึกซึ้งเกินไปจนเธอมองไม่ออก
เธอก็ทำได้เท่านี้ แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ขอแค่ดำเนินการตามแผนเท่านั้นก็พอ
หลังจากนั้นหยาดฝนก็เดินลงมาจากด้านบน ผมดำขลับเงางามของเธอปลิวสยายปรกไหล่ เธอสวมชุดเดรสสไตล์พื้นเมืองและคลุมทับด้วยเสื้อกันหนาวสีดำ
แม้ว่าจะดูเป็นการแต่งตัวง่ายๆ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่า หูของเธอใส่ตุ้มหูยาวสไตล์เดียวกัน ไม่ใช่ตุ้มหูเงินแต่เป็นตุ้มหูแบบพื้นเมือง
ไม่ได้ดูไร้รสนิยม แต่กลับขับให้เธอดูโดดเด่นและสวยงาม
ชุดเดรสพื้นเมืองตัวนี้เป็นชุดที่ออกัสให้เธอเมื่อสามปีที่แล้ว ที่เธอใส่ชุดเดรสนี้มาคืนนี้แน่นอนว่าเธอตั้งใจ
ออกัสมองชุดเดรสที่เธอใส่ สายตาของเขาชะงักไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังนึกอะไรบางอย่าง
สุนันท์เอ่ยปากชม “หยาดฝนใส่ชุดนี้สวยจริง ดูสง่างามมีรสนิยม วันหลังหาซื้อให้ป้าบ้างสิ”
“ได้ค่ะ หากคุณป้าชอบ คราวหน้าหลังจากที่หนูกลับมาจากเมืองโยนาแล้วจะซื้อมาฝากนะคะ” หยาดฝนยิ้มแล้วพยักหน้าให้
“ไปกันเถอะ เวลาพอสมควรแล้ว ป้าเริ่มหิวขึ้นมาแล้ว และรู้สึกอยากดื่มไวน์ด้วย……” สุนันท์ยิ้ม
ทั้งสามคนเดินไปข้างหน้า ออกัสเดินนำไปหน้าสุด ส่วนสุนันท์กับหยาดฝนเดินตามอยู่ข้างหลัง โดยหยาดฝนคอยจับแขนประคองสุนันท์ไปด้วย……
สุนันท์เลือกร้านที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมือง S เธอไม่ได้กินฟัวกรามาพักใหญ่แล้วจริงๆ จึงรู้สึกอยากกินมาก
บริกรของร้านเข้ามาต้อนรับคนทั้งสาม และขยับเก้าอี้ให้ทั้งสามคนนั่ง
ออกัสไม่ได้ดูเมนู แต่ให้บริกรส่งเมนูให้สุนันท์และหยาดฝนเป็นคนเลือก
ตลอดเวลาที่มาถึงร้าน หยาดฝนไม่พูดอะไรเลย จึงยากจะคาดเดาว่าในใจของเธอคิดอะไรอยู่ แต่สายตาของเธอจะมองไปที่เขาเป็นระยะๆ
หลังจากนั้นสุนันท์เป็นคนสั่งไวน์และอาหารฝรั่งเศสมาหลายอย่าง
และด้วยวันนี้มีคนมาที่ร้านอาหารเป็นจำนวนมาก นั่งรออาหารอยู่เป็นเวลานาน แต่อาหารก็ยังไม่มาสักที
สุนันท์ไม่รีบร้อน ส่วนหยาดฝนก็มีสีหน้าเรียบเฉย
ส่วนท่าทีของออกัสนั้นคล้ายกำลังเร่งรีบบางอย่าง เพราะเขาคอยมองนาฬิกาข้อมืออยู่เป็นระยะๆ
สุนันท์สังเกตการณ์กระทำเช่นนี้ของเขาได้ จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ออกัส ลูกมีธุระอะไรรึเปล่า”
“เปล่าครับ……” เขาเอ่ยปากพูดอย่างไร้อารมณ์
“อย่างนั้นก็ดี” สุนันท์ยิ้ม
หลังจากนั้นยังต้องรออีกเป็นเวลานานกว่าอาหารที่สั่งจะถูกยกมาเสิร์ฟ มือที่มีเส้นเอ็นปูดโปนของออกัสที่กำลังรินไวน์สั่นเบาๆ ราวกับมีเรื่องเร่งรีบ
เขาจิบไวน์อึกหนึ่งก่อนจะเหลือบมองไปที่นาฬิกาข้อมืออีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มตรงแล้ว
ปกติแล้วเวลานี้เขาจะต้องกลับไปถึงคอนโดแล้ว ส่วนเธอก็จะทำอาหารค่ำเตรียมไว้ให้อย่างเสร็จเรียบร้อย
ทว่าตอนนี้อาหารที่สั่งเพิ่งได้ กว่าจะเสร็จก็คงใช้เวลาอีกนาน
มือขวาของเขาถือแก้วไวน์ มือซ้ายหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เขาเอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้อย่างสบายๆ มือของเขากำลังสัมผัสหน้าจอโทรศัพท์เพื่อส่งข้อความ
คืนวันนี้มีงานเลี้ยง ผมอาจจะกลับช้า ไม่ต้องรอนะ
……
เมื่อมีเสียงข้อความเข้า เชอร์รีนจึงหยิบมือถือออกมาจึงเห็นว่าเป็นข้อความที่ส่งมาจากเขา
แววตาของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา เธอเพียงตอบกลับไปว่า “ค่ะ” จากนั้นจึงเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋า และเก็บของที่อยู่บนโต๊ะจนเสร็จกว่าจะออกจากออฟฟิศไป
วันนี้ช่วงเย็นเธอมีสอนภาคค่ำ เลยทำให้เธอกลับช้า
เมื่อเดินออกจากโรงเรียนมาแล้ว เธอจึงยื่นมือโบกรถแท็กซี่ แต่รถสีเทาคันหนึ่งกลับมาหยุดอยู่ข้างหน้า
เชอร์รีนตกใจ เพราะเมื่อเธอมองเข้าไปจึงเห็นว่าคืออาโน